ชุยหังก็พึ่งจะเคยได้ยินเขาหัวเราะเป็นครั้งแรก ฟังดูแล้วน่าขำมาก
แต่ว่าประโยคที่เขาพึ่งจะพูดเมื่อกี้กลับทำให้ชุยหังหน้าแดงขึ้นมาหน่อยๆ
ยังดีที่ชย่าอวี่ชิวไม่ได้ใส่ใจอะไรแถมยังพูดขึ้นว่า: “เราสองคนมาถึงที่นี่ก่อนล่วงหน้าสองวัน สองวันที่ผ่านมานี้ฉันอยากจะกอดเขาตลอด แต่เขากลับทำเป็นไม่ยอมซะอย่างนั้น”
คิดไม่ถึงเลยว่าชย่าอวี่ชิวจะพูดออกมาแบบนี้ซึ่งมันทำให้ชุยหังเขินมากกว่าเดิมเสียอีก
“พอแล้ว เลิกเล่นได้แล้วไปเถอะ” ชุยหังพูดจบก็รีบเดินไปข้างหน้า
พวกเขาเดินเล่นแถวแถบถนนเฟิงหลิวอยู่รอบหนึ่ง นักศึกษาใหม่หลายคนเหมือนกับได้มาเปิดหูเปิดตาบนโลกใบใหม่ต่างพากันมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตาตื่นใจ
ไม่นานบนแถบถนนก็ดูเจริญหูเจริญตาขึ้นมาในทันที หน้าประตูร้านค้าหลายร้านมีนักศึกษาใหม่กำลังยืนมุงล้อมอยู่ด้านหน้า
แต่ว่าพวกชุยหังแค่มาเดินดูเท่านั้น ไม่ได้อยากจะซื้อของอะไร เพราะของใช้ที่อยากได้เมื่อสองวันที่ผ่านมานี้เขาก็จัดการซื้อจนครบแล้วเรียบร้อย
พวกเขาเดินเล่นอยู่ที่นั่นกว่าครึ่งบ่ายเต็มๆ ทำเอาเนื้อตัวเริ่มเหม็นอับไปด้วยกลิ่นเหงื่อก่อนจะพากันกลับตึกหอพักของตัวเอง
ด้านหน้าตึกหกเก่าแก่มีกลุ่มคนยืนมุงอยู่แถวนั้น ดูเหมือนว่าจะกำลังถกเถียงอะไรกันสักอย่าง
ตอนที่ชุยหังกับเหลียงจื้อเดินผ่านไปก็เห็นนักศึกษาใหม่เหมือนกับพวกเขาคนหนึ่ง ในมือถือหนังสือตอบรับเข้าศึกษาต่อกำลังเจรจาหารือกับเหล่าคณะอาจารย์ที่อยู่ตรงนั้นสองสามคน
แต่ทว่าอาจารย์คนหนึ่งยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าไม่สามารถทำเรื่องรับเขาเข้าเรียนได้
เดิมทีชุยหังยังอยากจะยืนดูต่ออีกหน่อยแต่กลับถูกเหลียงจื้อลากให้เดินออกมาเสียก่อน
“เกิดอะไรขึ้นหรอ” ขณะที่เดินขึ้นตึกชุยหังก็ถามขึ้น
เหลียงจื้อพูดตอบ: “นายไม่เห็นหนังสือตอบรับของคนนั้นหรือไง มันไม่เหมือนกับของพวกเรา”
“ไม่เหมือนกับของพวกเราหรอ” ชุยหังงงงวย
เหลียงจื้อพูดต่อ: “เอาเถอะ นายไม่เข้าใจก็ไม่ต้องเข้าใจหรอก คนทำเอกสารปลอมแปลงต่างก็ไม่ใส่ใจ ต่อให้เขาสามารถทำเอกสารตอบรับขึ้นมาได้ แต่ในฐานข้อมูลไม่มีชื่อคนๆ นี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร”
ชุยหังพอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นบ้างแล้วและในเมื่อเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรมากมาย
ในเมื่อคนๆ นั้นดูท่าว่าจะไม่มีโอกาสได้เข้ามหาวิทยาลัยของพวกเขาอีกแล้ว
ตอนที่เขากลับมาถึงที่ห้องพักเพื่อนอีกห้าคนที่เหลือก็อยู่กันครบพอดี ต่างคนต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง ส่วนผู้ปกครอบของทุกคนก็ไม่อยู่แล้วสักคน
ดูเหมือนว่าจะพากันกลับออกไปนานแล้ว
“เราชื่อชุยหัง เป็นคนตงเป่ย ปีนี้อายุ21ปี พอดีเคยเรียนซ้ำมาปีหนึ่งแล้วพวกนายล่ะ” ชุยหังดูบรรยากาศค่อนข้างอึดอัดจึงเอ่ยพูดขึ้น
คนที่หัวเริ่มจะมีผมขาวคนนั้นวางหนังสือในมือลงก่อนพูดขึ้น: “หวัดดี ฉันชื่อจ้าวหลิน มาจากเมืองหยางซั่ว [1] มณฑลกว่างซี [2] ฉันก็อายุ21 เหมือนกัน แต่ว่าน่าจะโตกว่านาย”
