เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ยินตวนมู่ซินเหมี่ยวบอกว่านางจะกลับเมืองหลวงไปกับตวนมู่ฉิน แม้นางจะเตรียมใจเอาไว้นานแล้ว ทว่าประการแรกเรื่องที่ต้องอาศัยวิชาแพทย์ของนางก็มีมากมายนัก ประการที่สองตลอดเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมาก็รู้สึกผูกพันจริงๆ จึงรู้สึกตัดใจไม่ได้เสียยิ่งนัก
กลายเป็นตวนมู่ซินเหมี่ยวเสียอีกที่ไม่มีน้ำจิตน้ำใจสักน้อย มาบอกกับนางอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “ท่านอาสี่ของข้าบอกข้าว่าท่านปู่และท่านพ่อเตรียมการจะมอบสินติดตัวให้ข้ามากกว่าครั้งพี่หญิงใหญ่ของข้าออกเรือนอีกหลายเท่า!”
“…เจ้าถึงกับต้องดีใจจนเป็นเช่นนี้เชียวรึ?” ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์และความเสียใจที่ต้องพรากจากที่เว่ยฉางอิ๋งมีอยู่เต็มอกยังไม่ทันได้กล่าวออกมาสักคำเลย พอมาเจออาการดีใจเช่นนี้ของนาง จึงหมดอารมณ์เสียแล้ว พลางเอ่ยไปอย่างหดหู่ใจนัก
ตวนมู่ซินเหมี่ยวตบมือ แล้วเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “แล้วจะไม่ให้ดีใจเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า! ท่านรู้หรือไม่ว่าสินติดตัวของพี่หญิงใหญ่ของข้าครานั้นมากมายเท่าใด? ครั้งท่านย่าข้ายังอยู่ก็รักใคร่พี่หญิงใหญ่ของข้าเป็นที่สุด กอปรกับนางแต่งกับ องค์รัชทายาทในเวลานั้นด้วย …ข้าได้ยินว่าครานั้นท่านย่าพยายามยัดข้าวของให้นางอย่างเต็มกำลัง! ผู้เฒ่าผู้แก่ในเรือนบอกว่าทำเอาเหล่าอาสะใภ้และลูกผู้พี่หญิงฝั่งท่านพ่อข้าอิจฉาตาร้อนจนทนไม่ไหว กระทั่งมีลูกผู้พี่หญิงที่อายุน้อยสักหน่อย และปากไวสักหน่อยแอบไปร้องไห้กับคนข้างกายบอกว่าท่านย่าให้สินติดตัวพี่หญิงใหญ่ตั้งมากมายเพียงนั้น ถึงยามนางออกเรือนก็มิใช่ว่าจะไม่เหลือสิ่งใดแล้วหรือ? แล้วยามนี้ข้าก็จะได้เท่ากันทั้งยังได้เพิ่มมาอีกด้วย!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ แล้วเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งคล้ายจะยังไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงได้ตระหนักขึ้นมา แล้วกรอกตาขาวใส่นางคราวหนึ่ง แค่นเสียงว่า “ใช่สิ แม้ท่านจะไม่ได้แต่งกับองค์รัชทายาท แต่ท่านย่าท่านก็รักใคร่ท่านไม่แพ้ท่านย่าข้ารักพี่หญิงใหญ่ของข้า สินติดตัวของท่านจะต้องไม่มีทางน้อยกว่าของพี่หญิงใหญ่ของข้าเป็นแน่!”
เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ได้ปฏิเสธ “ท่านย่าข้าค่อนข้างเอาใจข้าสักหน่อยจริงดังว่า แม้ข้าจะไม่ใคร่รู้ว่าพวกพี่สาวน้องสาวในบ้านข้าได้สินติดตัวเท่าใดยามออกเรือน แต่คิดไปแล้วก็คงไม่ได้มากเท่าข้า”
“กลัวแต่จะน้อยกว่ามากโขน่ะสิ!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยยิ้มๆ “ท่านย่าของท่านมีท่านเป็นหลานสาวแท้ๆ เพียงผู้เดียว ท่านย่าข้ายังมีข้าและหลานสาวแท้ๆ คนอื่นอีกตั้งหลายคน ต่อให้นางลำเอียงรักใคร่พี่หญิงใหญ่ของข้าอีกเท่าใด ก็ยังต้องคำนึงถึงหลานสาวคนอื่นๆ ด้วย จะเหมือนกับท่านย่าท่านได้ที่ใด ที่ดีชั่วก็มีท่านเป็นแก้วตาดวงใจแต่เพียงผู้เดียว จึงสามารถเอาดวงใจทั้งดวงมาไว้ที่ตัวท่านได้? เฮ่อ มาคิดไปดังนี้ มิใช่ว่าสินติดตัวของท่านยังจะมากกว่าของพี่หญิงใหญ่ของข้าอีกหรอกรึนี่?”
