ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 54 กู้ซีเหนียน

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ตวนมู่ฉินเกลี่ยกล่อมให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวหลานสาวของตนกลับไปเมืองหลวงด้วยกันได้ กอปรกับคำเตือนของเว่ยฉางอิ๋งก่อนหน้านี้ กู้ซีเหนียนย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสจะเอากู้โหรวจางฝากกลับไปในครานี้ด้วย

จะว่าไปแล้วตระกูลกู้ในรุ่นนี้แต่ละคนล้วนมีความสามารถกันทั้งนั้น คุณชายใหญ่ตระกูลกู้ กู้หน่ายเจิง แค่เปิดปากก็ทำให้คนเป็นโมโหจนตาย คนตายโมโหจนฟื้น แต่ตัวเขาเองกลับไม่ไดรู้สึกรู้สาใดเลยแม้แต่น้อย กระทั่งออกจะคิดว่าตนเองรู้ดีรู้กาละเทศทั้งยังเป็นกลางกล้าหาญมีคุณธรรมเสียอีก …ช่างเป็นสหายจริงใจที่คนทั่วหล้าล้วนอิจฉาตาร้อนเสียจริงๆ ส่วนคุณหนูใหญ่กู้โหรวจางก็หลงใหลในวรยุทธ์จนเข้าสายเลือด ละทิ้งชีวิตสุขสบายที่มีแต่แพรพรรณอาหารชั้นเลิศที่ผู้คนตั้งเท่าใดไม่อาจจะฝันถึง แต่ดึงดันจะอยู่ที่ชายแดน ไม่ว่าจะฉุกกระชากลากดึงอย่างไรก็ไม่ยอมไป และรู้สึกสำราญที่จะอยู่เช่นนี้อย่างหมดจิตหมดใจ

คุณชายคนรองบุตรอุนกู้ซีเหนียนถูกขนาบอยู่ตรงกลางทั้งสองท่านนี้พอดี จึงเรียกได้ว่าต้องทนทุกข์จากทั้งสองท่านนี้อย่างสาหัสมาแต่เล็ก นานวันเข้าก็กลับมีวิธีรับมือกับทั้งสองท่านนี้ขึ้นมาเอง

ดังเช่นในครานี้ กู้ซีเหนียนพาคนเร่งไปที่อำเภอตามที่อยู่ที่เว่ยฉางอิ๋งให้มา ทว่าไม่ได้เข้าไปหากู้โหรวจางก่อน แต่กลับใช้เวลาหลายวันซุ่มอยู่เหมือนกับที่เขาจัดการกับศัตรูเช่นนั้น เมื่อแน่ใจแล้วว่ากู้โหรวจางอยู่ในคฤหาสน์จริงๆ ก็สั่งให้คนไปล้อม คฤหาสน์เอาไว้ทั้งสี่ด้าน จึงค่อยบุกเข้าไปถีบประตูใหญ่ …ปรากฏว่าพอเข้าไปกลับเห็นเพียงพวกบ่าวที่พยายามหาทางขวางพวกเขาเอาไว้ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้โหรวจาง กระทั่งเขาเข้าไปในตัวอาคาร แล้วเอาใบชาที่ตนเองนำติดตัวมาไปชงชามาหนึ่งกา ค่อยๆ ดื่มไปครึ่งจอกอย่างผ่อนคลาย จึงเห็นว่าพวกลูกน้องกุมตัวน้องสาวที่มีสีหน้าขัดใจเป็นที่สุดเข้ามา

เมื่อกู้โหรวจางเห็นพี่ชายบุตรอนุก็กระโดดโหยงเหยง ร้องด่าว่าเขาต่ำช้าไร้ยางอาย เดิมทีกู้โหรวจางจัดคนส่งข่าวเอาไว้ข้างหน้าเรือนแล้ว พอกู้ซีเหนียนมาก็ลั่นกลองเตือนกู้โหรวจางที่อยู่ในโถงทางด้านหลัง…เพื่อให้นางหนีไปได้ทัน

คุณหนูใหญ่ตระกูลกู้มีวรยุทธ์เก่งกาจ นางสะพายห่อผ้าเล็กๆ แล้วกระโดดขึ้นไปบนกำแพงอย่างตัวเบาปานนกนางแอ่น มองเห็นว่าที่ด้านหลังคฤหาสน์มีตรอกซอกซอยที่กระจายตัวเหมือนไยแมงมุมซึ่งตนสามารถหนีหายวับไปกับตาได้และให้ กู้ซีเหนียนเข้ามาพบแต่ความว่างเปล่า!

แต่ช้าก่อน….

เมื่อนางขึ้นไปบนกำแพง แต่ยังไม่ทันมองภาพข้างนอกกำแพงได้ชัดเจนเลย ก็พลันมีลูกศรที่เอาผ้ามัดห่อปลายศรไว้หนาๆ ยิ่งขึ้นมาหานางจนต้องกลับเข้าไปภายในเรือน…

แม้กู้โหรวจางจะมีพื้นฐานวรยุทธ์ไม่เลว แต่ก็ยังทานยุทธวิธีที่เอาไว้ต้านทาน พวกตี๋ที่เข้ามาโจมตีแม้กระทั่งในตัวเมืองหลายครั้งไม่ได้ นั่นเพราะแม้ว่าในส่วนลึกของตัวเมืองจะไม่เคยถูกตีแตกมาก่อน แต่ก็ต้องคอยป้องกันไม่ให้ถูกตีพ่าย ฉะนั้นกำแพงเรือนจึงทำให้สูงเป็นพิเศษ

ไม่เพียงแค่สูงเท่านั้น กู้โหรวจางเองก็ขี้โกง นับตั้งแต่นางได้ยินว่าสงครามยุติลงแล้ว นางก็เตรียมการป้องกันไม่ให้กู้ซีเหนียนมาบังคับพาตนเองกลับเมืองหลวง ฉะนั้นจึงเตรียมการหลบเลี่ยงยามกู้ซีเหนียนมาหาที่บ้านเอาไว้อย่างดีเรื่อยมา …นางให้คนไปเก็บกวาดกองหิมะในเรือนหลังออกอยู่เสมอ เพื่อให้นางสามารถมองเห็นทิศทางที่จะหลบหนีได้อย่างยาวไกล

…ครั้นแล้ว ตัวของคุณหนูใหญ่กู้ผู้น่าสงสารจึงได้พุ่งตรงลงมาที่พื้นซึ่งปูด้วยหินครามที่ทำความสะอาดและขัดจนเกลี้ยงเกลานั้น!

ชั่วพริบตามนั้น ในขณะที่กู้โหรวจางกำลังตื่นตระหนก นางก็กลับหัวเราะออกมา กำแพงสูงเพียงนี้ แล้วตกลงมาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นแผลหรือไม่เป็นแผล ดีชั่วเมื่อตนเองตกลงมาบนพื้นก็คงลุกขึ้นไม่ไหวแล้ว!

เอ็นบาดเจ็บกระดูกเคลื่อนต้องใช้หนึ่งร้อยวัน หนึ่งร้อยวันเชียวนะ …ที่สำคัญที่สุดก็คือห้ามให้ได้รับความกระทบกระเทือน! ฉะนั้นในเมื่อต้องรักษาตัวเป็นเวลานาน ทั้งยังต้องพักผ่อนให้ดีๆ นางก็ไม่เชื่อว่ากู้ซีเหนียนจะคอยเฝ้าดูนางอยู่ที่นี่สามเดือนโดยไม่ไปทำการงานใดเลย!

รอจนเขากลับไปแล้ว ดูซิว่ายังจะมีผู้ใดมาบังคับคุณหนูเยี่ยงข้าได้อีก!

น่าเสียดายก็แต่ ความคิดนี้เพิ่งจะแล่นผ่านเข้ามาในหัวสมองของกู้โหรวจางเท่านั้น ก็พลันรู้สึกว่าตัวที่กำลังตกลงมากลับมีบางสิ่งมารองรับเอาไว้ และเด้งลอยขึ้นไปคราวหนึ่ง …เป็นเช่นนี้อยู่สองสามครั้ง นางจึงตื่นตะลึงที่พบว่าก่อนที่นางจะตกลงมานางยังคงลอยอยู่ในอากาศ เพียงแต่ในเรือนหลังที่มีนางอยู่เพียงผู้เดียวนี้ไม่รู้ว่ามีองครักษ์ที่สวมเสื้อผ้าเต็มยศสี่นายมาปรากฏตัวขึ้นยามใด และพากันขึงผ้าสู่จิ่นทอลายหลากสีงดงามเอาไว้

ผ้าสู่จิ่นเป็นผ้าที่มีราคาสูงมาก เพราะมีวิธีการทอที่ซับซ้อนยุ่งยาก และมีความแข็งแรงมากด้วย อีกทั้งองครักษ์สี่นายก็มีเรี่ยวแรงมาก แต่ละนายดึงคนละมุมและปล่อยให้กู้โหรวจางเด้งขึ้นลงอยู่ในผ้าพักหนึ่ง แต่แขนของพวกเขาก็ยังไม่ขยับแม้สักนิด!

เมื่อเห็นภาพนี้ จมูกของกู้โหรวจางก็ต้องพ่นลมออกมาด้วยความโกรธจนบิดเบี้ยวไปหมด!

และสิ่งที่ทำให้นางยิ่งโกรธเข้าไปอีกก็คือ รอจนแรงตกกระทบของนางหายไปหมดแล้ว มีองครักษ์สองในสี่นายพลันปล่อยมือในทันใด เพื่อปล่อยให้นางไหลงลงมาบนพื้น จากนั้นองครักษ์ที่เหลืออีกสองคนก็สะบัดผ้าสู่จิ่นแล้วเอ่ยกับนางอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูใหญ่ขอรับ คุณชายรองกำลังรอท่านอยู่ในโถงหลักขอรับ คุณชายรองบอกว่า หากท่านไม่ไป ก็ให้ข้าน้อยเอาผ้าสู่จิ่นนี้ห่อคุณหนูใหญ่ตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงเท้าแล้วลากไปขอรับ คุณหนูใหญ่ ท่านเห็นว่าเป็นเช่นใดขอรับ?”

“…” กู้โหรวจางจะยังพูดสิ่งใดอีกได้?

องครักษ์ทั้งสี่นายนี้นางก็รู้จักหมด ล้วนเป็นหนึ่งในยอดองครักษ์ตระกูลกู้ กู้ซีเหนียนเป็นคนไปขอให้มาอยู่ในกองทัพ ผู้ใหญ่ของตระกูลกู้จึงส่งพวกเขามาให้เป็นพิเศษเพื่อความปลอดภัยของบุตรชายของตน ในซีเหลียงแห่งนี้ คนทั้งสี่เชื่อฟังเพียงคำของกู้ซีเหนียนเท่านั้น แม้กู้โหรวจางจะเป็นคุณหนูใหญ่ ทั้งยังเป็นบุตรจากภรรยาเอก แต่ก็ไม่อาจขัดขืนพวกเขาได้ …กลับเป็นพวกเขาเสียอีกที่กล้าลงมือตามคำสั่งของกู้ซีเหนียนจริงๆ!

ดีชั่ว คำสั่งนี้ก็เป็นกู้ซีเหนียนสั่งมา หากมีผลลัพธ์ใดก็ล้วนเป็น กู้ซีเหนียนรับผิดชอบ

ด้วยเหตุนี้เมื่อกู้โหรวจางเห็นกู้ซีเหนียนจึงอาละวาดใส่เขาขนานใหญ่ …กู้ซีเหนียนกลับยังคงดื่มชาอย่างเยือกเย็น มีสีมีหน้าสงบดังเดิม นั่งฟังนางด่าทออย่างดุเดือดอยู่เกือบครึ่งชั่วยามเต็มๆ จึงได้เอื้อมมือส่งถ้วยน้ำชาไปให้ แล้วเอ่ยอย่างมีนัยยะสำคัญว่า “พี่ทำเช่นนี้ ก็มิใช่เพื่อให้น้องหญิงได้สมใจ?”

กู้โหรวจางมองเขาอย่างสงสัย กล่าวว่า “ท่านมองข้าเป็นเช่นนักโทษ แล้วยังกล้ามาบอกว่าทำให้ข้าสมใจ!”

กู้ซีเหนียนยิ้มอย่างเกียจคร้านคราวหนึ่ง บอกว่า “พี่รู้ว่าน้องหญิงอยากจะอยู่ใน ซีเหลียง ใช่หรือไม่?”

“รู้แล้วท่านก็ยังมาจับข้า!” กู้โหรวจางยิ่งโมโหเข้าไปอีก!

