ตอนที่ 101 หาคนมารับผิดชอบ

“นางแซ่สวี่ นามชิงเอ๋อร์ บ้านของนางอยู่ที่…”

เหตุใดฉีเฉิงเฟิงถึงรู้มากเพียงนี้!

ซูหวานหว่านรู้สึกโกรธจนต้องเอ่ยขัดเขา “ขอสั้น ๆ ได้หรือไม่!?”

สวี่ชิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วแล้วถามด้วยความสงสัย “นางเป็นใครกันแน่? เหตุใดถึงพูดจากระโชกโฮกฮากเพียงนี้? ข้ากลัวไปหมดแล้ว”

ในขณะที่นางพูด นางก็ยื่นริมฝีปากเข้าไปใกล้ใบหูของฉีเฉิงเฟิง ราวกับต้องการเป่าหูชายหนุ่ม

กลับกันฉีเฉิงเฟิงรู้สึกรังเกียจกิริยาท่าทางของนางเล็กน้อย จึงขยับตัวออกห่าง “นางคือซูหวานหว่าน เป็นน้องสาวของซูจิ่นเฉียง เจ้าได้ยินชัดหรือไม่?”

หลังพูดจบ ฉีเฉิงเฟิงก็อธิบายต่อซูหวานหว่าน “นางเพิ่งมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้พร้อมกับพี่ชายของเจ้า พี่ชายของเจ้ากำลังช่วยลุงฉื่อโทวขนของอยู่ ตอนที่นางลงจากเกวียนเกิดก้าวเท้าผิดส่งผลให้ข้อเท้าพลิก พี่ชายของเจ้าจึงให้คนมาเรียกข้าไปช่วยแบกนางมาที่นี่ก่อน”

หากเป็นเช่นนี้… นางผู้นี้คือซูหวานหว่านงั้นหรือ! ใบหน้าของสวี่ชิงเอ๋อร์พลันเปลี่ยนไป นางคลี่ยิ้มบางออกมาและก้าวเข้าไปหาซูหวานหว่าน “ข้าเพียงจะกล่าวว่าจะมีสตรีใดงามได้เช่นนี้อย่างไรเล่า! นามก็เหมาะสมยิ่งนัก เจ้าต้องเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจอ่อนโยนเป็นแน่”

เมื่อครู่สวี่ชิงเอ๋อร์ยังต่อว่านางอยู่เลยไม่ใช่หรือว่านางพูดจากระโชกโฮกฮาก คิดว่านางไม่ได้ยินหรือไรกัน!

ซูหวานหว่านเหลือบมองหญิงสาวตรงหน้า รู้สึกไม่พอใจกับคำพูดเยินยอนี้เท่าใดและยังคงมองอีกฝ่ายด้วยสายเย็นชา ท่าทางที่ไม่สนใจของซูหวานหว่านทำให้สวี่ชิงเอ๋อร์รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี ทว่าเมื่อเห็นแม่เจิ้นเดินออกมาจากบ้านพร้อมทั้งถือถาดโจ๊กมาด้วย จึงได้เดินเข้าไป “ท่าน ข้าจะช่วยท่านยกไปเองเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องหรอก” แม่เจิ้นไม่รู้จักสวี่ชิงเอ๋อร์ ดังนั้นนางจึงรู้สึกเกรงใจและไม่อยากรบกวน ทว่าสวี่ชิงเอ๋อร์ก็ยังอยากช่วย แต่นางยกถาดโจ๊กด้วยความไม่ระมัดระวังจึงทำให้โจ๊กหกโดนมือของตัวเองและหกลงบนพื้น

“อ๊ะ!” สวี่ชิงเอ๋อร์ร้องออกมา แม่เจิ้นเองก็โดนโจ๊กกระเด็นใส่เล็กน้อยและร้องออกมา ซูหวานหว่านที่กำลังเดินเข้ามา รีบหาผ้ามาเช็ดให้กับแม่เจิ้นก่อนจะมองไปยังสวี่ชิงเอ๋อร์อย่างไม่ค่อยพอใจ

“แม่นางผู้นี้ แม่ของข้ายกโจ๊กมาไม่ได้นำมาให้เจ้า เหตุใดเจ้าต้องแย่งมันไปถือด้วย หากเจ้าบอกว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับพี่ชายของข้าละก็ เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้อนรับเจ้า” ซูหวานหว่านกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“น้องข้า เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอันใด! นางคือพี่สะใภ้ของเจ้านะ” ซูจิ่นเฉียงปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูและเดินเข้ามา ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจซูหวานหว่านเล็กน้อยจึงเดินเข้าไปจับข้อมือสวี่ชิงเอ๋อร์ก่อนจะมองด้วยความกังวลใจ