“หรือว่าที่เจ้าดีใจเพียงนี้ หาใช่เพราะท่านอาสี่ของเจ้ามารับเจ้ากลับโดยเฉพาะ ทว่าเป็นเพราะที่บ้านเจ้าสัญญาว่าจะให้สินติดตัวจำนวนนี้แก่เจ้า?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างหมดคำพูด
ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดไปอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “นี่ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว! หาไม่ยามข้าเห็นคนบ้านตวนมู่ ดีชั่วก็ล้วนขัดตายิ่งนัก! ยังจะยิ้มออกมาได้รึ? ต่อให้ยิ้มออกมาได้ก็เป็นรอยยิ้มเยาะเท่านั้น!”
“ในเมื่อเอ่ยถึงสินติดตัว ก็ต้องได้ออกเรือนจึงจะมี” เว่ยฉางอิ๋งไม่อยากพูดเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับคนในครอบครัวนางให้มากนัก จึงเปลี่ยนเรื่องมาถาม “เจ้าจะแต่งงานแล้วรึ? เป็นคุณชายบ้านใด?”
คุณหนูสูงศักดิ์โดยทั่วไปเมื่อได้ยินคำว่า ‘แต่งงาน’ คำนี้ หากไม่รู้สึกอายจนเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้และรีบลุกหนีไป ก็ต้องเอ็ดคนถามไปสองสามคำ ทว่าแต่ไรมาตวนมู่ซินเหมี่ยวก็มิใช่คุณหนูสูงศักดิ์ทั่วๆ ไป นางเอ่ยอย่างเปิดเผยว่า “ถ้าข้าไม่แต่งงาน พวกเขาก็จะไม่ยอมให้สินติดตัวข้า ส่วนเรื่องจะแต่งกับผู้ใดน่ะหรือ… รอข้ากลับไปเมืองหลวง และไปสอบถามให้ได้เสียก่อนว่ามีคนใดที่ไม่ค่อยได้ความ ตาขาวรังแกง่ายๆ ก็จะแต่งๆ ไปให้สิ้นเรื่อง ให้ได้สินติดตัวต่างหากจึงเป็นเรื่องสำคัญ”
เว่ยฉางอิ๋งส่ายหน้าบอกว่า “เจ้าเลอะเลือนอีกแล้ว! เรื่องสำคัญของทั้งชีวิตเช่นนี้ จะทำลวกๆ ดังนี้ได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวกำลังจะพูด เว่ยฉางอิ๋งพลันโบกมือขัด กล่าวว่า “เจ้าฟังข้าว่า! ข้ารู้ว่าวิชาแพทย์เจ้าล้ำเลิศ มีวิชาดีเช่นนี้อยู่ข้างกาย จะท่องยุทธภพเพียงลำพังก็หาได้ยากเย็นอันใดไม่ เพียงแต่อย่างไรเจ้าก็เป็นหญิง! ทั้งยังรูปโฉมงดงาม! หากมิใช่ว่ามีตระกูลตวนมู่คอยคุ้มครองเจ้าอยู่ข้างหลัง มิใช่ว่าจะถูกคนหมายตาไปตั้งนานแล้วหรอกหรือ? เจ้านึกว่าเจ้าชำนาญการวางยาพิษก็ร้ายกาจนักแล้วหรือ? ในตลาดเวลานี้พวกข้าทาสมีราคาแค่เงินกี่ตำลึงกัน? เพียงแค่สละชีวิตคนไม่กี่คนบุกเข้ามากดตัวเจ้าเอาไว้ เจ้าว่าเจ้ายังมีหนทางดิ้นรนหรือ? เมื่อเจ้าออกเรือนแล้วก็เป็นคนของเขาแล้ว ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่พอใจบ้านแม่ของเจ้านัก คาดว่าด้วยนิสัยของเจ้าแล้ว เมื่อแต่งงานไปแล้ววันหน้าก็คงจะไม่เอ่ยปากอันใดกับบ้านแม่อีก! เจ้าอยากถูกคนริษยาเพราะมีของดีอยู่กับตัวรึ?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวขมวดคิ้ว จากนั้นก็แค่นเสียง กล่าวว่า “ข้าอยากจะแต่งกับคนที่ต่ำศักดิ์กว่า! แต่ตามชาติกำเนิดของข้า ให้ด้อยเพียงก็ต้องเป็นเหล่าตระกูลมีชื่อกระมัง?”