“เพียงแต่ซีเหลียงเหน็บหนาวยิ่งนัก ทั้งยังห่างไกลจากเมืองหลวง ที่สำคัญที่สุดก็คือที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัย” กู้ซีเหนียนยื่นนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วส่ายไปมาเบาๆ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าว่าท่านพ่อของเราจะยอมให้เจ้าซึ่งเป็นสตรีผู้หนึ่งมาอยู่ที่นี่นานๆ ได้อย่างไร? ครานี้ให้เจ้าอยู่มาหลายเดือนแล้ว นับว่าถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว! หากเจ้ายังคิดจะอยู่ต่อ แล้วจะไม่บอกกล่าวสิ่งใดสักน้อยได้อย่างไร?”

กู้โหรวจางเอ่ยอย่างระแวงว่า “เช่นนั้นท่านหมายความว่า?”

“เดิมทีวันนี้พี่เป็นคนสร้างโอกาสให้เจ้า” กู้ซีเหนียนโบกมือให้นางระงับโทสะ แล้วอธิบายว่า “คนที่พี่พามาวันนี้ล้วนเป็นองครักษ์ในบ้านเราเอง พี่น้องตระกูลเหลียงทั้งสี่คนก็เป็นถึงยอดฝีมือในองครักษ์ตระกูลกู้! หากเจ้าสามารถหนีรอดไปจากการโอบล้อมของพวกเขาได้ เช่นนั้นพี่ก็จะสามารถไปบอกกล่าวกับท่านพ่อแทนเจ้าได้แล้ว ใช่หรือไม่?”

ดีชั่วกู้โหรวจางก็ยังไม่ได้เหม่อจนถูกเขากล่อมเอาได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำดังนี้ จึงแค่นเสียงเอ่ยว่า “ข้าเชื่อท่านก็แปลกแล้ว! ท่านปิดล้อมคฤหาสน์หลังนี้เอาไว้มิดชิดดังถังเหล็กเช่นนี้! ก็ยากจะฝ่าวงล้อมออกไปได้อยู่แล้ว ท่านยังต่ำช้าให้คนมาแอบลอบโจมตีข้า ยุทธวิธีแยบยลปานนี้แล้วท่านจะให้ข้าหนีไปได้อย่างไร?”

กู้ซีเหนียนหัวเราะออกมา “เจ้าว่าเมื่อครู่นี้ยากจะหนีไปได้ ด้วยพี่จงใจทำให้เจ้าลำบากรึ? เช่นนั้นหากพี่สามารถหนีรอดไปได้ในสถานการณ์เช่นเดียวกัน เจ้าจะมีคำพูดเอ่ยอีกหรือไม่?”

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะฟังท่าน!” กู้โหรวจางได้ยินคำก็รีบนำเรื่องที่ตนประสบมา มาใคร่ครวญอย่างละเอียด จึงสำนึกเสียใจว่านอกเสียจากตนเองจะรู้มาก่อนว่ามีคนมาล้อมคฤหาสน์เอาไว้ และฉวยโอกาสหนีไปก่อนที่จะถูกล้อม หาไม่แล้วต่อให้รู้ว่าข้างนอกมีพลเกาทัณฑ์ก่อนจะขึ้นไปบนกำแพงก็ไร้ผล …เมื่อคนทั้งกลุ่มบุกเข้ามาจับ ภายในคฤหาสน์แห่งนี้ก็ไม่มีที่ห้องลับอันใดที่พอจะทำให้ไม่ถูกหาพบ

เพราะอย่างไรที่แห่งนี้ก็เป็นเพียงเรือนพักแห่งหนึ่งของหมิงเพ่ยถังในซีเหลียงเท่านั้น แม้แต่บ่าวที่อยู่ภายในก็ล้วนเป็นคนธรรมดา ตระกูลเสิ่นก็มิใช่เอาแต่อยู่ว่างๆ จึงจะได้มาจัดแจงเรือนพักทุกแห่งอย่างเต็มกำลังเหมือนกับคฤหาสน์ดั้งเดิมเช่นนั้น

กู้โหรวจางคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในใจอยากเห็นพี่ชายบุตรอนุขายหน้าสักหนก็คงดี จึงรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ “แต่หากพี่ชายรองท่านทำไม่ได ท่านก็ห้ามมายุ่งกับข้าอีก! ไม่เพียงท่านไม่อาจจับข้ากลับไปซีเหลียง หรือส่งข้ากลับเมืองหลวง ในครานี้เท่านั้น ต่อให้ท่านพ่อส่งคนมาจับข้า ท่านก็จะต้องช่วยข้าด้วย!”