“หยางซั่ว? หยางซั่วคือที่ไหนอะ” ชุยหังถามขึ้น
จ้าวหลินพูดต่อ: “เชรด นี่ขนาดอันนี้นายยังไม่รู้จักเลยหรอ ขุนเขาสายน้ำแห่งกุ้ยหลินงามเลิศในใต้หล้า ขุนเขาสายน้ำแห่งหยางซั่วงดงามใต้กุ้ยหลินไงเล่า”
ชุยหังเก้อเขินหน่อยๆ ก่อนจะพูดต่อ: “อ้อ ฉันไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ…”
จากนั้นคนที่อยู่เตียงด้านล่างของชุยหังที่มาจากอันฮุย [3] ก็แนะนำตัวขึ้นมา: “ฉันชื่อถังเฉิง มาจากอันฮุย 21ปีเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ”
พูดจบเขาก็หันไปจัดการกับผมลอนธรรมชาติของตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มๆ
ต่อมาหนุ่มจากเจียงซีคนนั้นที่ดูแล้วเหมือนจะเป็นนักเรียนหนุ่มน้อยที่สุดเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า: “ผมชื่อวังเฉียง มาจากเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น [4] มณฑลเจียงซี ปีนี้อายุ 19 ครับ”
คนที่ชื่อจ้าวหลินพูดขึ้นมาอีกว่า: “เชรด หนุ่มน้อยวัยใสนี่นา”
ด้วยสำเนียงกว่างซีของเขาบวกกับคำพูดติดปากนั่นมันทำให้ฟังดูเหมือนชื่นชอบอย่างมาก
“เพื่อน แล้วพวกนายล่ะ” ชุยหังหันไปถามสองคนที่อยู่เตียงชั้นบนล่างของอีกฟากหนึ่ง
ตั้งแต่เดินเข้าห้องมาดูเหมือนพวกเขาสองคนจะไม่ค่อยอยากจะเข้าร่วมบทสนทนากับพวกเขาสักเท่าไหร่
แต่เมื่อคิดไปว่าต่อจากนี้ทุกคนต่างก็ต้องร่วมอยู่ชายคาเดียวกันชุยหังถึงได้ถามออกไป
คนที่อยู่เตียงชั้นล่าง จัดการเตียงนอนของตัวเองนิดหน่อยก่อนจะพูดว่า: “ฉันชื่อวังเจิ้นเฉียง มาจากเมืองไคเฟิง [5] มณฑลเหอหนาน”
“ชื่อของนายต่างกับฉันแค่พยางค์เดียวเองหรอเนี่ย บังเอิญจริงๆ เลย” วังเฉียงพูดขึ้น
“อืม ใช่” วังเจิ้นเฉียงก็ตอบกลับง่ายๆ แค่คำเดียว
ชุยหังเหลือบไปมองคนที่อยู่ชั้นบนก่อนจะถามขึ้น: “เพื่อน แล้วนายล่ะ”
“จังเผิง มาจากเมืองเป่าจี [6] มณฑลส่านซี”
——
[1] หยางซั่ว (阳朔) ดินแดนแห่งขุนเขาและสายน้ำ เมืองเล็กริมแม่น้ำลี่เจียงที่มีทิวทัศน์สวยงาม ห่างจากเมืองกุ้ยหลิน โดยกุ้ยหลิน เป็นเมืองเอกเมืองหนึ่งของเขตปกครองตนเองชนชาติจ้วงกว่างซี อยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีน
[2] กว่างซี หรือ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง หรือ กวางสี เป็นเขตปกครองตนเองระดับจังหวัดตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศจีน มีเมืองเอกคือหนานหนิง
[3] อันฮุย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน มีเมืองเอกชื่อ เหอเฟย์
[4] จิ่งเต๋อเจิ้น (景德镇 Jingdezhen) มณฑลเจียงซี เป็นศูนย์กลางของเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของจีนนับตั้งแต่ยุคโบราณเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
[5] ไคเฟิง เป็นเมืองในมณฑลเหอหนาน อยู่ริมฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำฮวงโห (หรือแม่น้ำเหลือง) เป็นหนึ่งในเมืองหลวงเก่าของจีน
[6] เป่าจี(宝鸡)เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในมณฑลส่านซี