“ข้าไม่เป็นไร น้องของท่านคงจะเป็นห่วงท่านแม่มากเกินไป เลย…” สวี่ชิงเอ๋อร์กล่าวเสียงเบา

ซูจิ่นเฉียงจ้องมองซูหวานหว่าน จากนั้นก็ตำหนิออกมาสองสามประโยค ก่อนจะพาสวี่ชิงเอ๋อร์และแม่เจิ้นเข้าไปในบ้าน และถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ซูหวานหว่านอยู่นอกประตูก็รู้สึกมึนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?

มันเกิดอะไรขึ้น? พี่ชายของนางไปชอบพอกับหญิงสาวยั่วสวาทนั้นได้อย่างไรกัน? ซูหวานหว่านเลิกคิ้วขึ้นและมองไปที่สวี่ชิงเอ๋อร์ทันที นางมองเห็นความภาคภูมิใจในแววตาของสวี่ชิงเอ๋อร์

แน่ชัดแล้วว่าสวี่ชิงเอ๋อร์ต้องเป็นสิ่งที่รับมือยากสำหรับนางแน่!

ฉีเฉิงเฟิงหยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดเศษโจ๊กบนพื้น ซูหวานหว่านจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บที่ไหล่จึงรีบแย่งไม้กวาดและลงมือทำเอง ครั้นคิดถึงเรื่องที่ฉีเฉิงเฟิงแบกนางคนนั้นมาด้วย เด็กสาวพลันหันมองไปที่ชายหนุ่มด้วยความโกรธและไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ฉีเฉิงเฟิงพยายามเข้าไปคุยกับซูหวานหว่าน ทว่านางไม่สนใจและยังเมินใส่เขาอีกต่างหาก เขาจึงคิดว่าวิธีการนี้ไม่ได้ผล เลยเดินเข้าไปในครัวและยกโจ๊กออกมาให้ซูหวานหว่านกิน แต่นางก็ยังไม่กิน ชายหนุ่มจึงตักโจ๊กขึ้นจ่อริมฝีปากนางแล้วเอ่ย

“หากเจ้าไม่กิน ข้าก็จะถือมันเอาไว้เช่นนี้และถ้าเจ้ายังเดินหนีอีก ข้าก็จะถือเดินตามไปเรื่อย ๆ ให้ผู้อื่นรับรู้กันไปเลย” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมาพร้อมกับยิ้มจาง ๆ

เขากล้าขู่นางอย่างงั้นหรือ? นางไม่ได้โกรธอะไรเสียหน่อย! เพียงแค่รู้สึกไม่พอใจเท่านั้น!

เมื่อเห็นแววตาสดใสของฉีเฉิงเฟิงพร้อมรอยยิ้ม ซูหวานหว่านก็ผงะไป ในตอนนี้นางหลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้จึงอ้าปากรับโจ๊กที่เขาป้อนให้

“อร่อยหรือไม่?” ฉีเฉิงเฟิงถาม

“อืม” ซูหวานหว่านพยักหน้าและอ้าปากรับโจ๊กอีกครั้ง ฉีเฉิงเฟิงจึงยิ้มออกมา

บรรยากาศของทั้งสองอบอวลไปด้วยความรัก ส่วนอีกด้านสวี่ชิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ภายในบ้านก็แอบยืนมองดูพวกเขาสองคนพร้อมกับกัดริมฝีปากด้วยเองด้วยความโกรธและคิดในใจ ‘ชายที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบต้องตกเป็นของนางเท่านั้น ซูหวานหว่านไม่คู่ควรกับเขาเลยแม้แต่น้อย!’

ไม่รู้ว่าพี่ชายและแม่ของนางพูดคุยกันไปนานเพียงใด ซูหวานหว่านก็กินโจ๊กเสร็จพอดี พลันใดนั้นพวกเขาก็พากันเดินออกมาที่ลานบ้าน สวี่ชิงเอ๋อร์จึงวิ่งเข้าไปหาซูหวานหว่านและเอ่ยว่า “น้องสาว ข้ารู้สึกขอบใจเจ้ามากที่อยู่บ้านดูแลท่านแม่แทนพี่ชายของเจ้า! พี่ชายของเจ้ายุ่งกับการเรียนและเตรียมตัวสอบ จึงไม่ค่อยได้กลับบ้านมาช่วยงานเจ้าเท่าใดนัก คงทำให้เจ้าลำบากไม่น้อย ข้าไม่มีสิ่งใดจะมอบให้เจ้าเป็นการตอบแทน ข้าขอมอบปิ่นดอกไม้ที่ข้าชอบมากที่สุดให้แก่เจ้าแล้วกัน เจ้าอย่าทิ้งมันนะ”

