ตวนมู่ซินเหมี่ยวเข้ามาที่ศาลาเพียงลำพัง ตวนมู่ฉินกลับมาถึงก่อนหน้าแล้ว และกำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาลิ้มรสอยู่
เมื่อเห็นว่าหลานสาวมาถึง เขาจึงวางถ้วยชาลง ยิ้มอย่างอ่อนโยนและเอ่ยทักทายไปว่า “ซินเหมี่ยวมาแล้วรึ? รีบมานั่งเถิด ไม่ต้องมากพิธีหรอก”
ตวนมู่ฉินอยู่ในวัยกลางคนแล้ว รูปร่างค่อนข้างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่ใบหน้าขาวสดใส ดวงตาเบิกบาน ยามมองไปไม่อาจไม่อธิบายด้วยคำว่าสง่าผ่าเผยได้เลย ดูไปแล้วเขาเป็นคนใจดีมีเมตตา แววตาเป็นมิตร สายตาที่มองมายังตวนมู่ซินเหมี่ยวหลานสาวของตนก็มีแววของความเอ็นดูและเห็นอกเห็นใจบางๆ ฉายออกมา
เพียงแต่ความเป็นมิตรนี้กลับไม่อาจลบล้างความรังเกียจที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวมีต่อคนในครอบครัวได้ นางเข้ามานั่งลงที่ที่นั่งรองตามคำโดยไม่ได้คำนับเขา เพิ่งจะนั่งลงก็ขมวดคิ้วแน่น แล้วถามไปเรียบๆ ว่า “ท่านอาสี่มีเรื่องใดเจ้าคะ? หากไม่มีเรื่องใดล่ะก็ ข้าจะไปก่อน ยามนี้ข้ากำลังยุ่งนัก”
“หลายวันก่อนได้ยินว่าเจ้าทำการรักษาให้ทั้งคนมีคนยากทั่วซีเหลียงแห่งนี้ แรกเริ่มนั้นอาก็ยังไม่เชื่อเลย” ท่าทีของนางเย็นชานัก แต่ตวนมู่ฉินกลับมิได้ถือสา ยังคงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “จำได้ว่าครั้งเจ้ายังเล็ก เป็นคนรักความสะอาดเป็นที่สุด มีคราหนึ่งอาไปคารวะท่านย่าของเจ้า พอดีได้เห็นเจ้ากำลังร่ำร้องจะกินขนมหวานใส่เม็ดบัว อาจึงป้อนเจ้ากินสองสามคำ ปรากฏว่ามีช้อนหนึ่งบังเอิญตกลงบนพื้น ตอนตกลงก็ไปเปื้อนแขนเสื้อเจ้าเล็กน้อย เจ้าก็ไม่ยอมกินอีกในทันใด ทำเอาแม่นมต้องรีบเอาเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนให้เจ้า…ด้วยเรื่องนี้ อาก็ยังถูกเจ้ากล่าวโทษไปเสียตั้งนาน แม้แต่มาหาเจ้าหลายครั้ง เจ้าก็ล้วนยู่ปากใส่อาตลอด ภายหลังก็ยังเป็นพี่หญิงใหญ่ของเจ้ามาออกความเห็นให้อา บอกให้อาซื้อน้ำตาลปั้นรูปต่างๆ ให้เจ้าหลายอัน จึงทำให้เจ้าหายโกรธได้”
แววตาของเขามีความทรงจำและความทอดถอนใจ “ก่อนนี้เจ้าทนยอมให้เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนฝุ่นดินไม่ได้แม้แต่น้อย ไม่คิดว่าวันหนึ่งเจ้ากลับเข้าไปกลางเมือง ไม่รังเกียจว่าจะเป็นชาวบ้านหรือคนชั้นต่ำ ไปรักษาผู้คนโดยไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ”
ในสายตาของบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่เติบโตมาพร้อมอาภรณ์แพรพรรณและอาหารชั้นเลิศที่ผู้คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการถึงได้นั้น พวกชาวป่าชาวดงหรือพวกคนชั้นต่ำที่ต้องทำงานเหนื่อยยากจึงจะพอหาอาหารประทังชีวิตได้ ต่อให้พวกเขาจะดูแลจัดแจงตนเองดีอีกสักเท่าใด ก็ยังคงมีความสกปรกโสโครกที่ไม่สามารถขจัดออกไปได้อยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ ตวนมู่ฉินจึงรู้สึกประหลาดใจที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวสามารถปล่อยวางฐานะตนเองได้เพียงนี้
ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับไม่ได้รู้สึกอันใดกับความทรงจำในกาลก่อน นางยังคงเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ครานั้นข้ายังเล็กเกินไป ล้วนจำไม่ได้แล้ว” แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ข้าไปรักษาพวกชาวบ้านและพวกคนชั้นต่ำ แล้วอย่างไร ที่บ้านไม่พอใจหรือเจ้าคะ? วิชาแพทย์เป็นข้าร่ำเรียนมาเอง ของไหว้ครูก็เป็นพี่หญิงใหญ่ออกให้ข้า หาใช่เงินทองของที่บ้านไม่! วิชาแพทย์ที่ข้าร่ำเรียนมานี้ เมื่อข้าอยากจะเอาไปรักษาผู้ใดก็เป็นเรื่องของข้า พวกเขาถือดีอันใดมารู้สึกขัดหูขัดตา? หากคิดว่าข้าทำให้ตระกูลตวนมู่เสียหน้า ก็เพียงไล่ข้าออกจากตระกูลเป็นพอ ข้าก็จะไปเปิดรักษาในแผ่นดินนี้ คาดว่าอาศัยชื่อเสียงของท่านอาจารย์ของข้า ข้าคงไม่อดตายหรอก!”
“เจ้าก็ยังคงเป็นเช่นก่อนนี้ ไม่ว่าที่บ้านจะเอ่ยสิ่งใดกับเจ้า เจ้าก็ล้วนนึกคิดว่าเป็นการบังคับควบคุมเจ้า และเป็นเพราะไม่ชอบเจ้า” ตวนมู่ฉินกลับส่ายหน้าพลางเอ่ยไปเรียบๆ “แม้แต่ท่านปู่และท่านพ่อของเจ้าก็มิได้บอกว่าเจ้าทำให้ตระกูลตวนมู่เสียหน้าเลย เพียงแต่เป็นกังวลเรื่องชื่อเสียงของเข้า กลัวว่าเรื่องนี้จะส่งผลต่อการออกเรือนของเจ้า”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้มเยาะพลางว่า “แต่งงานมีเรื่องดีอันใด? เอาสินติดตัวที่บ้านมารดามอบให้แล้วแต่งเข้าบ้านเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ถัดขึ้นไปต้องปรนนิบัติพ่อแม่พี่น้องสามี ถัดลงมาต้องคอยจัดแจงดูแลบ่าวไพร่ ตรงกลางก็ต้องคอยประจบเอาใจสามี! พอแต่งเข้าไปก็ไม่แน่ว่ายังแต่งงานไม่ครบเดือนก็มีลูกๆ ของอนุและพวกอนุเข้ามาเพิ่มในบ้านแล้ว! คอยดูแลปรนนิบัติอย่างลำบากมาหลายสิบปี หากอับโชคไร้บุตรชาย ไม่เพียงจะถูกพ่อแม่พี่น้องสามีหมางเมิน สามีไม่พอใจ พวกอนุที่อยู่ถัดลงไปก็กลับได้ดิบได้ดีเพราะบุตรชายและมาทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอ! เป็นถึงนายผู้หญิงใหญ่ปกครองบ้านแท้ๆ แต่ยังสู้สาวใช้ในเรือนฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ด้วยซ้ำ! บุตรชายอนุอาศัยว่าบิดารักหลงจึงไม่เห็นแม่ใหญ่อยู่ในสายตา …พอไปบอกกล่าวกับผู้ใหญ่คำสองคำก็ยังถูกตำหนิว่าเจ้าไม่ดีงาม จงใจทำลายชื่อเสียงของบุตรอนุ! หากต้องแต่งเข้าไปในบ้านเช่นนี้ มิสู้เลือกอ้างว่าจะอยู่ดูแลบิดามารดาแล้วอยู่แต่ในบ้านตนไปชั่วชีวิตเสียแต่แรกยังดีกว่า และยังสามารถแลกซุ้มป้ายยกย่องคุณธรรมสืบทอดความดีไปชั่วกาล!”
