[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 363 : ล้างบางเมืองจิงฉู (12) – อยู่เคียงข้างเสมอ!

วันนี้เมืองจิงฉูดูเหมือนจะอากาศร้อนมากเป็นพิเศษ ดวงอาทิตย์ส่องแสงร้อนแรงทำให้ผืนดินร้อนระอุไม่ต่างจากเตาไฟ เพียงช่วงเวลาแปดโมงเช้า อุณหภูมิก็ขึ้นไปถึงสามสิบองศา!

หลังจากหลิงหยุน ถังเมิ่ง เหล่ากุ่ย และตู้กู่โม่ ทานอาหารเช้าเสร็จ ถังเมิ่งก็ทำหน้าที่คนขับรถพาทุกคนรวมทั้งเจ้าขาวปุยกลับไปที่บ้านของตัวเองก่อนเพื่อเปลี่ยนมาใช้รถฮัมเมอร์ของเขาแทน จากนั้นก็พาทุกคนมุ่งหน้าสู่ถนนหลินเจียงทันที!

ระหว่างทางถังเมิ่งก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมากว่า “พี่หยุน.. เราไม่มีรถแมคโครเลย เครื่องมืออะไรก็ไม่มี แล้วจะไปรื้อถอนบ้านได้ยังไง?!”

เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่มองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างก็เห็นด้วยกับถังเมิ่ง..

และต่อให้มีเงินไปจ้างบริษัทมารื้อถอนจริงๆ หากไม่ใช่บ้านของคนที่ว่าจ้าง บริษัทที่รับจ้างก็คงไม่กล้าทำโดยพละการเช่นกัน ใครบ้างจะไม่กลัวว่าจะต้องกลายเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้น!

หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับตอบไปว่า “ใครบอกนายล่ะว่าจะต้องใช้รถยกรถขุดอะไรพวกนั้น ฉันนี่ล่ะ.. จะเป็นคนรื้อถอนด้วยตัวเอง รับรองว่าจะเอาให้ราบเป็นหน้ากองเลย!”

ไม่จำเป็นที่หลิงหยุนจะต้องใช้รถขุดหรือเครื่องมืออะไรในการรื้อถอนทั้งนั้น เพราะหม้อเสินหนงที่หนักหลายพันกิโลกรัม เขายังหิ้วได้อย่างสบาย อีกทั้งเขายังมีตัวช่วยอย่างกระบี่โลหิตแดนใต้ และยันต์อัคนี เพียงแค่นี้เขาก็สามารถรื้อถอนบ้านทั้งหลังได้อย่างง่ายดายแล้ว!

กระบี่โลหิตแดนใต้นั้น เป็นกระบี่วิเศษ สามารถตัดของแข็งได้ไม่ต่างจากตัดเต้าหู้นิ่มๆ!

การที่หลิงหยุนตั้งใจรื้อถอนบ้านด้วยตัวเองโดยไม่ใช้รถขุด เพราะต้องการให้เสียเจิ้นติง หลัวจ้ง และกู่เหลียนเฉิง ได้เห็นความแข็งแกร่งของเขา อีกทั้งเพื่อต้องการป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่า.. หลิงหยุนได้กลับมาแล้ว! ดังนั้น.. การรื้อถอนบ้านจึงจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

ครั้งนี้.. หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องหลบกล้องวงจรปิดอีกต่อไป อีกทั้งยุคสมัยนี้ยังมีโทรศัพท์มือถือที่สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวต่างๆได้อีกด้วย ในเมื่อเขาต้องการขึ้นมาผงาดอีกครั้ง การให้ผู้คนจำนวนมากได้รู้ได้เห็นจึงเป็นเรื่องจำเป็น และยิ่งคนรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ไม่เช่นนั้น.. การปฏิบัติการของเขาในครั้งนี้จะเรียกว่าล้างบางได้อย่างไร?

หลิงหยุนต้องการให้คนทั้งเมืองจิงฉูได้เห็นว่า.. ใครก็ไม่มีสิทธิ์รื้อทำลายบ้านของเขา!