พอพูดจบ นางก็ดึงปิ่นดอกไม้บนศีรษะของตนเอง เฝ้ารอคำตอบว่าซูหวานหว่านจะตอบออกมาอย่างไร ซูหวานหว่านจึงตอบว่า “ไม่จำเป็นหรอก ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบมัน แต่ว่าคู่หมั้นของข้าไม่ชอบที่ข้าปักมันน่ะ”

ยังลากฉีเฉิงเฟิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีกเรอะ!

สีหน้าของสวี่ชิวเอ๋อร์ไม่น่ามองเป็นอย่างมาก นางมองไปที่ซูหวานหว่าน พลันใดก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเปลี่ยนไป ใบหน้าของนางดูสดใสและเปล่งประกาย แม้ว่านางจะแต่งกายบ้าน ๆ ธรรมดา ๆ ทว่าก็ยังสวยมาก ซ้ำร้ายเด็กสาวก็ยังคงไม่เรียกร้องขออะไรอีกด้วย และขอเพียงให้สวี่ชิงเอ๋อร์เก็บปิ่นกลับไป

เมื่อแม่เจิ้นเห็นความรักของซูจิ่นเฉียงมีต่อสวี่ชิงเอ๋อร์ แม่เจิ้นจึงเดินเข้าไปหาซูหวานหว่านและกล่าวเบา ๆ “ลูกสาวข้า เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้? พี่ชายของเจ้าบอกกับข้าว่าครอบครัวของนางได้แยกทางกัน พี่ชายของเจ้าบังเอิญไปเจอนางที่แม่น้ำและเผลอไปเห็นร่างกายของนางเข้าตอนกำลังอาบน้ำ จึงอยากที่จะรับผิดชอบ เขาเลยพานางมาที่บ้านของเรา ข้าคิดว่าหญิงสาวผู้นี้มีชีวิตค่อนข้างลำบาก อีกทั้งมองดูแล้วนางก็น่าจะเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่พอสมควร เจ้าคิดว่าเราจะจัดการเรื่องงานแต่งงานของพวกเขาเมื่อใดดี?”

หญิงยั่วสวาทผู้นี้มาที่นี่เพื่อที่จะรีบแต่งงานอย่างงั้นหรือ? ซูหวานหว่านขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ท่านพี่จะต้องเตรียมตัวสอบในอีกสองเดือนข้างหน้า รอให้เขาสอบเสร็จแล้วกลับมาอีกครั้ง ค่อยจัดงานแต่งงานก็ได้ หากจัดงานแต่งงานในตอนนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อเรื่องการเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบได้”

สวี่ชิงเอ๋อร์แอบได้ยินเรื่องที่สองแม่ลูกกำลังคุยกันและพูดออกมาทันที “ท่านแม่ เมื่อก่อนครอบครัวของข้าก็สอบติดขุนนางรับราชการกันทั้งนั้น แน่นอนว่าข้าจะไม่ทำให้ซูจิ่นเฉียงได้รับผลกระทบหรือเสียสมาธิในการเตรียมตัวสอบเข้ารับราชการหรอกเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูจิ่นเฉียงก็มีความสุขเป็นอย่างมาก “ท่านแม่! ข้าไม่อยากไปสอบแล้ว ขอแค่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับสวี่ชิงเอ๋อร์ข้าก็พอใจแล้ว! ข้าจะได้มีหลานชายมาให้ท่านแม่อุ้มเร็ว ๆ ไง!”

แล้วคำพูดที่เคยเอ่ยเอาไว้ก่อนหน้านี้ที่ว่าจะสอบเข้ารับราชการล่ะ? หากว่าสอบติดแล้วก็จะสอบชิงตำแหน่งเพื่อเลื่อนขึ้น อีกทั้งจะทำให้ครอบครัวของเราอยู่ดีมีกินมีใช้ ทว่าตอนนี้พี่ชายของนางกลับหลงแม่นางยั่วสวาทคนนี้หัวปักหัวปำจนลืมสัญญาไปแล้วหรือไร?