“ชีวิตของพวกคนในสายห่างๆ ที่ตกต่ำในตระกูลมีชื่อก็ไม่แน่ว่าจะดีหรอกนะ!” เว่ยฉางอิ๋งเตือนนาง “เจ้าลืมหมิ่นจือเสียแล้วหรือ? ได้ยินว่าครั้งคนผู้นี้อยู่ในวัยแรกรุ่นฐานะทางบ้านยากจนข้นแค้นนัก จนถึงชั้นฤดูหนาวไร้เสื้อนวม หลายปีไม่ได้กินเนื้อ! เจ้าสามารถลดตัวลงไปรักษาให้ชาวบ้านและคนชนชั้นต่ำ แต่ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะใช้ชีวิตลำบากลำบนเช่นนั้นได้!”
“สินติดตัวของข้า…”
“การลวงล่อฉกชิงในใต้หล้านี้มีน้อยหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างมีนัยยะสำคัญ “เจ้าอย่าลืมว่าที่ทางทั้งภูเขาแม่น้ำที่ไหลรินไม่ขาดสายในบ้านเรือนของพวกเราเหล่านั้นมาจากที่ใด? ล้วนไปซื้อหามาทั้งสิ้นหรือ? มีกี่แห่งที่เป็นตระกูลของพวกเราไปบุกเบิกมา จึงได้มาเป็นของพวกเรา? แม้จะบอกว่าที่ที่ไปบุกเบิกมาล้วนเป็นภูเขาที่รกร้างไร้เจ้าของ แต่บางคราเมื่อไปสนใจที่ที่มีเจ้าของ ก็มิใช่ว่าไม่มีคนที่ใช้วิธีบีบคั้นเจ้าของเก่าให้ยอมมอบให้!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวฟังเสียจนรำคาญ จึงบ่นไปว่า “ข้าจะไปแล้ว พี่สะใภ้ท่านก็พูดคำที่น่าฟังสักหน่อยมิได้หรือ! เป็นต้นว่า ท่านคิดจะมอบของส่งเดินทางงามๆ ให้ข้าสักชิ้น?”
“ของส่งเดินทามข้าต้องมอบให้เจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่ข้าว่าความคิดในใจเจ้ายามนี้ใช้ไม่ได้ยิ่งนัก” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “หากเจ้าไม่มีคนที่ชอบจริงๆ ก็รออีกสักสองปี แต่งช้าดีกว่าแต่งผิดนะ! ตระกูลเช่นพวกเราจะไม่มีทางยอมให้เจ้าไปแต่งงานใหม่! เรื่องสำคัญเช่นนี้ห้ามทำเป็นเล่นเด็ดขาด จะต้องระวังแล้วระวังอีก!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้มเย็น “ข้ากลับไม่สนใจเรื่องนี้! ชื่อเสียงของตระกูลตวนมู่เกี่ยวอันใดกับข้า? ดีชั่วหลานชายข้าก็จวนจะแต่งงานแล้ว! เขาเป็นท่านอ๋องสูงศักดิ์ ไม่ต้องกลัวว่าจะแต่งพระชายาจากตระกูลเลื่องชื่อไม่ได้หรอก!”
