ตอนที่ 102 กระดาษบาง ๆ ไม่สามารถหยุดไฟได้

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 102 กระดาษบาง ๆ ไม่สามารถหยุดไฟได้

เมื่อตัดสินใจแล้ว ซูหวานหว่านจึงเดินไปหาทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอยู่ภายในบ้านพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ไปก่อนก็ได้ นางเพิ่งเดินทางมาถึงที่บ้านของเราเหนื่อย ๆ อย่าทำให้พี่สะใภ้รู้สึกไม่สบายใจเลย”

“ได้สิ” ซูจิ่นเฉียงตอบตกลง

สวี่ชิงเอ๋อร์รู้สึกสงสัยว่าที่ซูหวานหว่านปฏิบัติกับตนเช่นนี้คงจะต้องมีอะไรแอบแฝงเป็นแน่ ครั้นจะเอ่ยบางอย่างออกมาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางแล้ว

ซูหวานหว่านเดินออกมาครึ่งทางก็เอ่ยกับมารดา “ท่านแม่ ข้ามาคิดดูแล้ว มันคงจะไม่ง่ายเลยที่ท่านพี่พบเจอกับหญิงสาวที่เขารัก ภูมิหลังของครอบครัวพี่สะใภ้ก็ใสสะอาด หากเราปล่อยให้พวกเขารอไปมากว่านี้ ข้าเกรงว่าพี่สะใภ้จะถูกพวกชาวบ้านดูหมิ่นนินทาเอาได้ เช่นนั้นแล้วท่านแม่ไปหาแม่สื่อหวังที่หมู่บ้านข้าง ๆ ถามเรื่องฤกษ์งามยามดี เพื่อจัดงานแต่งงานให้กับพวกเขาดีหรือไม่? ท่านแม่ว่าอย่างไรดี?”

แม่เจิ้นเองก็คิดเองเช่นนั้นจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว นางจึงไม่ได้ไปช่วยซูต้าเฉียงขนของลงจากเกวียนและผละไปยังหมู่บ้านข้าง ๆ เพื่อตามหาแม่สื่อหวังแทน

“เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนอารมณ์ง่ายดายเช่นนี้?” ฉีเฉิงเฟิงยิ้ม

“เจ้าลองเดาดู” ซูหวานหว่านขมวดคิ้วขณะจ้องอีกฝ่าย นางครุ่นคิดเล็กน้อย “ในวันนี้หากเจ้ากลับไปบ้าน เจ้าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและนำมันมาให้ข้าเสีย”

“เจ้าจะทำอันใด?” ฉีเฉิงเฟิงถามอย่างสงสัย

“ข้าเห็นว่าเสื้อของเจ้ามันขาดแล้ว จึงอยากจะซ่อมมันก็เท่านั้น” ซูหวานหว่านตอบตามความจริง

เสื้อผ้าที่ขาดของเขามันได้รับการซ่อมแล้วหรือ? ฉีเฉิงเฟิงจึงไม่เชื่อคำพูดของซูหวานหว่าน ทว่าก็ไม่ได้ถามไถ่อันใดต่อและพยักหน้าตกลง

ชาวบ้านหลายคนรวมตัวกันอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน บริเวณหน้าหมู่บ้านมีเกวียนวัวจอดเรียงกันอยู่ เกวียนวัวแรกมีเก้าอี้วางซ้อนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทว่ามันสูงมาก น่าจะมีประมาณ 50 ตัวได้ พวกชาวบ้านต่างพากันอิจฉาครอบครัวนางเป็นอย่างมาก

บ้านผู้ใดกันที่จะมีเก้าอี้เยอะถึงเพียงนี้! มากสุดก็เพียง 20 ตัวเท่านั้น! เมื่อแขกเรือนมาเยือนบ้านจำต้องหยิบยืมมาจากบ้านอื่นก่อน! ทว่าบ้านของซูหวานหว่านมีเก้าอี้ถึง 50 ตัว!

ส่วนเกวียนวัวอีกคันนั้นมีเตียงที่ทำจากไม้แพรขนาดใหญ่ 6 เตียงวางซ้อนกันอยู่ ขาเตียงถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่ละเอียดอ่อนและประณีต อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกแพรส่งออกมา ทำให้ชาวบ้านต่างประหลาดใจ

บ้านของพวกเขายังไม่มีเตียงนอนเยอะขนาดนี้เลย!

ดูเหมือนว่าบ้านของครอบครัวซูหวานหว่านที่สร้างใหม่ จะต้องเอาเตียงมาใส่ห้องที่ว่างเพื่อทำเป็นห้องพักแขกเป็นแน่!

ทุกคนต่างพากันถอนหายใจและเดินไปดูเกวียนวัวคันที่สาม มีต้นไม้รูปร่างแปลกตาวางทับซ้อนกัน เห็นแบบนั้นทุกคนต่างพากันอิจฉา คนทั่วไปจะหาเวลาจากที่ไหนมาแต่งสวนถาดปลูกต้นไม้กัน!

“แม่นางซู โปรดนำทางพวกข้าไปที ข้าจะช่วยไปส่งถึงลานบ้านของท่านเอง ท่านเพียงแค่รอรับของเท่านั้น!” ชายคนหนึ่งบนเกวียนวัวตะโกนบอก

“ย่อมได้” ซูหวานหว่านพยักหน้าและนำทางไป พวกชาวบ้านเองก็เดินตามไปทั้งบอกว่าจะอาสาช่วยยกของลง แต่แท้จริงแล้วในใจของพวกเขาต้องการประจบซูหวานหว่านและอยากลองจับของดี ๆ ให้เป็นบุญมือสักครั้ง!

พวกชาวบ้านช่วยกันขนของลงอย่างรวดเร็ว บ้านใหม่ของซูหวานหว่านงดงามเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ชาวบ้านอดที่จะรู้สึกริษยาไม่ได้ ซึ่งข่าวคราวบ้านใหม่ของตระกูลซูสามเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงทั่วทั้งหมู่บ้าน

ผู้คนในหมู่บ้านรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของบ้านตระกูลซูสามราวกับติดปีก ทั้งยังลือว่าซูจิ่นเฉียงพาหญิงสาวหน้าสะสวยคนหนึ่งกลับมาที่บ้าน อีกทั้งแม่สื่อหวังเองก็มายังบ้านซูหวานหว่านอีกด้วย ทำให้ชาวบ้านต่างเข้ามามุงดูด้วยความตื่นเต้น

“สวี่ชิงเอ๋อร์ ภรรยาของซูจิ่นเฉียงงั้นหรือ? ไม่เลวเลยทีเดียว!”

“ใช่ ๆ”

“…”

สวี่ชิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ในบ้านรู้สึกภาคภูมิใจที่มีคนพูดจาสรรเสริญเยินยอตัวเอง หัวใจของนางมีความสุขยิ่งและกล่าวมาอย่างเขินอาย “ท่านป้าเจ้าคะ พวกท่านไม่ต้องชมข้าถึงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ สวี่ชิงเอ๋อร์คนนี้สวยที่ไหนกัน!”

ซูหวานหว่านที่กำลังเตรียมกับข้าวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งภายในใจ ประเดี๋ยวสวี่ชิงเอ๋อร์ก็จะยิ้มไม่ออกแล้ว!

“แม่สื่อหวังเดินทางมาถึงแล้ว!” ชาวบ้านตะโกนบอกเมื่อเห็นหญิงร่างท้วมเดินมา

แม่สื่อหวังผู้นี้มีอายุเพียง 30 ปีเท่านั้น บนศีรษะของนางมีดอกโบตั๋นสีแดงประดับอยู่ ใบหน้ามีสีชมพูฝาด ริมฝีปากแดง ทั้งยังแต่งกายด้วยชุดสีแดง ดูงามตายิ่งนัก

เมื่อแม่สื่อหวังเดินทางมาถึงก็มองสำรวจซ้ายขวาที่ลานบ้าน พร้อมทั้งมองไปยังชาวบ้านอย่างใคร่รู้ว่าพวกเขามาทำอะไรกัน นางชี้นิ้วไปที่ซูหวานหว่านพร้อมขยิบตาให้กับแม่เจิ้น “นี่เป็นลูกสะใภ้ในอนาคตของเจ้างั้นรึ? เหตุใดถึงเหมือนเจ้าเยี่ยงนี้! เจ้าช่างโชคดีเสียจริง ๆ บางทีนางอาจจะเป็นลูกสาวของเจ้าเมื่อชาติที่แล้วก็ได้นะ!”

“ชาตินี้ก็เช่นกันเจ้าค่ะ” ซูหวานหว่านหัวเราะและหันไปมองไปสวี่ชิงเอ๋อร์ที่กำลังตกอยู่ในอาการประหม่า นางจึงตั้งหน้าตั้งตาดูละครฉากต่อไป

สายตาของแม่สื่อหวังไม่ได้แสแสร้งและเต็มไปด้วยความสัตย์จริง แน่นอนว่านางไม่เคยเห็นสวี่ชิงเอ๋อร์ที่เป็นคู่หมั้นของซูจิ่นเฉียงมาก่อนแน่นอน!

ชาวบ้านต่างพากันสงสัย แต่ว่ายังจ้องมองไปยังแม่สื่อหวัง

สวี่ชิงเอ๋อร์ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเสียงพูดคุยจอแจของชาวบ้านกลบเสียงของนางเอาไว้หมด “แม่สื่อหวัง! ท่านทำเช่นนี้มากี่ปีแล้ว! สายตาของท่านยังเฉียบแหลมนัก! ท่านลองเดาอีกสิ! ว่าคือใคร?”

ชาวบ้านเอ่ยอย่างตื่นเต้นและจงใจผลักลูกสาวหรือลูกสะใภ้ที่อยู่ด้านหน้าของตนเองออกมา

แม่สื่อหวังหัวเราะ “เจ้าพวกไร้ยางอาย กล้าดีอย่างไรถึงมาหลอกข้า ทำให้ข้ารู้สึกสับสน!”

พูดเสร็จก็ชี้ไปที่ลูกสะใภ้ตระกูลหลี่ นางยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าสามารถบอกได้ว่า นางท้องได้สองเดือนแล้ว! แน่นอนว่านางต้องไม่ใช่ลูกสะใภ้ของตระกูลซูอย่างแน่นอน”

แล้วนางก็ชี้ไปที่หญิงสาวจากตระกูลหลี่อีกครั้ง “หากจะให้พูด มีเพียงนางและลูกสาวของตระกูลซูเท่านั้นที่ยังคงบริสุทธิ์อยู่! ต้องเป็นนางแน่!” สีหน้าของชาวบ้านต่างเปลี่ยนไป

สายตาของแม่สื่อหวังมองอย่างเฉียบขาด! นางมีชื่อเสียงในด้านการพูดเดาคนออกอย่างแม่นยำ

พูดแบบนี้แสดงว่าสวี่ชิงเอ๋อร์ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์รึ?

ใบหน้าของสวี่ชิงเอ๋อร์นั้นพลันเปลี่ยนสี

ซูหวานหว่านวิ่งเข้าไปประคองสวี่ชิงเอ๋อร์และพูดออกมา “ท่านพี่สะใภ้ ท่านไม่เป็นอะไรนะ? วันนี้ท่านลำบากมามากแล้ว กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่กับท่านพี่ของข้า ดังนั้นท่านจะต้องพักผ่อนให้เพียงพอนะเจ้าคะ”

ใบหน้าของแม่สื่อหวังซีดขาวและชี้ไปที่สวี่ชิงเอ๋อร์ด้วยท่าทางไม่เชื่อ “นี่แม่นางซู เจ้าอย่ามาโกหกข้า สตรีนางนี้ไม่ได้บริสุทธิ์ พวกเราต่างก็ไม่รู้จักนางอีกทั้งยังไม่รู้เรื่องเบื้องหลังของแม่นางคนนี้อีกด้วย เจ้าควรไปบอกกับพี่ชายของเจ้าให้คิดเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานใหม่อีกรอบนะ”

คำพูดนี้ที่พูดตรงไปตรงมาทำให้สวี่ชิงเอ๋อร์เกิดอารมณ์โทสะอย่างมาก เดิมทีนางวางแผนที่จะพูดอธิบาย แต่ดันมาถูกแม่สื่อหวังชิงพูดตัดหน้าเสียก่อน!