นางมองไปทางตวนมู่ฉินด้วยสายตาเย็นเฉียบ พูดเสียงแหลมว่า “ท่านอาสี่โปรดพูดมาตามตรงเลยดีกว่า! ท่านปู่และท่านพ่อไปสัญญากับบ้านใดไว้ แล้วไม่มีบุตรสาวจากภรรยาเอกที่มีฐานะสูงพอ จึงได้หันมาเล็งข้า? ข้าจะบอกพวกท่านให้ ต่อให้พวกท่านอยากเป็นจางเสากวง แต่ข้าหาใช่หลิวรั่วอวี้ไม่!”
ตวนมู่ฉินนิ่งงันไปพักใหญ่ กล่าวว่า “ชีวิตของพี่สะใภ้ใหญ่ต้องทนทุกข์ยิ่งนักจริงดังว่า แต่แรกนั้นบิดาเจ้าก็ทำไม่ถูกต้องหลายเรื่องจริงๆ แต่ยามนี้ก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้เขาเองก็สำนึกเสียใจนัก เพียงหวังว่าจะสามารถชดเชยให้เจ้า…”
“ผู้ที่มารับข้ากลับบ้านคือแม่เลี้ยง” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยย้ำเตือน “ตอนที่ข้าถูกพี่ชายพี่สาวบุตรอนุคอยข่มเหงจนอยู่ในบ้านไม่ได้ ทำได้เพียงออกมาอยู่ในเรือนพักข้างนอก ท่านพ่อก็ไม่เคยสนใจว่าข้าจะเป็นหรือตาย หากมิใช่แม่เลี้ยงรับข้ากลับมา ทั้งยังคอยปกป้องข้าทุกอย่าง ยามนี้ข้าก็ยังต้องไปอยู่ข้างนอกลำพังผู้เดียวอยู่เลย!”
ตวนมู่ฉินถอนใจ “บิดาเจ้าก็หาได้อยู่อย่างง่ายดาย!”
“เขามิได้อยู่อย่างง่ายดาย เช่นนั้นแม่ข้าง่ายดายหรือไร?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เขาไม่เคยสงสารเห็นใจท่านแม่ข้าเลย ทั้งไม่เคยสงสารเห็นใจพี่หญิงใหญ่ของข้า แล้วถือดีอันใดข้าต้องไปสงสารเห็นใจเขา?! หากมิใช่เพราะท่านแม่สั่งเสียไว้ก่อนตาย ข้าก็จะ…..ไปนานแล้ว” นางยิ้มหยัน “หากมิใช่ว่ายังมีที่ให้ใช้สอยข้า แล้วท่านจะมารอข้าอยู่ก่อนหน้าเช่นนี้หรือ? นับแต่ท่านแม่ข้าเสียไป ผู้ที่เป็นห่วงข้ามากที่สุดทั้งตระกูลตวนมู่ กลับมิใช่ท่านปู่หรือท่านพ่อ และมิใช่ท่านอาทั้งหลาย แล้วมิใช่แม่เลี้ยงข้าหรือ! หากคนที่มาวันนี้เป็นนาง ข้าก็ยังพอจะอุ่นใจขึ้นมาได้สักหน่อย แต่กลับเป็นท่านอาสี่มา ช่างน่าขันเหลือทน …ครานั้นตอนท่านแม่ข้าถูกพวกอนุข่มเหงด้วยเหตุที่นางไร้บุตรชาย ท่านเคยได้มาช่วยพูดจาสักคำหรือไม่? ปีนั้นเมื่อท่านแม่ข้าเสียและข้าถูกพวกพี่ชายพี่สาวบุตรอนุรังแก ท่านเคยได้สนใจสักน้อยๆ หรือไม่? แล้ววันนี้จะมาว่างท่าเป็นคนมีเมตตาแสร้งทำเป็นคนดีอันใด? ท่านไม่รู้สึกว่าหน้าไม่อาย แต่ข้าเห็นท่านก็ล้วนรู้สึกสะอิดสะเอียน!”