เว่ยฉางอิ๋งถอนใจ กล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว …ที่เจ้าก็เพียงพูดไปเช่นนี้! แต่คิดว่าในใจเจ้าคงวางแผนเอาไว้แล้ว เพียงแต่ไม่ยอมบอกข้าเท่านั้น”
เห็นนางว่ามาดังนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับมีท่าทีเคอะเขินขึ้นมา “ข้าก็คิดว่านิสัยเช่นนี้ของข้า กลัวว่าสามีทั่วไปคงจะรับไม่ได้ แม้ข้าจะไม่กลัวผู้ใด แต่ต้องมาทะเลาะกันไปมาอยู่ทั้งวันก็ไม่เข้าที มิสู้หาคนซื่อๆ ยอมเชื่อฟังสักหน่อยเป็นดี! อีกประการข้าก็ไม่ได้สนใจว่าภรรยาต้องได้ดีเพราะสามีพวกนั้น”
“ถึงจะว่ามาดังนี้ แต่ถ้าเป็นคนที่ขี้ขลาดเกินไป ข้าว่าเจ้าก็ไม่ไหวเช่นกัน” เว่ยฉางอิ๋งเตือนนาง “ตามความเห็นข้า เจ้าไม่ควรหาคนซื่อยอมเชื้อฟัง หากแต่หาคนที่มีเหตุผลมีหลักการ”
“กลัวแต่ว่าหากมีเหตุผลหลักการเกินไปสักน้อย ก็จะมากะเกณฑ์บังคับข้าน่ะสิ” ตวนมู่ซินเหมี่ยวส่ายหน้า “พี่สะใภ้ท่านก็มิใช่ว่าไม่รู้ ต่อให้ออกเรือนแล้ว ข้าก็ยังคงต้องฝึกฝนวิชาแพทย์ต่อไป มิใช่ว่าด้วยเหตุนี้ ก็ต้องห่างเหินกับท่านอาจารย์ แม้จะบอกว่าท่านอาจารย์ของข้าสูงวัยแล้ว แต่อย่างไรชายหญิงก็แตกต่าง เสียงครหาข้างนอกมีมากมาย แม้จะหลบเลี่ยงไม่มาพูดต่อหน้าข้า แต่ก็มิใช่ว่าข้าจะไม่เคยบังเอิญไปได้ยินเข้า! พี่สะใภ้ท่านว่าจะมีบุรุษสักกี่คนที่จะใจกว้างเหมือน…เหมือนที่ใต้เท้าเสนาบดีตรวจการท่านลุงของท่านปฏิบัติต่อป้าสะใภ้ของท่านเช่นนั้น?
เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่าเดิมทีตวนมู่ซินเหมี่ยวคิดจะเอามาเปรียบเทียบกับเสิ่นจั้งเฟิงสามีของตนเอง …ครานั้นตนเองยังไม่ทันออกเรือนก็มีเหตุให้ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกต้องสงสัยว่าเสียความบริสุทธิ์ ตระกูลเสิ่นส่งเสิ่นโจ้วมาถอนหมั้นที่เฟิ่งโจวก็เกือบจะเอ่ยปากออกมาอยู่แล้ว แต่เป็นเสิ่นจั้งเฟิงคู่หมั้นของนางที่ขืนเร่งเดินทางกลางฝนตกหนักมายับยั้งเอาไว้
หลังจากนั้นผู้คนล้วนบอกว่าเสิ่นจั้งเฟิงมีใจคอกว้างขวางนัก แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็ยังยอมทนได้ …ทว่า ที่แท้แล้วคำกล่าวนี้เป็นคำชมหรือคำประชด ก็มีเพียงคนที่พูดเท่านั้นที่รู้อยู่ในใจ
เมื่อคิดถึงเรื่องแต่หนหลัง เว่ยฉางอิ๋งก็ถอนใจอยู่ในใจ แล้วเตือนตวนมู่ซินเหมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แม้ท่านลุงข้าผู้นั้นจะเป็นคนดี แต่สามีที่ดีก็มิใช่มีเพียงเขาผู้เดียว เรื่องอื่นไม่ว่า ว่าแต่ลูกผู้พี่รองบ้านซ่งของข้า แม้จะบอกว่าเขาเลิกกับลูกผู้พี่ของเจ้าไปแล้ว แต่นั่นก็เป็นตวนมู่อู๋เซ่อเองที่ตัดขาดกับบ้านสามีก่อน หากว่ากันเรื่องนิสัยใจคอ ลูกผู้พี่รองซ่งของข้าเป็นคนดีมากๆ แน่นอน ข้าจะบอกสักคำเจ้าอย่าได้โกรธเคือง แม้ตวนมู่อู๋เซ่อจะเป็นลูกผู้พี่ของเจ้า