ซูหวานหว่านยิ้มเยาะหันไปมองพี่ชายของตนเอง เมื่อคิดถึงความคิดที่เปลี่ยนไปของซูจิ่นเฉียง นางก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยออกมาอย่างไร เพราะต่อให้พูดอย่างไรซูจิ่นเฉียงก็ไม่เชื่อฟังคำพูดของนางอยู่ดี “ท่านพี่ ท่านพูดออกมาง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน! ท่านจะต้องคิดถึงพี่สะใภ้ของข้าให้มาก ๆ! เมื่อครู่นางบอกว่าครอบครัวของนางรับราชการกันทั้งนั้น ท่านลองคิดดูดี ๆ ว่าท่านควรไปสอบราชการให้ติด มันจะทำให้พี่สะใภ้ของข้ามีหน้ามีตาและภาคภูมิใจที่สามีของตนเองเก่งเพียงนี้”

“ที่เจ้าพูดมามันก็จริง!” ซูจิ่นเฉียงจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาจึงตัดสินใจที่จะไปสอบรับราชการ ทำให้สวี่ชิงเอ๋อร์ไม่พอใจอย่างมากเตรียมเอ่ยขัด ทว่าเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาก่อนอยู่นอกประตูหน้าบ้าน

ซูต้าเฉียงตะโกนออกมาอย่างมีความสุขจากด้านนอกประตูใหญ่ว่า “หว่านเอ๋อร์! ลูกเมียของข้า! ออกมาข้างนอกเร็ว ๆ! ที่ทางเข้าหมู่บ้านมีเกวียนจำนวนมากขนของมาส่ง! บอกว่าเป็นของที่หว่านเอ๋อร์สั่งซื้อมา ข้าเห็นของบนเกวียนมีเก้าอี้และเตียงนอนด้วย! พวกเจ้ามาช่วยกันขนของลงเร็วเข้า!”

“ได้เจ้าค่ะ!” ซูหวานหว่านรีบเดินออกไป ฉีเฉิงเฟิงเองก็เดินตามออกไปด้วย แม่เจิ้นและซูจิ่นเฉียงเองก็เดินตามออกไปเช่นกัน ในตอนนี้ที่บ้านเช่ามีเพียงสวี่ชิงเอ๋อร์คนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ตามลำพัง

สวี่ชิงเอ๋อร์รู้สึกหงุดหงิดเสียเหลือเกิน มันไม่เหมือนกับที่นางคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้เลย!

สวี่ชิงเอ๋อร์ขบริมฝีปากแน่นและบีบข้อมือของตัวเองอย่างแรง นางอยากจะเดินตามออกไปทว่าก็ถูกซูจิ่นเฉียงลากตัวกลับมาที่บ้านแล้วพูดว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องตามไปช่วยหรอก วันนี้เจ้ากำลังจะมีระดู”

“เหอะ! หากเจ้านอนกับข้าเสียให้สิ้นเรื่อง ข้าก็คงท้องและวันนี้ข้าก็คงไม่มีระดูแล้ว!” สวี่ชิงเอ๋อร์บ่นออกมาพร้อมกับนั่งลง ซูจิ่นเฉียงจึงพูดเกลี้ยกล่อมออกมาอีกครั้ง “ชิงเอ๋อร์ ข้าจะต้องรอจนถึงวันที่เจ้ากับข้านั้นแต่งงานกันก่อน ข้าถึงจะแตะต้องตัวเจ้าได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวนะ!”

ซูหวานหว่านที่เดินไปได้ไม่ไกลรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่นางได้ยินเองกลับหู จึงหันตัวกลับมาแล้วแอบฟังทั้งสองพูดคุยกันโดยใช้พลังวิเศษ นางยืนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่โดยครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้ยิน

เดาจากทักษะการรักษาที่นางพอรู้อยู่บ้าง เห็นได้ชัดเจนว่าสวี่ชิงเอ๋อร์นั้นกำลังตั้งครรภ์! ประกอบกับคำพูดที่ได้ยินจากบทสนทนาทั้งสอง ดูเหมือนว่าพี่ชายของนางกับสวี่ชิงเอ๋อร์จะยังไม่ได้เสียเป็นผัวเมียกันด้วย!

ไม่น่าแปลกใจเลยที่สวี่ชิงเอ๋อร์อยากที่จะแต่งงานกับพี่ชายของนางเร็ว ๆ ที่แท้ก็ต้องการมาจับพี่ชายของนางมาเป็นพ่อของเด็กในท้องงั้นหรือ!

หาใครไม่หาดันมาหาครอบครัวของนาง!

ซูหวานหว่านยิ้มออกมาอย่างเย็นชา พร้อมกับคิดว่าจะต้องสั่งสอนนังผู้หญิงแพศยาคนนี้ให้รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว!