วันต่อมา ผู้แทนพระองค์มาถึง ทุกคนที่ซีเหลียงออกมาต้อนรับเขาเข้าเมือง
เมื่อเข้าเมืองมาแล้ว ก็มาจัดวางธูปเทียนแท่นบูชาที่หมิงเพ่ยถังตามธรรมเนียม หัวดำๆ เป็นแถบกว้างคุกเข่าลงรับราชโองการ
ด้วยเหตุที่ผู้คนที่ต้องมารับพระราชทานรางวัลมีไม่น้อย ความชอบใหญ่น้อยของเหล่าทหารก็มีมากมาย และงานรับพระราชโองการเช่นนี้ก็ต้องมีพิธีการที่หรูหราโอ่อ่ายิ่งนัก ต้องมีการเลือกใช้ถ้อยคำสำนวนมากมายซับซ้อน ผู้แทนพระองค์อ่านออกมาดังๆ ไม่หยุดอยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ ราชโองการที่ใช้ถ้อยคำวรรคละสี่วรรคละหกอย่างงดงามฟังเสียจนทุกคนแทบจะเคลิ้มหลับ แต่กลับไม่อาจไม่ฝืนตัวให้อยู่ในอาการเคารพและซาบซึ้งได้…
ในที่สุดก็ถึงคำว่า “จึงมอบรางวัลให้ดังนี้” ทุกคนล้วนถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งใจ พากันร้องขอบพระทัยกันดังลั่น หลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว ก็พากันรีบร้อนสั่งให้คนเก็บโต๊ะธูปเทียนออกไป เข้าไปห้อมล้อมตัวตวนมู่ฉินเข้าที่นั่ง แล้วยกน้ำชากล่าวคำทักทาย
ที่ตรงนี้จึงไม่ใช่กิจของเหล่าสตรีชั้นสูงแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งกลับไปข้างหลัง ปลดเปลื้องเครื่องประดับต่างๆ ออก แล้วสอบถามนางหวงว่า “ทางงานเลี้ยงท่านไปดูมาแล้วหรือไม่?”
นางหวงบอกว่า “เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเพิ่งไปดูมาเจ้าค่ะ ล้วนเรียบร้อยพร้อมสรรพดีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า ยกแขนขึ้นให้บ่าวช่วยตนถอดชุดพิธีการที่หนักอึ้งออก จากนั้นก็ถอดกำไลหยกที่อยู่บนข้อมือทั้งสองข้างออกมาวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง กล่าวว่า “ไปบอกให้บ่าวไพร่พิถีพิถันสักหน่อย ต้องดูแลรับใช้ให้ครบครัน แล้วพวกเขาจะได้รางวัล หากมีคนที่กล้าฉวยโอกาสนี้หัวหมอแอบขี้เกียจ ท่านอาเห็นแล้วก็ให้ลงโทษ อย่าได้มือไม้อ่อนเด็ดขาด อย่าให้หมิงเพ่ยถังของเราเสียหน้าต่อหน้า ผู้แทนพระองค์ได้เล่า”
นางหวงยิ้มพลางว่า “ฮูหยินน้อยโปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยมารายงานกับ ฮูหยินน้อยยามนี้ ก็มีน้องเฮ่อคอยจับตาดูอยู่ที่นั้นแล้ว หากเป็นน้องเฮ่อมาบอก ก็จะเป็นข้าน้อยคอยดูอยู่ที่นั่น ไม่มีทางให้โอกาสพวกมันแอบขี้เกียจแน่นอนเจ้าค่ะ!”
นายบ่าวสนทนากันเรื่องการจัดงานเลี้ยงพักหนึ่ง เสิ่นเจ้าถังพ่อบ้านใหญ่คนใหม่ก็เข้ามาบอกว่า “เมื่อครู่นี้นายผู้เฒ่าสามส่งคนมาบอกว่า ได้ยินว่าท่านผู้แทนพระองค์โปรดปรานระบำดนตรี จึงอยากให้นางบำเรอในบ้านที่เขาเลี้ยงดูในเรือนหลังมาทำการแสดงในงานเลี้ยง ขอให้ฮูหยินน้อยอนุญาตด้วยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็ยิ้มบางๆ แล้วหันไปพูดกับนางหวงก่อนว่า “ชื่อเสียงว่าผู้แทนพระองค์โปรดปรานระบำดนตรีนี้ แม้แต่ท่านปู่สามก็ยังรู้หรือนี่?” ก่อนนี้ ตั้งแต่ราชสำนักเพิ่งจะกำหนดบำเหน็จรางวัลสำหรับชัยชนะที่ซีเหลียงในครั้งนี้ ฮูหยินซูก็เขียนจดหมายไปบอกกับสะใภ้ในทันใด แล้วสั่งให้บ่าวคนสนิทขี่ม้าเร็วไปพันลี้ทั้งวันทั้งคืนเพื่อส่งจดหมายฉบับนี้ ฉะนั้นในจดหมายจึงยังไม่ได้บอกถึงผลการให้บำเหน็จรางวัล
ส่วนเรื่องอุปนิสัยและความโปรดปรานของตวนมู่ฉินผู้แทนพระองค์ ก็ได้แนะนำประเด็นหลักๆ ไปในจดหมายด้วย เพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งทางนี้รู้ว่าจะต้อนรับตามความโปรดปรานของเขาได้อย่างไร ในสายตาของตระกูลสูงศักดิ์แล้วตวนมู่ฉินผู้นี้ไม่มีสิ่งใดที่ดูแลลำบาก เพียงแต่ค่อนข้างชอบดูระบำ ทว่าก็ไม่ถึงขั้นมาขอเลือกหาเอานางบำเรอในบ้าน …คนผู้นี้แท้ที่จริงเป็นพวกชอบความสำราญแต่มิได้คาวโลกีย์ ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนแค่รับชมมิได้ไปลุ่มหลงมัวเมา
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องแล้วก็อาศัยจังหวะที่เสิ่นหยิวเจี่ยมาขอคน ไปขอยืมหญิงงามที่อบรมมาดีแล้วจากทุกๆ บ้านมาจำนวนหนึ่ง แล้วสั่งให้พวกนางฝึกระบำพื้นเมืองของซีเหลียงเอาไว้สองสามชุดทั้งวันทั้งคืน เพื่อเอาไว้ต้อนรับตวนมู่ฉิน
…เสิ่นหยิวเจี่ยไม่ได้อธิบายให้ชัดแจ้ง แต่หลี่ว์เอ๋อร์ที่เขาต้องการจริงๆ ผู้นั้น ท่านปู่สามยึดยื้ออยู่หลายวัน แต่ที่สุดก็ยังทานแรงกดดันไม่ไหวและต้องส่งมอบนางมา เว่ยฉางอิ๋งส่งนางไปให้แก่เสิ่นหยิวเจี่ย ได้ยินว่าเสิ่นหยิวเจี่ยไม่แม้จะพบนางก็ส่งนางเข้าไปเป็นคณิกาในกองทัพทันใด
เมื่อกองทัพซีเหลียงมีชัยยิ่งใหญ่กลับมา เหล่าทหารที่มีความชอบล้วนได้บำเหน็จรางวัล นับเป็นช่วงเวลาที่พวกเขากำลังกลัดมันและไม่มีที่ให้ระบายอารมณ์ หลี่ว์เอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของท่านปู่เล็ก ถึงขั้นหลงใหลนางจนเกือบจะหลงอนุทิ้งภรรยาเอกทีเดียว นางย่อมมีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก เมื่อเหล่าทหารรู้ว่าสาวงามที่เป็นที่รักยิ่งของผู้อาวุโสตระกูลเสิ่นผู้หนึ่งถูกส่งเข้ามาในกองทัพ จึงทั้งพากันละโมบในความงามและอยากรู้ว่าอนุที่รักของผู้อาวุโสนี้มีรสชาติเป็นเช่นใด …สองวันก่อน จูอีเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่าหลี่ว์เอ๋อร์ทนถูกย้ำยีไม่ไหว เป็นนางคณิกาในกองทัพได้ไม่กี่วันก็ตายเสียแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งวัน จูอีก็บอกอีกว่า เมื่อนายผู้เฒ่าสามรู้เรื่องเข้าก็ร่ำไห้เป็นเผาเต่า แอบด่าทอเสิ่นหยิวเจี่ยเป็นการส่วนตัวเสียยกใหญ่ว่าอายุมากแล้วยังใจคอคับแคบ กลับมาถือสาคำพูดเล็กน้อยของเด็กสาวตัวเล็กๆ คำหนึ่งเช่นนี้!
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ยินเรื่องนี้ ตอนที่ไปขอนางระบำเพื่อมาต้อนรับตวนมู่ฉินที่บ้านเขา ก็ให้นางหวงเอ่ยกระทบกระเทียบไปคำหนึ่งว่า “นายผู้เฒ่าสามอายุก็มากแล้ว คาดว่าคงคิดตกกับทุกๆ เรื่องแล้ว และมีใจคอกว้างขวางเสียยิ่งนัก จะต้องไม่ถือสาแค่เรื่องหญิงงามไม่กี่คนแน่นอนใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
คำพูดนี้เหมือนเป็นคำพูดเดียวกับที่ท่านปู่สามด่อทอเสิ่นหยิวเจี่ย และแสดงท่าทีชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างเสิ่นหยิวเจี่ยมาเป็นร้อยปีแล้ว ท่านปู่สามได้ยินเขาก็สั่นเป็นเจ้าเข้าไปทั้งตัว!
ยามนี้นางหวงจึงยิ้มพลางว่า “นายผู้เฒ่าสามชอบเลี้ยงดูนางบำเรอในบ้านเป็นที่สุด ส่วนใต้เท้าผู้แทนพระองค์ก็ชอบดูระบำรำฟ้อน ก็มิน่าเล่าที่นายผู้เฒ่าสามอยากได้ร่วมวงด้วยเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเขาอยากร่วมวงด้วย ก็ให้เข้ามาร่วมด้วยเถิด” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มจางๆ พลางว่า
พอเสิ่นเจ้าถังได้รับคำตอบก็รีบนำไปสั่งการต่อไป
เริ่มงานเลี้ยงเมื่อตอนก่อนเที่ยงเล็กน้อย จนถึงยามเย็นจึงเลิกงาน เสิ่นจั้งเฟิงกลับมาที่เรือนหลังด้วยกลิ่นสุราคลุ้งไปทั้งตัว ดื่มน้ำแกงช่วยสร่างเมาไปสองถ้วย แล้วล้างหน้า จึงได้สร่างเมาขึ้นมาสักหน่อย
เว่ยฉางอิ๋งบอกให้เขานอนหลับสักพัก “ตกกลางคืนก็ยังต้องไปต้อนรับผู้แทนพระองค์ต่ออีก ประเดี๋ยวจะไม่มีแรงเอา”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ต้องไปต้อนรับตอนกลางคืนหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ผู้แทนพระองค์ก็ดื่มไปไม่น้อยกว่าข้า เมื่อครู่นี้ก็ยังต้องให้คนหามเข้าไปในเรือนเชียว” แล้วบอกว่า “ยามนี้ข้ากลับนอนไม่ใคร่หลับเสียอีก”
ในเมื่อนอนไม่หลับ เว่ยฉางอิ๋งจึงสนทนากับเขาสักหน่อย “ระบำในงานเลี้ยงเป็นเช่นใดบ้าง? กลุ่มในตอนหลังนั้นเป็นท่านปู่สามส่งเข้ามาเป็นพิเศษเชียว”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “ผู้แทนพระองค์ก็ล้วนชมว่าดีแล้ว ข้าดูไปแล้วก็พอใช้ได้ ก็เพียงเรื่องเช่นนั้นเอง”
“พอใช้ได้?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะ “ไม่ถึงเพียงนั้นกระมัง? นางระบำที่พaวกเรานำมาต้อนรับท่านผู้แทนพระองค์ในครานี้ เดิมทีก็ไปขอมาจากทางท่านปู่สาม วันนี้เขาให้เสิ่นเจ้าถังมาบอก ข้าถึงได้รู้ว่าเขายังมีคนกลุ่มนี้เก็บเอาไว้อีก! กลุ่มที่เขาแอบเก็บเอาไว้ก็มิใช่ว่าควรจะดียิ่งกว่าหรอกหรือ?”