เวลาแปดโมงเช้า.. เป็นช่วงเวลาที่การจราจรค่อนข้างเคลื่อนตัวได้ไม่ดีนัก แต่หลิงหยุนเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาจึงนั่งฮัมเพลงไปในรถอย่างอารมณ์ดี แต่หารู้ไม่ว่าทั้งถังเมิ่งและเหล่ากุ่ยต่างก็เครียดกันจนเหงื่อตก..

ความเครียดของถังเมิ่งนั้นเกิดจากความตื่นเต้น เลือดในตัวของเขาพลุ่งพล่าน และเหงื่อก็ไหลออกมาเต็มฝ่ามือที่จับพวงมาลัย เดาไม่ออกว่าถังเมิ่งเหงื่อออกเพราะอากาศร้อน หรือว่าตื่นเต้นเกินไปกันแน่

แต่ความเครียดของเหล่ากุ่ยนั้น เกิดขึ้นเพราะความห่วงใย!

เขารู้ดีว่าการที่หลิงหยุนจะรื้อถอนบ้านด้วยมือเปล่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถ!

แต่ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า หลิงหยุนเป็นบุตรชายของหลิงเสี่ยว! อีกทั้งในเวลานี้ตระกูลหลิงก็ไม่ได้มีอำนาจอิทธิพลยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อครั้งในอดีต หากหลิงหยุนไปรื้อถอนบ้านของผู้คนตามอำเภอใจเช่นนี้ แล้วเกิดปัญหาขึ้นกับเขา ตระกูลหลิงคงมีอำนาจไม่พอที่จะช่วยเหลือได้!

เหล่ากุ่ยกำลังครุ่นคิดว่า เขาควรจะเปิดเผยฐานะของตนเองกับหลิงหยุนดีหรือไม่? เพราะดูแล้วว่าหลิงหยุนได้ตัดสินใจจะลงมือรื้อถอนบ้านคนอื่นอย่างแน่นอน หากมีทีมข่าวในเมืองจิงฉูพากันออกมาทำข่าว และเผยแพร่ภาพของหลิงหยุนออกไป แน่นอนว่าคนทั่วทั้งประเทศจะต้องรู้จักหลิงหยุนอย่างแน่นอน!

และเมื่อใดก็ตามที่ภาพของหลิงหยุนถูกเผยแพร่ทางอินเทอร์เนต ตระกูลใหญ่ต่างๆในเมืองหลวงรวมทั้งตระกูลหลิงเองก็ต้องได้เห็นเช่นเดียวกัน และไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นหลิงหยุน ก็ต้องเข้าใจได้ทันทีว่าหลิงหยุนต้องมีความสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งกับตระกูลหลิงอย่างแน่นอน!

วันนี้ดูเหมือนจะเป็นวันใหญ่อีกทั้งท้องฟ้าแจ่มใส เหล่ากุ่ยได้แต่ใช้ผ้าปิดหน้าอำพรางตัวตน!

เหล่ากุ่ยกำลังใคร่ครวญว่าจะเอ่ยปากห้ามหลิงหยุนดีหรือไม่? แต่จากที่เขาสังเกตุเห็นบุคลิกและอุปนิสัยใจคอของหลิงหยุนนั้น หลิงหยุนเป็นคนที่พูดคำใหนคำนั้น และเมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้ว เขาจะไม่ยอมเปลี่ยนใจเด็ดขาด! อีกทั้งเป็นคนที่ชัดเจน!

เหล่ากุ่ยได้แต่คิดในใจว่า ‘เอาเถอะ.. อย่างน้อยการรื้อถอนบ้าน ก็น่าจะดีกว่าการแอบไปฆ่าคน! และดูเหมือนว่าตลอดระยะเวลาสิบแปดปีที่นายน้อยต้องใช้ชีวิตข้างนอก ก็น่าจะได้รับความทุกข์มากมาย คงต้องปล่อยให้เขาได้กู้ศักดิ์ศรีของตนเองคืนบ้าง..’