ใบหน้าของสวี่ชิงเอ๋อร์พลันเปลี่ยนสี นางกำลังจะแสร้งทำว่าเป็นลมเพื่อหลบหนีสถานการณ์ตรงหน้า ทว่าถูกซูหวานหว่านบีบจมูกของนางเอาไว้ ทำให้สวี่ชิงเอ๋อร์จะต้องอ้าปากเพื่อหายใจ มันเลยทำให้นางไม่สามารถแสร้งเป็นลมสลบไปได้ นางจึงจ้องไปที่ซูหวานหว่านด้วยความโกรธเคือง

แม่สื่อหวังถึงกับส่ายหัวพร้อมกับหยิบเหรียญเงินออกจากแขนเสื้อตัวเอง แล้วยื่นให้แม่เจิ้น “ข้าไม่สามารถจับคู่ผู้หญิงคนนี้กับลูกชายเจ้าได้ เจ้าเอาไปคืนซะ”

แม่เจิ้นผลักมือแม่สื่อหวังกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่พอใจ นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดออกมาดี ซูหวานหว่านจึงช่วยพูดออกมา “ท่านป้าเจ้าคะ ท่านรับไปเถิด! พี่สะใภ้ของข้าเดินทางมากับพี่ชายข้า หากจะพูดก็คือนางคงเสียความบริสุทธิ์ไปให้กับพี่ชายของข้าในระหว่างนั้น ข้าคิดว่านางไม่ผิดอะไร หากจะตำหนิ คงจะต้องโทษพี่ชายของข้าเอง จะมาโทษพี่สะใภ้ของข้าได้อย่างไรกันเจ้าคะ?”

ที่พูดคำพูดเหล่านี้ออกมา นางกำลังช่วยนางอยู่ใช่หรือไม่? ทว่าสวี่ชิงเอ๋อร์กลับรู้สึกไม่มีความสุขเอาเสียเลย นางหันไปพร้อมกับจ้องมองซูหวานหว่านโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา

ซูหวานหว่านจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วเรียกซูจิ่นเฉียงออกมา นางเหลือบมองสวี่ชิงเอ๋อร์และถามออกมาอย่างตกใจ “เป็นท่านพี่ใช่หรือไม่ที่ทำลายความบริสุทธิ์ของท่านพี่สะใภ้ไป!”

ซูจิ่นเฉียงตกใจและทำตัวไม่ถูก เขาคุกเข่านั่งลงกับพื้นในทันที “ข้าไม่เคยแตะต้องตัวนางเลย!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวี่ชิงเอ๋อร์ก็พูดออกมาอย่างโกรธเคือง “ซูหวานหว่าน! ข้าอุตส่าห์รักเจ้าเหมือนดั่งน้องสาวแท้ ๆ แต่ดูเจ้าทำกับข้าสิ? เจ้าจงใจทำให้ข้าขายหน้าต่อหน้าคนอื่น ๆ ใช่หรือไม่? ข้ายังคงบริสุทธิ์อยู่!!”

หลังจากนั้น นางก็ยกแขนเสื้อขึ้นและเห็นตราสัญลักษณ์โส่วกงซา*[1]

เมื่อเห็นแบบนั้น ชาวบ้านทุกคนต่างก็งงว่าใครกันแน่ที่พูดเรื่องจริง? เป็นไปได้ไหมที่ซูหวานหว่านจะกลั่นแกล้งว่าที่พี่สะใภ้ของตัวเอง?

[1] 守宫砂 (โส่วกงซา) หรือว่าจะเรียกแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า เป็นจุดพรหมจรรย์แดงที่ข้อมือ คือการแต้มจุดแดงพรหมจรรย์ที่ข้อมือของหญิงเพื่อเป็นเครื่องหมายของการรักษาความบริสุทธิ์หากสูญเสียพรหมจรรย์ จุดแดงนี้จะหายไป