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยว่า “ข้าไม่ชอบดูของพวกนี้ เจ้าจะให้ข้าบอกว่าดีหรือไม่ ก็ไม่แน่ว่าข้าจะพูดได้ อย่างไรนี่ก็เป็นงานต้อนรับผู้แทนพระองค์ หาใช้งานพบปะสังสรรค์กับสหายสนิทไม่ ที่พอเรียกนางระบำมาช่วยสร้างความสำราญจึงจะพอมีแก่ใจดูสักหน่อย ทว่าผู้แทนพระองค์กลับรู้สึกเกิดคาดนักที่ในเมืองซีเหลียงมีคนที่โปรดปรานเรื่องเดียวกันกับเขา และนัดแนะกับท่านปู่สามไปพบปะกันยามว่างแล้วด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้ากล่าวว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านปู่สามต้องวางแผนการดังนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อเขาไปพบกับผู้แทนพระองค์แล้วจะคิดทำการใด”
“ยามนี้เขาจะทำการใดได้?” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยเรียบๆ “อย่างมากแต่นี้ไปก็เพียงสนทนาเรื่องประโลมโลก ไม่ถามถึงเรื่องความเป็นไปนานาๆ แล้ว … ยามท่านผู้แทนพระองค์อยู่ในตระกูลตวนมู่ก็เป็นดังนี้มาแต่ไร แน่นอนว่ามิใช่เพราะก่อนนี้ท่านผู้แทนพระองค์เคยล่วงเกินพี่ชายของเขา แต่กลับเป็นเพราะท่านเหวินจิ้งกงต้องระมัดระวังตัวอย่างยิ่งต่างหาก”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ตามที่ว่ามาดังนี้ ผู้แทนพระองค์เป็นผู้มีความสามารถยิ่งเช่นนั้นหรือ?” เพราะหากเป็นคนไร้ความสามารถ ก็เพียงปล่อยผ่านๆ ไปเรื่อยเปื่อยเป็นพอแล้ว จะต้องอาศัยเรื่องที่เขาโปรดปรานระบำรำฟ้อนมาปกปิดโดยเฉพาะเช่นนี้ด้วยหรือ?
เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า กล่าวว่า “ครั้งท่านผู้แทนพระองค์ผู้นี้ยังเล็ก ก็แทบไม่ต่างจากหลานซูเหยียนของเราเท่าใด เคยถูกเรียกตัวให้ไปเข้าเฝ้าฯ ในวังหลายครา ในวัยหนุ่มน้อยก็มีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวงด้วยความชำนาญด้านกวีของเขา ที่หาได้ยากยิ่งนักก็คือเขาเป็นคนถ่อมตน ด้วยเหตุนี้จึงบดบังพี่ชายบุตรภรรยาเอกของเขาซึ่งก็คือบิดาของน้องสาวบุญธรรมของเราพวกเราเสียจนมืดมนอับแสงทีเดียว เพื่อไม่ให้พี่ชายต้องลำบากใจ เขาจึงจงใจพลัดตกจากม้าจนขาบาดเจ็บ แล้วออกไปรักษาที่เรือนพักนอกเมือง ไปรักษาครานี้ก็ไปถึงสี่ห้าปีเต็มๆ ระหว่างนั้น ฮ่องเต้ทรงเรียกตัวไปเฝ้าฯ หลายคราก็ถูกเขาบอกปัดทั้งสิ้น ภายหลังเมื่ออาการบาดเจ็บที่ขาหายดีแล้ว กลับมิได้มีบทกวีออกมาอีก กลับกันกลับมีชื่อเสียงว่าชื่นชอบชมระบำแพร่ออกมาแทน นานวันเข้า เวลานี้ผู้คนล้วนรู้กันว่านายผู้เฒ่ารองตระกูลตวนมู่ชื่นชอบชมระบำรำฟ้อน แต่กลับไม่รู้ว่าเขามีความรู้สูงส่ง ยามอยู่ในวัยหนุ่มน้อยก็เคยถูกคาดคะเนว่าวันหน้าเขาก็จะมิได้ด้อยกว่าท่านที่เขาไผ่เลย!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านที่เขาไผ่! ผู้แทนพระองค์ผู้นี้มีความสามารถเพียงนั้นเชียวรึ?”
ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว แม้จะมีกวีเรืองนามออกมามากมาย แต่หากเรียงลำดับตามความสามารถ ท่านเขาไผ่เว่ยปั๋วอวี้ก็เพียงพอจะอยู่ในสามอันดับแรก ในบรรดายอดบัณฑิตนับแต่โบราณมา เว่ยปั๋วอวี้ก็มีฐานะที่ไม่ธรรมดา ด้วยประเด็นนี้จวบจนถึงบัดนี้จึงมีคำจำนวนมากมายเดินทางไกลพันลี้มาที่เขาไผ่น้อย เพียงเพื่อได้มาชมป้ายหินสลักภาพอักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ สักครั้ง แม้จะเป็นเพียงบางส่วนของมันก็ตาม
แม้แต่เว่ยจื้อเจี่ยวและเว่ยเจิ้งหย่าซึ่งเป็นนักเขียนเรืองนามแห่งตระกูลเว่ยทั้งสองท่าน ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วเขตทะเลในระยะไม่กี่ปีมานี้ ถึงจะเป็นผู้ที่มีความสามารถด้านบุ๋นที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับกันในเขตทะเล แต่ก็ไม่เคยถูกนำมาเทียบกับท่านผู้ล่วงลับผู้นี้มาก่อนเลย
ทว่าครั้งตวนมู่ฉินยังอยู่ในวัยหนุ่มน้อยก็กลับถูกคนนำมาเปรียบเทียบกับเว่ยปั๋วอวี้ นี่เห็นชัดแล้วว่าความสามารถของเขาสูงส่งเพียงใด!
ด้วยความสามารถด้านบุ๋นระดับนี้ แต่กลับยินยอมที่จะเก็บซ่อนตนในชั่วเวลาที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่สุดเพื่อไม่ให้แตกคอกับพี่ชาย และเพื่อมิให้ตระกูลถูก ฮ่องเต้ระแวง ภายหลังจึงยิ่งใช้เรื่องความโปรดปรานชมระบำมาปกปิดความสามารถของตน …ทั้งมีความสามารถและจิตใจกว้างขวาง คนเช่นนี้แม้จะเก็บตัวเป็นการชั่วคราวแต่กลับไม่อาจดูแคลนได้เลย
เว่ยฉางอิ๋งให้ความสำคัญกับเขาขึ้นมาทันใด “เช่นนั้นให้ท่านปู่สามไปพบกับเขา…”
“มิเป็นไร” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างไร้ความกังวล “ท่านผู้แทนพระองค์มีจิตใจดังกระจกใส เรื่องที่ควรสนใจไม่ควรสนใจล้วนรู้จักขอบเขตดี เมื่อเขาไปพบท่านปู่สามอย่างมากก็เพียงสนทนากันเรื่องประโลมโลกทั่วไปเท่านั้น หากท่านปู่สามทำการเลอะเลือน พูดจาในสิ่งที่ไม่ควรพูด เขาก็จะต้องสะบัดแขนเสื้อจากไปในทันใด ไม่รั้งรออยู่ต่อแม้สักครึ่งก้าวเป็นแน่!”
เว่ยฉางอิ๋งตั้งสติใคร่ครวญสักพัก จู่ๆ ก็หัวเราะพู่ออกมา กล่าวว่า “จู่ๆ ข้าก็นึกถึงส้างกวานสืออีที่เจ้าเคยเปรียบเขาว่าเป็นเพชรงามน้ำหนึ่งก่อนหน้านี้ ว่าอย่าให้เรื่องนี้แพร่ออกไปเชียว หากให้ท่านผู้แทนพระองค์ได้ยินเข้า ก็จะนึกจริงๆ ว่าที่ด่านเตี๋ยชุ่ยนั่นมีหญิงงามเลิศอยู่ แล้วจะมาเอ่ยปากขอกับเจ้าเอาเล่า!”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “แม้แต่เจ้าก็ยังเข้าใจผิดว่าข้าไปรับผู้ใดที่ด่านเตี๋ยชุ่ยเอาไว้ แล้วประสาอันใดกับท่านผู้แทนพระองค์?”
“ยกอนุให้แก่ผู้อื่นมิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “เพียงแต่ผู้อื่นจะกลัวว่าเจ้าจะตัดใจไม่ได้น่ะสิ”
“สามีเคยยกสาวใช้ข้างกายให้คนตั้งมากมายก่ายกอง” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะลั่นพลางว่า “สามีเคยตัดใจไม่ได้ที่ใดกัน?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ “คนเหล่านั้นมิใช่ล้วนแต่ไม่งดงามเท่าใดหรอกหรือ?”
“ก็แค่พูดเล่นเท่านั้น หญิงงามเลิศเพียงผู้เดียวที่สามีเคยได้พบมา….” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะฮ่าๆ บอกว่า “ก็คืออิ๋งเอ๋อร์นี่เอง!”
“น่าชังนัก…”
ตกค่ำ เสิ่นจั้งเฟิงเดินทางไปที่เรือนพักแขกเพื่อเชิญผู้แทนพระองค์ไปร่วมงานเลี้ยง ปรากฏว่าตวนมู่ฉินกลับนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนตั่ง บอกว่าตนเองดื่มในงานเลี้ยงตอนกลางวันมากเกินไป จนไม่อาจไปร่วมงานเลี้ยงกลางคืนได้แล้ว จึงขอให้เสิ่นจั้งเฟิงไปบอกกล่าวและขอขมาทุกคนแทนตนเองด้วย
เสิ่นจั้งเฟิงสอบถามแสดงความห่วงใยพอเป็นพิธีสองสามคำ และสอบถามไปอีกว่าต้องเชิญหมอมาตรวจสักหน่อยหรือไม่? ตวนมู่ฉินตอบปฏิเสธท่าเดียวว่า “ก็เพียงแค่ตอนงานเลี้ยงกลางวันห่วงดื่มไปหลายแก้วเกินไปสักหน่อย หลังจากกลับมาก็ดื่มน้ำแกงสร่างเมาไปแล้ว คิดว่านอนสักพักก็จะดีขึ้นเอง หากวันพรุ่งตื่นขึ้นมายังไม่ดีขึ้นก็พอดีได้เชิญหลานสาวข้าผู้นั้นมาพบสักหน”
“ฝีมือแพทย์ของน้องสาวบุญธรรมย่อมสูงส่งกว่าหมอทุกคนในตัวเมืองซีเหลียงอยู่แล้วขอรับ” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อท่านอาตวนมู่เอ่ยเช่นนี้ หลานก็จะไม่รบกวนแล้ว จะออกไปบอกกล่าวให้เดี๋ยวนี้ขอรับ”
เขาจึงออกไปจากเรือนแขกดังนี้ และส่งคนไปแจ้งแก่ทุกๆ เรือนว่าคืนนี้ตวนมู่ฉินไม่ไปร่วมงานเลี้ยงแล้ว …ทุกคนที่ไปร่วมงานเลี้ยงตอนกลางวันต่างพากันโล่งอกไปไม่มากก็น้อย แม้แต่เสิ่นจั้งเฟิงก็ยังดื่มไปมากเพียงนั้น คนอื่นๆ ย่อมไม่สบายกันเท่าใดนัก หลายๆ คนที่ได้รับบำเหน็จรางวัลมากที่สุดในครานี้ล้วนมาจากเมืองหลวง จึงเคยพบเห็นพิธีการดังนี้มาจนเคยชินแล้ว จึงไม่ได้กระตือรือร้นที่จะไปโผล่หน้าโผล่ตาไปอยู่ต่อหน้าผู้แทนพระองค์สักเท่าใด
อย่างไรเสียพวกเขาหรือบิดาและพี่ชายของพวกเขาล้วนสามารถเข้าเฝ้าฯ ฮ่องเต้ได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องชิงเข้าไปประจบ ผู้แทนพระองค์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ดังนี้แล้ว เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น พอตวนมู่ฉินตื่นขึ้นมาก็กลับมากระปรี้กระเปร่าดังเดิม ไม่จำเป็นต้องเชิญหลานสาวมาตรวจรักษา จึงเดินทางไปปลอบขวัญทหารในกองทัพพร้อมกับทุกๆ คน
จากนั้นสิบวันติดต่อกัน เมื่อตวนมู่ฉินทำเรื่องนี้เสร็จก็ทำเรื่องอื่นต่อ ที่สุดก็ทำภารกิจเสร็จสิ้นไปเจ็ดแปดส่วน จึงสั่งให้คนไปบอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่าอยากจะได้พบกับตวนมู่ซินเหมี่ยวหลานสาวของตนสักหน่อย
เว่ยฉางอิ๋งจึงจัดแจงศาลาแห่งหนึ่งให้พวกเขาอาหลานได้สนทนากัน
_________________