“คำไหนคำนั้น!” กู้ซีเหนียนได้ฟัง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ทิ้งถ้วยชาลงทันที ยิ้มตาหยีพลางว่า “เช่นนั้นก็เริ่มกันเลย?”

“ห้ามใช้คนของท่าน! คนของท่านล้วนฟังท่าน! กู้โหรวจางรีบบอกข้อเรียกร้องนานาออกมา “พี่น้อง ระกูลเหลียงมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ไม่อาจเทียบกับองครักษ์ทั่วไปได้! ยังมีอีกต้อนที่ข้ากระโดดขึ้นบนกำแพง ก็แทบจะมีศรพุ่งเข้ามาจากแปดทิศ ท่านเองก็ห้ามน้อยกว่านั้น!”

กู้ซีเหนียนฟังข้อจำกัดเป็นกองพะเนินเทินทึกที่นางพร่ำพูดออกมาไม่หยุด แต่คิ้วก็ยังไม่ได้ขมวดเลยแม้สักหน และยอมรับไปทุกๆ ข้อว่า “ล้วนว่าตามคำน้องหญิง”

แล้วเขาก็ถามยิ้มๆ ว่า “น้องหญิงคิดว่าจะใช้คนของผู้ใดมาแทนลูกน้องเหล่านี้ของพี่เล่า?”

คำถามนี้ทำเอาสีหน้าของกู้โหรวจางเปลี่ยนไปทันใด …ที่จริงแล้วลำพังแค่เรื่องคนที่ฝีมือดีกว่าองครักษ์ข้างกายกู้ซีเหนียนก็มีอยู่มากมาย เช่นจากทางเว่ยฉางอิ๋งก็สามารถยืมคนจำนวนหนึ่งออกมาได้ตลอดเวลา

แต่เรื่องเศร้าอยู่ที่ เว่ยฉางอิ๋งก็หวังให้ตนกลับไปเมืองหลวงในเร็ววัน อย่าได้มาก่อความวุ่นวายอยู่ในซีเหลียงทั้งวี่ทั้งวัน และทำให้นางต้องมาพะวงทั้งที่มีเรื่องต้องทำมากมาย …เพียงคิดก็รู้ว่า หากคนที่เว่ยฉางอิ๋งส่งมารู้ว่าพวกนางสองพี่น้องพนันกัน แล้วไม่ยอมอ่อนข้อให้ก็แปลกแล้ว!

และด้วยเหตุผลเดียวกัน คนตระกูลเสิ่น รวมทั้งผู้คนที่ติดตามตวนมู่ฉินผู้แทนพระองค์มา …คนเหล่านี้จะต้องยินดีให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แก่ผู้ใหญ่ตระกูลกู้เป็นแน่แท้…

กู้โหรวจางใคร่ครวญอย่างยากเย็นอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็คิดถึงตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดออก “เหล่าทหารที่ราชสำนักพระราชทานรางวัลให้ ใช้พวกเขานั่นล่ะ!” ได้ยินว่าทหารที่นี่โหดร้ายยิ่งนัก เหล่าผู้บัญชาการที่อ่อนด้อยสักหน่อยก็ยังข่มพวกเขาไว้ไม่ได้ พี่ชายบุตรอนุของตนก็ออกจะสง่าภูมิฐาน คนพวกนั้นคงไม่ทำให้พี่ชายต้องขายหน้าอันใดหรือกระมัง?

เมื่อนางตั้งความหวังไว้ดังนี้…. เพียงคิดก็รู้แล้วว่านางต้องพ่ายแพ้ยับเยิน

หลังจากเว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องนี้ก็อดยินดีหนักหนาไม่ได้ “กู้โหรวจางไม่รู้หรือไรว่า คุณชายรองกู้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของหยิวเจี่ย มีผู้บัญชาการที่ใดจะไม่ช่วย ผู้ใต้บังคับบัญชาของตน แต่กลับไปช่วยน้องสาวของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน? ต่อให้เหล่าทหารที่นี่เหี้ยมหาญเพียงใด แต่กลับไม่ยอมฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แล้วจะมีทหารเอาไว้ทำสิ่งใด? อีกประการหนึ่ง การที่นางหาเรื่องไม่ยอมกลับบ้านเสียที ทำให้พี่ชายเป็นห่วง ผู้ใดเห็นเข้าแล้วจะไม่ยื่นมือเข้าช่วย? ต่อให้นางไปตามหาทั่วซีเหลียงจนพบตัวเขา แล้วผู้ใดจะไม่ปล่อยกู้ซีเหนียนออกมากันเล่า? ดีชั่วนางคนเดียวก็ไม่อาจดูแลคฤหาสน์ทั้งได้หมด”