แต่นิสัยกลับต่างกับเจ้าไม่รู้เท่าใด ไม่เหมาะกับเขาเสียยิ่งนัก เรื่องนี้จะถือโทษลูกผู้พี่รองซ่งของข้าไม่ได้เลยจริงๆ”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้มเยาะ กล่าวว่า “ข้าจะไปโกรธเคืองอันใด? ตวนมู่อู๋เซ่อถูกเลิกราส่งตัวกลับบ้านนั้น ในบรรดาคนที่ดีใจที่สุดก็ต้องมีข้าอยู่ในนั้นด้วย! นับไปแล้วข้าและท่านแม่ของข้า พี่หญิงใหญ่ของข้า ก็ไม่เคยล่วงเกินนางแต่ย่างใด แต่หลังจาก พี่หญิงใหญ่ของข้าเกิดเรื่อง คนในรุ่นเดียวกันก็เป็นนางนี่ล่ะที่คอยซ้ำเติมอย่างหนักหนาสาหัสที่สุด! ตอนท่านแม่ข้าเสียไป นางก็หาได้ไม่มาพูดจากระแนะกระแหน! หากไม่เห็นแก่ฟางเส้นสุดท้ายที่เป็นคนร่วมตระกูล กอปรกับพวกผู้ใหญ่คอยขวางเอาไว้ ข้าก็จะเอาชีวิตนางเสียตั้งนานแล้ว ให้นางไล่หัวลงไปขอขมาท่านแม่ข้าในยมโลกเสีย! ยังต้องให้บ้านซ่งไล่นางกลับบ้านรึ?!”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าตวนมู่อู๋เซ่อนิสัยไม่ดี คอยรังแกนางฮั่วบ่อยครั้ง แต่กลับไม่คิดว่านางก็ล่วงเกินตวนมู่ซินเหมี่ยวหนักหนาเพียงนี้ด้วย…ตะลึงไปสักพัก นางพลันคิดเรื่องหนึ่งได้ รีบกดเสียงลงต่ำ “ตวนมู่อู๋เซ่อขี้อิจฉา แต่ไรมาจึงไม่ยอมให้ลูกผู้พี่รองบ้านซ่งของข้ารับอนุ …แต่นางออกเรือนมาหลายปีก็ไม่มีลูก…”
“ถ้านางมีลูก ข้าก็ถูกท่านอาจารย์ไล่ออกจากสำนักนานแล้วน่ะสิ!” ปรากฏว่า ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ยังไม่ต้องเอ่ยถึงสิ่งที่นางเอ่ยตอนพี่หญิงใหญ่ของข้าตอนเกิดเรื่องเลย พี่สะใภ้ท่านรู้หรือไม่ว่านางพูดสิ่งใดในงานศพท่านแม่ข้า?”
ไม่ทันรอให้เว่ยฉางอิ๋งตอบ นางก็ยิ้มเย็นหลายครั้ง กล่าวว่า “นางบอกว่า ไม่แน่ว่าท่านแม่ข้าไม่ได้ป่วยตาย แต่เพราะตรอมใจที่หลายปีมานี้ไม่มีบุตรชายให้ท่านพ่อข้า แต่มีแค่บุตรสาวสองคน เมื่อสำเหนียกได้ดังนี้จึงฆ่าตัวตาย และเพราะว่าบุตรสาวคนโตของท่านแม่ข้าซึ่งก็คือพี่หญิงใหญ่ของข้าเป็นที่รักของท่านย่าข้านัก จึงได้ส่งนางออกเรือนอย่างออกหน้าออกตาอย่างยิ่ง แต่ภายหลังกลับเกือบทำให้ตระกูลต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย! เห็นได้ว่าพี่หญิงใหญ่ของข้ามีวาสนาไม่พอ จะให้นางขืนอยู่ในตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทต่อไปก็ไม่มีทางสำเร็จ! แล้วยังบอกอีกว่า ดีชั่วพี่หญิงใหญ่ของข้าก็ยังมีทายาทหนึ่งคน ก็ยังพอจะครองตัวเป็นม่ายต่อไปได้ ส่วนข้านั้น พอวันหน้าต้องตกอยู่ในเงื้อมมืออนุและแม่เลี้ยงกลับไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร เห็นได้ว่าท่านแม่ของพวกเราโชคร้าย บุตรสาวของนางจึงได้ไร้วาสนา! ครานั้นโลงศพของท่านแม่ข้าอยู่ในโถงอยู่เลย …ท่านว่าข้ายอมให้นางแค่ไร้วาสนาเรื่องทายาทก็นับว่าข้ามีเมตตาหาใดเปรียบแล้วหรือไม่?”