หลังจากเหล่ากุ่ยครุ่นคิดอยู่นาน.. เขาก็กระแอมออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. คนอื่นรื้อทำลายบ้านของเจ้า แล้วเจ้ากลับไปรื้อบ้านของพวกมันคืน นับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง! แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่ควรลงมือในเวลากลางวัน มันโจ่งแจ้งเกินไป..”

หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “เหล่ากุ่ย.. ดูจากการแต่งตัวของท่าน ทั้งชุดสีดำกับผ้าปิดหน้า คงไม่สะดวกจะเปิดเผยตัวสินะ ถ้ายังไง.. ท่านกลับไปพักที่อพาร์ทเมนท์ก่อนจะดีไม๊? ส่วนเรื่องรื้อถอนบ้าน ปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กๆอย่างพวกเราก็แล้วกัน! อีกอย่างคืนนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ดุดเดือดอีก!”

ตอนนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมของเฉิงเม่ยเฟิงว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหลังจากที่ถูกตระกูลซันจับตัวไว้ ส่วนเสี่ยวเม่ยเม่ยก็หายตัวไป ทางด้านเกาเฉินเฉินก็ไร้ข่าวคราว หลิงหยุนไม่สามารถรอคอยได้อีก! เขาจึงต้องจัดการกับหลัวจ้งและคนอื่นๆก่อน และในคืนนี้ เขาตั้งใจจะบุกเข้าไปที่บ้านตระกูลเฉิง และจัดการถอนรากถอนโคลนตระกูลซัน เพื่อให้เมืองจิงฉูกลับเข้าสู่ความสงบเสียที

เหล่ากุ่ยหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไว้รอให้รถไปถึงที่ก่อน พวกเจ้าเด็กๆก็ลงไปจัดการก็แล้วกัน!”

ในเมื่อเขายังไม่อยู่ในฐานะที่จะแสดงตัวได้ เขาจึงไม่ต้องการเป็นจุดสนใจของคนทั่วไป และไม่ต้องการให้ใครเห็นเขาปรากฏตัวพร้อมกับหลิงหยุน แต่เขาก็ยังคงต้องคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้หลิงหยุนอยู่ลับๆ

เพราะหากตระกูลซันปรากฏตัว และต้องการสร้างปัญหาให้กับหลิงหยุนในช่วงกลางวันแสกๆนี้ แน่นอนว่าเหล่ากุ่ยจะต้องปรากฏตัวขึ้นขัดขวางอย่างแน่นอน

ถังเมิ่งขับรถฮัมเมอร์ของเขามุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันออก หลังจากขับเข้าสู่ถนนวงแหวนรอบนอกตะวันออกแล้ว ปริมาณรถบนถนนก็ค่อยๆลดลงตามลำดับ ถังเมิ่งจึงเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วให้เร็วขึ้น และเพียงสี่สิบนาที รถฮัมเมอร์ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าคลีนิคประชาชน

หลิงหยุนนั่งอยู่ในรถฮัมเมอร์ สำรวจคลีนิคประชาชนที่ต้อนนี้ถูกทุบทำลายไม่เหลือแม้แต่ซาก!

“เยี่ยมมาก..! เพียงแค่สองวัน พวกแกก็สามารถทุบบ้านของแม่ฉันจนราบเป็นหน้ากองแบบนี้ได้ ช่างเป็นมืออาชีพจริงๆ!”

แต่ถึงอย่างนั้น.. หลิงหยุนก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกเสียใจแม้แต่น้อย เขายังมีบ้านอีกตั้งสองหลัง มีคลีนิค และยังมีร้านเสื้อผ้าที่เขา ‘ซื้อ’ ไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

แน่นอนว่า.. บ้านหลังนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขานัก!

“หลิงหยุน.. ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำไว้ว่าคนแก่เช่นข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ! ข้าต้องไปก่อนแล้ว!”

ทันทีที่พูดจบ.. เหล่ากุ่ยก็เปิดประตูรถลงไป และหายตัวไปทันที!

หลิงหยุนยิ่งสับสนและอยากรู้ว่าเหล่ากุ่ยเป็นใครกันแน่? หลิงหยุนเริ่มรู้สึกกระหายใคร่รู้มากยิ่งขึ้น หากเป็นแม่หรือท่านหมอเสี่ยวพูดประโยคนี้ เขาจะไม่นึกแปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เป็นชายชราลึกลับที่อยู่กับเขาเพียงแค่คืนเดียว กลับแสดงตัวยืนอยู่ข้างเขาอย่างชัดเจน?

‘ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร เขาจะอยู่เคียงข้างข้าเสมองั้นรึ? หรือว่าเขาต้องการรับข้าเป็นลูกศิษย์กันแน่?’

แต่คนที่แปลกใจและประหลาดใจยิ่งกว่าหลิงหยุนกลับเป็นถังเมิ่งและตู้กู่โม่ เมื่อเหล่ากุ่ยลงจากรถไปแล้ว ทั้งคู่ก็หันมาถามหลิงหยุน

“พี่หยุน.. คนแก่ที่ดูเก่งกาจมากคนนี้เป็นใครกัน น้ำเสียงก็ดูมีพลังมาก?”

หลิงหยุนมองถังเมิ่งพร้อมกับขยิบตาให้ “ก็ถ้านายมีวรยุทธ นายก็จะมีน้ำเสียงที่ทรงพลังแบบนั้นเหมือนกัน!”

หลิงหยุนตอบกลับไป แต่ในใจของเขากลับนึกถึงคำพูดของเหล่ากุ่ย.. น้ำเสียงของเขาไม่เพียงทรงพลังอย่างคนมีวรยุทธที่สูงส่ง แต่ยังดูมีอำนาจพอที่จะหนุนเขาได้อีกด้วย..! ใช่แล้ว!

‘แก๊งมังกรเขียว.. ถ้าขอให้แก๊งมังกรเขียวมาช่วยข้าได้ คงจะสนุกกว่านี้แน่..’

หลิงหยุนหยุดคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน.. จากนั้นทั้งเขา ถังเมิ่ง ตู้กู่โม่ และเจ้าขาวปุย ต่างก็ลงจากรถและตรงไปที่ร้านของนางหลี่หงเม่ย

ทันทีที่นางหลี่หงเม่ยเห็นรถฮัมเมอร์ก็จำได้ทันที เพราะถังเมิ่งขับรถคันนี้มาที่นี่หลายครั้งแล้ว

หลิงหยุนก้าวเท้าเข้าไปในร้านขายของชำด้วยท่วงท่าสง่างาม ด้านซ้ายเป็นถังเมิ่งที่ตอนนี้หัวโล้น ด้านขวาเป็นชายผมยามสวมเสื้อคลุมซึ่งก็คือตู้กู่โม่ ชายหนุ่มทั้งสามล้วนสูงกว่าหนึ่งเมตรแปดสิบ เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาพร้อมๆกันเช่นนั้น จึงเป็นภาพที่ดูน่าเกรงขามมากทีเดียว!

“หลิงหยุนมาแล้วเหรอ.. เกิดเรื่องใหญ่กับครอบครัวของเธอแล้วรู้ไม๊..?” หลี่หงเม่ยร้องออกมาอย่างกระตือรือร้นเมื่อเห็นหลิงหยุนเดินเข้ามา จากนั้นก็ทำเสียงเบากระซิบกระซาบ

หลิงหยุนพยักหน้าและยิ้มทักทาย “ป้าหลี่ครับ.. ผมเห็นแล้ว! พอจะรู้ไม๊ครับว่าเป็นฝีมือใคร?”

หลี่หงเม่ยถอนหายใจเสียงดังก่อนจะพูดขึ้นว่า “เฮ้อ.. จะเป็นใครไปได้ล่ะ! ก็ไอ้มัจจุราชคนนั้นนั่นล่ะ มาถึงมันก็ตรงเข้าไปรื้อบ้านของเธอโดยไม่สนใจใครเลย!”