นางพลันลุกพรวดพราดขึ้นมา กล่าวไปอย่างเย็นเฉียบว่า “ไม่ว่าท่านจะคิดการใด ข้าจะเตือนท่านคำหนึ่ง หากไม่อยากให้เจ็บตายกันทั้งสองฝ่าย ก็จงสงวนท่าทีไว้สักหน่อยเป็นดี! ข้าหาใช่ท่านแม่หรือพี่หญิงใหญ่! ท่านแม่และพี่หญิงใหญ่อ่อนโยนดีงามมาชั่วชีวิต แล้วพวกนางล้วนต้องมีจุดจบเช่นใด? เมื่อมองดูพวกนาง ที่สุดข้าก็มองเห็นกระจ่างแล้ว …สำหรับคนเช่นพวกท่าน ล้วนเชื่อถือไม่ได้แม้สักครึ่งคำ และไม่อาจคาดหวังสิ่งใดได้! เมื่ออ่อนโยนและทำดีกับพวกท่าน พวกท่านก็มีแต่จะสุมหัวกันเหยียบย่ำจนตายเหมือนเป็นดินโคลนเท่านั้น!”
เมื่อพูดจบ นางก็ไม่ร่ำลา สะบัดแขนจะเดินออกไปทันใด!
ตวนมู่ฉินร้องเสียงหนักออกไปว่า “เจ้าหยุดบัดเดี๋ยวนี้!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับไม่ได้สนใจ แล้วเดินไปจนถึงประตู จึงหันหน้ากลับมา เอ่ยเย้ยหยันไปว่า “จะมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่อันใดกัน ท่านอาสี่! ที่นี่คือหมิงเพ่ยถัง หาใช่จิ่นซิ่วถัง! พี่ชายและพี่สะใภ้บุญธรรมของข้าเป็นผู้ปกครองที่นี่ พวกเขาให้ความสำคัญกับข้ามากกว่าท่านมากนัก หากเราสองคนมีเรื่องกันขึ้นมา โดยส่วนตัวแล้วพวกเขาจะต้องช่วยข้าแน่ๆ ท่านเชื่อหรือไม่? ท่านไม่เชื่อก็มิเป็นไร ดีชั่ว พอถึงยามนั้นคนที่ต้องเสียเปรียบ ก็คือท่าน!”
“เวยเหมี่ยวฝากคำมาถึงเจ้า!” ตวนมู่ฉินเอ่ยไปเย็นๆ ด้วยสีหน้าถมึงทึง
ตวนมู่ซินเหมี่ยวมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด กลับเก็บเท้าที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา เพียงแต่พอนางคิดสักพัก ก็กลับหัวเราะหยันออกมา “ต้องเอาพี่หญิงใหญ่มาขู่บังคับข้าด้วยรึ? ข้าไหว้ประมุขตระกูลเสิ่นสามีภรรยาเป็นพ่อแม่บุญธรรม ก็สัญญากันแล้วว่าจะให้พวกเขาช่วยดูแลพี่หญิงใหญ่และสุยเอ๋อร์ แม่เลี้ยงไม่ได้บอก แต่ข้าก็บอกกล่าวกับแม่เลี้ยงข้าผู้นั้นอย่างชัดเจนแล้ว ว่าให้ช่วยข้าปกป้องพวกนางจากพวกท่าน! ยิ่งไปกว่านั้นพี่หญิงใหญ่ก็เป็นพระสุณิสา เป็นพระมารดาท่านอ๋อง พวกท่านคิดจะทำให้นางลำบากใจ ก็ต้องดูว่าพี่หญิงใหญ่จะวิ่งไปทูลฟ้องต่อฮ่องเต้หรือไม่ต่างหาก! นี่นึกจริงๆ หรือไรว่าพวกเราพี่น้องจะยอมปล่อยให้พวกท่านบีบให้ตายอยู่ในกำมือตามอำเภอใจไปชั่วชีวิต?”
ตวนมู่ฉินถอนหายใจยาวๆ กล่าวว่า “ข้าจะบอกอีกคราวว่าที่บ้านมิได้ต้องการจะข่มขู่เจ้า! เวยเหมี่ยวมิใช่สายเลือดของตระกูลตวนมู่หรือไร? แม้ตลอดหลายปีมานี้ตระกูลตวนมู่จะเก็บเนื้อเก็บตัว แต่ก็มิได้ตกต่ำจนถึงขั้นต้องหันมาบีบคั้นคนของตนเองโดยเฉพาะ! เวยเหมี่ยวนางฝากคำมาถึงเจ้าจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรู้ว่าข้าจะต้องเดินทางมาซีเหลียง นางก็ส่งคนมาบอกกับข้าที่ตระกูลตวนมู่เองด้วย!”