จูเสียนที่ไปได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเม้มปากหัวเราะบอกว่า “คุณหนูใหญ่กู้พ่ายแพ้ครานี้ก็ยังไม่ยอมแพ้นะเจ้าคะ ยังอาละวาดจะให้เปลี่ยนคนแล้วเอาใหม่อีกเจ้าค่ะ!”

เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะถามว่า “นางจะให้เปลี่ยนผู้ใดอีก?”

“เริ่มจากเปลี่ยนผู้คนที่คอยปรนนิบัตินางในคฤหาสน์อยู่แต่เดิม และพวกบ่าวที่นางใช้เงินซื้อตัวไว้เป็นพวกก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนชาวบ้านที่นางส่งคนไปหามาจากตามถนนหนทางเจ้าค่ะ” จูเสียนเอ่ยยิ้มๆ “พนันสามรอบก็แพ้สามรอบ คุณหนูใหญ่กู้แทบจะร้องไห้น้ำมูกโป่งลงกับทีเชียวเจ้าค่ะ!”

“นางนี่ช่าง….” เว่ยฉางอิ๋งส่ายหน้าไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “เช่นนั้น เวลานี้นางรับปากจะกลับเมืองหลวงแล้วหรือไม่?”

จูเสียนพยักหน้า “ได้ยินว่าคุณชายรองกู้บอกกับคุณหนูใหญ่กู้ว่าวรยุทธ์ของคุณหนูใหญ่กู้เหลาะแหละเพียงนี้ ทั้งปฏิภาณไหวพริบก็ไม่ล้ำลึกอีก หากยังอยู่ในซีเหลียงต่อไปก็จะเป็นภาระ ทำให้คนอดเป็นห่วงเสียอย่างยิ่งไม่ได้ และให้คุณหนูใหญ่กู้พอได้แล้วอย่าทำตัวเป็นภาระอีกเลย …คุณหนูใหญ่กู้โมโหจนหน้าแดง แต่ก็หาคำโต้แย้งไม่ได้ อีกประการก็ด้วยทำอันใดคุณชายรองกู้ไม่ได้ ยามนี้จึงวางแผนว่าจะกลับไปฟ้องกับเหล่าผู้ใหญ่ตระกูลกู้ที่เมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ”

เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจว่า “เป็นผู้ใหญ่ตระกูลกู้นี่ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ!”

สาวใช้ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้าหงึกๆ ในบ้านมีบุตรชายสองบุตรสาวหนึ่ง นอกจากกู้ซีเหนียนที่สามารถทำให้ผู้ใหญ่เบาใจได้สักน้อยแล้ว บุตรชายบุตรสาวบ้านใหญ่ล้วนเป็นคนที่พอไม่ระวังสักหน่อยก็ทำให้เหล่าคนแก่ๆ แทบขาดใจตายได้ …แต่แม้ว่าตัวของกู้ซีเหนียนไม่ต้องให้ผู้ใหญ่หนักใจ แต่กลับมิใช่คนที่จะเข้าไปช่วยแบ่งเบาความทุกข์ร้อนใจของเหล่าผู้ใหญ่ เหตุที่เจ้าหมอนี่มาบังคับกุมตัวน้องสาวบ้านใหญ่กลับไปเมืองหลวง ก็เพราะเขาได้โอกาสผลักความรับผิดชอบว่าในขณะเขาที่ไม่ต้องจัดการงานหลวง แต่ก็ต้องมาคอยเป็นห่วงน้องสาวบ้านใหญ่ที่มาเที่ยวเล่นในซีเหลียงตามลำพัง แต่ยามนี้ คนที่ต้องร้อนใจในภายหลังก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ตระกูลกู้แล้ว…

______________