หลิงหยุนยิ้มเย็นชาพร้อมกับถามเสียงเรียบ “แล้วตั้งแต่พวกมันมาจนเข้าไปทุบทำลายบ้าน ไม่มีใครเข้าไปห้ามเลยเหรอครับ?”

หลี่หงเม่ยถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก “มันมีหนังสืออนุญาตรื้อถอนมาด้วยน่ะสิ! ใหนจะพาทีมงานมาอีกเป็นสิบคน ใครจะกล้าขัดขวาง? เถียนป๋อเตามันคุมถนนเส้นนี้มานานหลายปี อย่าว่าแต่บ้านเธอไม่มีคนอยู่เลย ต่อให้อยู่กันครบทั้งสามคน ก็หยุดพวกมันไม่ได้หรอก!”

จากนั้นหลี่หงเม่ยก็หยุดถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเล่าต่อว่า “ฉันก็พูดกับไอ้มัจจุราชเถียนไปแล้วว่า ต่อให้มีหนังสืออนุญาตรื้อถอน ก็ต้องให้แม่ของเธอยินยอมและต้องได้รับเงินค่าชดเชยก่อน เพราะแม่ของเธอเป็นเจ้าของบ้าน แต่มันกลับตอบว่า.. ตอนนี้แม่ของเธอไม่อยู่ในจิงฉู ติดต่อไม่ได้ การรื้อถอนบ้านก็ล่าช้าไม่ได้เหมือนกัน พวกมันจึงต้องรื้อถอนก่อน!”

หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับคิดในใจว่า ดูเหมือนเถียนป๋อห่าวจะรู้รายละเอียดทุกอย่างเป็นอย่างดี เหล่ากุ่ยพูดได้ถูกต้อง พวกมันวางแผนกันมาอย่างดีแล้ว!

เจ้าหน้าที่ของทางราชการเข้ามารื้อถอนบ้านของเขา สำนักงานรักษาความมั่นคงก็ยึดบ้านของเขาที่เพิ่งซื้อทั้งสองหลัง อีกทั้งยังอายัดบัญชีธนาคารของเขาไว้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันยังจับกุมตี้เสี่ยวอู๋ไว้อีก ส่วนเสียเจิ้นเหยินก็รังควานน้องสาวของเขา เรียกว่าพวกมันร่วมมือกันเป็นขบวนการเลยทีเดียว!

“นั่นสิหลิงหยุน..  แล้วแม่ของเธอไปใหน? ฉันโทรหาตั้งหลายครั้งก็ติดต่อไม่ได้?”

หลี่หงเม่ยแสดงความเป็นห่วงฉินจิวยื่อ..

หลิงหยุนรู้ดีว่าหลี่หงเม่ยนั้นมีความสนิทสนมกับแม่ของเขา เขาจึงตอบกลับไปยิ้มๆ “ผมก็ไม่รู้ครับพอดีแม่ไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมจัดการได้ ขอบคุณนะครับป้าหลี่!”

หลิงหยุนถามต่อว่า “แล้วพอรู้ไม๊ครับว่าบ้านของเถียนป๋อห่าวกับบริษัทรื้อถอนนั่นอยู่ที่ใหน?”

“รู้สิ.. เธอไปทางตะวันออกราวหกร้อยเมตร ทางขวามือเป็นสำนักงานชั่วคราวของบริษัทรื้อถอน อีกไม่นานคงจะย้ายแล้ว..”

“ส่วนบ้านของเถียนป๋อห่าว.. มีใครบ้างไม่รู้จัก! มันนะมีบ้านตั้งหลายหลังอยู่ในเมือง แต่นั่นคงจะไกลไป พวกมันเลยพากันมาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านหลินเจียง หลานของมัน – เถียนเสี่ยวกวงก็อยู่ที่นั่นด้วย!”