ด้วยกลัวว่าหลานสาวจะไม่เชื่อแล้วจะสะบัดแขนจากไปอีก ตวนมู่ฉินจึงรีบพูดออกมา “นางหวังให้เจ้ากลับเมืองหลวงไวๆ สักหน่อย อย่าให้ต้องเสียเวลาวัยสาวของเจ้า! แม่เลี้ยงเจ้าเองก็คิดเห็นดังนี้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรปีนี้เจ้าก็อายุสิบแปดแล้ว!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวขมวดคิ้วหนแล้วหนเล่า จากนั้นจึงยิ้มเย็นๆ บอกว่า “เช่นนั้นพวกท่านมีตัวเลือกใดเล่า? พูดมาให้ข้าฟังสักหน่อย?”
ตวนมู่ฉินขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เวยเหมี่ยวบอกกับท่านปู่และท่านพ่อเจ้าแล้ว ว่าเรื่องแต่งงานของเจ้านั้น เมื่อนางหารือกับแม่เลี้ยงเจ้าแล้ว จะมาสอบถามความประสงค์ของเจ้า จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจ ท่านปู่และท่านพ่อของเจ้าก็รับปากแล้วว่าจะไม่มาก้าวก่าย หากเจ้าไม่กลับไปหารือกับพี่หญิงใหญ่และแม่เลี้ยงของเจ้า แล้วจะกำหนดตัวเลือกได้อย่างไร?”
“พี่หญิงใหญ่สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์ใดแก่พวกท่าน?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ยินคำไม่เพียงไม่โล่งใจ สีหน้ากลับยิ่งหนักอึ้งลง พลางหันหน้ากับมาร้องถาม!
ต่อให้ตวนมู่ฉินเป็นคนใจดีเพียงใดก็ถูกทำจนโมโหแล้ว “ยามนี้เวยเหมี่ยวจะมีผลประโยชน์ใดให้ที่บ้านได้? ในสายตาเจ้าตระกูลตวนมู่อับจนถึงเพียงนี้เชียวรึ จึงต้องปฏิบัติกับบุตรสาวจากภรรยาเอกในบ้านตนเองประหนึ่งศัตรูจากภายนอกเช่นนั้น?! คล้ายว่าบุตรสาวบ้านใหญ่ที่เห็นตระกูลตนเองเป็นศัตรูในหลายร้อยปีมานี้ก็มีเพียงเจ้าผู้เดียวกระมัง?”
“หลายร้อยปีมานี้ บุตรสาวจากภรรยาเอกแต่ถูกบิดาแท้ๆ ไม่เห็นความสำคัญประหนึ่งไม่มีตัวตนอยู่ ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่ามิได้มีเพียงข้าผู้เดียวหรอกหรือ?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวพลันสวนกลับอย่างเจ็บแสบไปทันใด
“…” ตวนมู่ฉินนิ่งเงียบเนิ่นนาน จึงเอ่ยว่า “ยามนี้บิดาเจ้าสำนึกเสียใจนักจริงๆ”
“เพราะก่อนนี้เขาไม่เคยคิดว่าวิชาแพทย์ของข้าจะดีเพียงนี้น่ะสิ?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยเย้ยหยัน “จึงไม่อาจฉวยโอกาสตอนข้ายังเล็กไม่รู้ความมาหว่านล้อมเอาข้าเป็นพวกดีๆ ได้?”