แม้เว่ยฉางอิ๋งไม่อยากจะไปวิจารณ์เรื่องในบ้านของตระกูลตวนมู่ แต่เวลานี้ก็อดจะเอ่ยอย่างรังเกียจไม่ได้ว่า “ดีชั่วอย่างไรก็เป็นบุตรีตระกูลสูงศักดิ์ อายุน้อยๆ แต่ปากคอเราะร้ายปานนี้! ท่านลุงยืนกรานส่งนางกลับบ้าน แต่ไม่ยอมให้หย่าร้างหรือปล่อยให้นางมาตายในบ้านซ่งก็นับว่าเป็นการกระทำที่หลักแหลมจริงๆ! หญิงเช่นนี้ควรต้องถูกดูแคลนให้ถึงที่สุด …ล้วนเป็นเพราะนางรนหาที่เอง!”
นางผ่อนน้ำเสียงลงมา กล่าวว่า “ดีชั่ว ยามนี้นางก็ไม่ได้ลงเอยอย่างดีอันใด เจ้าก็อย่าไปจำคำนางให้มากนัก คนชั่วไร้เหตุผลชนิดนี้ โง่เง่าต่ำช้ายิ่งนัก! หากไปถือสานางก็เสียราคาตนเปล่าๆ!”
แววตาของตวนมู่ซินเหมี่ยวเปลี่ยนไปมาอยู่พักใหญ่ จึงบอกว่า “มิเป็นไร คนตระกูลตวนมู่ที่เคยทำไม่ดีกับข้าหลายๆ เรื่องมีอยู่ถมเถไป! หากต้องถือสาไปเสียทุกคน แล้วข้าจะมีแก่ใจไปฝึกฝนวิชาแพทย์ได้ที่ใด?”
เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังคำนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่า เหตุที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวหมกมุ่นในวิชาแพทย์ถึงเพียงนี้ ความจริงแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเพราะนางชื่นชอบวิชาแพทย์ หลายๆ ครา บางทีอาจเป็นเพราะคิดจะอาศัยความหมกมุ่นในวิชาแพทย์นี้ทำให้หลงลืมความเจ็บปวดในวันวาน
เว่ยฉางอิ๋งไม่อยากไปสะกิดถูกความทรงจำที่ไม่ดีของตวนมู่ซินเหมี่ยวให้มากมาย นางจึงเปลี่ยนหัวข้าสนทนาไปเสีย “ความจริงแล้วพี่ชายสี่ของเจ้าก็เป็นสามีที่ดีคนหนึ่ง ครานี้เมื่อเขาได้ยินว่าซูซีบุตรสาวคนโตของเขาอาการไม่ดี เขาก็วางทุกเรื่องลงในทันใดและเร่งเดินทางกลับเมืองหลวง ต้องรู้ก่อนว่าที่เขาถูกส่งมาที่ซีเหลียงก็เพื่อให้เขาได้ฝึกฝนตน มากลับไปดื้อๆ เช่นนี้ก็จะต้องถูกท่านอารองจัดการยกหนึ่งแน่นอน บางคนอย่าว่าแต่ลูกสาวคนโตเลย แม้จะเป็นบุตรชายคนโตก็ยังไม่แน่ว่าจะให้ความสำคัญเพียงนี้”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ฟังก็หัวเราะพู่ออกมาทันใด กล่าวว่า “ประโยคสุดท้ายนี้คงมิใช่กำลังโอดครวญว่าพี่ชายสามเขามาที่นี่ก็ยังไม่เคยได้พบซูกวงเลยหรอกนะ?”
___________________