แม้ตวนมู่ฉินจะมีชั้นเชิงเบา แต่กับหลานสาวที่มีอคติกับตระกูลอย่างลึกล้ำเพียงนี้ก็ยังต้องปวดเศียรเวียนเกล้าและไม่รู้จะจัดการอย่างไร เขานิ่งไปพักหนึ่ง แล้วถอนหายใจยาว กล่าวว่า “ก่อนนี้เจ้าถูกรังแกมามากเกินไปจริงๆ แต่หลายคราที่บิดาเจ้าไม่รู้ว่าเจ้าถูกรังแก หาใช่ความต้องการของบิดาเจ้าไม่ เหตุที่บิดาเจ้าเลือกห้าวเมี่ยวมาเป็นทายาทในเวลานี้ แม้จะมีสาเหตุจากแม่เลี้ยงเจ้าและด้วยความสามารถของห้าวเหมี่ยวเองอยู่ด้วย ทว่าก็ยังคำนึงถึงว่าห้าวเหมี่ยวแม่ลูกล้วนไม่เคยข่มเหงเจ้ามาก่อน…”
“นั่นก็เป็นเพราะครานั้นข้าย้ายออกจากจวนตวนมู่แล้วต่างหาก ต่อให้พวกเขาอยากรังแกก็รังแกไม่ได้” ตวนมู่ซินเหมี่ยวมิได้ใจอ่อนแม้แต่น้อย พลางเอ่ยไปอย่างราบเรียบ
ตวนมู่ฉินไม่มีคำจะพูดแล้วจริงๆ จึงยิ้มเจื่อนๆ แล้วว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าในเวลานี้บ้านเราจะชดเชยให้เจ้าอย่างไรจึงจะดีเล่า? เดิมทีตระกูลหวังจะเลือกสามีที่ดีให้เจ้าทว่าหากที่บ้านเลือกให้เจ้า เจ้าก็จะต้องคิดว่าเป็นการข่มเหงเจ้า ฉะนั้นเรื่องแต่งงานของเจ้าจึงทำได้เพียงมอบให้เวยเหมี่ยวจัดการจึงจะทำให้เจ้าวางใจได้ เรื่องอื่นๆ เจ้าก็ไม่ได้ขาดเหลืออันใด …คราก่อนบิดาเจ้าเคยบอกว่าเขาตัดสินใจว่าจะมอบสินติดตัวให้เจ้ามากสักหน่อย เมื่อเทียบกับบัญชีทรัพย์สินตอนเวยเหมี่ยวออกเรือน ก็จะมอบเพิ่มให้เจ้าเป็นการส่วนตัวไปอีกจำนวนหนึ่ง แต่ข้าคิดว่าเรื่องเหล่านี้เจ้าก็คงไม่ได้เอามาใส่ใจ…”
เขายังไม่ทันพูดจบ หลานสาวที่เมื่อครู่นี้ยังมีสีหน้าเย็นชาห่างเหิน จู่ๆ ก็แย้มยิ้มหน้าบาน แล้วเอ่ยด้วยท่าทีทั้งตื่นเต้นทั้งยินดีว่า “อุ๊ยตาย นี่เรื่องจริงรึ? ท่านอาสี่นี่ท่านคงไม่ได้หลอกข้ากระมัง? ครั้งพี่หญิงใหญ่ออกเรือน เพราะนางแต่งกับองค์รัชทายาท สินติดตัวจึงได้มากมายกว่าเหล่าท่านอาหญิงทุกท่านออกเรือนเสียอีก ครานี้ยังจะให้ข้าเพิ่มจากตอนที่พี่หญิงใหญ่ออกเรือนด้วยรึ? นี่เรื่องจริงใช่หรือไม่?”
“…” ตวนมู่ฉินตะลึงไปเนิ่นนาน จึงได้บอกว่า “ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว เจ้า…”
“ท่านอาสี่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านรักข้ามากที่สุด!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยทั้งรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ท่านมีกิจใดโปรดสั่งความมาเถิด! มีเรื่องใดเชิญพูดมาได้เลย! ขอเพียงหลานทำได้ รับรองว่าจะไม่ปฏิเสธโดยเด็ดขาด! ก็พวกเราเป็นคนสายเลือดเดียวกันนี่ ต่อให้ข้าไม่ไปช่วยผู้อื่น แต่ไม่มีทางเพิกเฉยต่อท่านอาสี่ท่านแน่นอน! ใช่หรือไม่?”
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังถึงขั้นเดินย้อนกลับมาในศาลา แล้วรับกาน้ำชามาจากมือของสาวใช้ที่เวลานี้กำลังอยู่ในอาการตกตะลึงเล็กน้อย และรินชาให้แก่ตวนมู่ฉินด้วยตนเองจนเต็มจอก …ตวนมู่ฉินจับจ้องไปยังหลานสาวซึ่งอยู่ใกล้ๆ ตรงหน้า ซึ่งจู่ๆ ก็มีท่าทีสนิทชิดเชื้อขึ้นมาเป็นหมื่นเท่า ใบหน้าของเขากลับค่อยๆ มีรอยยิ้มเจื่อนๆ ด้วยความจนใจปรากฏขึ้นมา แล้วถามไปทีละคำว่า “ซินเหมี่ยว นี่เจ้า….ห่างเหินกับ ตระกูลตวนมู่เพียงนี้เชียวรึ?”
_______________