หลังจากขบวนของตวนมู่ฉินไปจากซีเหลียงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ว่างลงในทันใด
คนเป็นแม่ เมื่อว่างลงก็อดจะคิดถึงลูกไม่ได้
นางจึงนับวันเวลาขึ้นมา คิดว่าเวลานี้เสิ่นซูกวงก็คงจะพูดเป็นบ้างแล้ว เพียงแต่เขาโตมากับท่านปู่ท่านย่า ก็ไม่รู้ว่ายามนี้จะเรียกท่านพ่อ ท่านแม่เป็นหรือไม่?
แล้วคิดไปอีกว่าเสื้อผ้าที่ไว้วานให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวนำกลับไปให้เขาที่เมืองหลวงนั้น ไม่รู้ว่าจะมีขนาดพอดีกับตัวหรือไม่?
จากนั้นก็คิดว่าอีกสักพักลูกก็จะเริ่มรู้ความแล้ว เมื่อเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องล้วนมีบิดามารดาคอยรักใคร่ มีเพียงตนเองที่บิดามารดาไม่ได้อยู่ข้างกาย กระทั่งบิดาก็ยังเคยเห็นตนมาก่อน แล้วเขาจะเศร้าโศกเสียใจและถือโทษตนและสามีหรือไม่…?
ยามที่นางคิดถึงบุตรชายก็มักจะหาบางสิ่งทำโดยไม่ทันรู้ตัว ครั้งเว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่บ้านแม่ ฝีมือเย็บปักถักร้อยของนางอยู่ในระดับพื้นๆ หรือจะเรียกว่าย่ำแย่เสียอย่างหนักก็ได้ ทว่ายามนี้ขบวนของตวนมู่ซินเหมี่ยวยังอยู่กลางทางอยู่เลย แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับเย็บเสื้อเล็กๆ ออกมาได้อีกสองตัวแล้ว
นางปักใบไผ่บนกิ่งไผ่ใบสุดท้ายที่สาบเสื้อ มีใบไผ่ทั้งทึบและบางอยู่บนเสื้อผ้าไหมสีม่วงแสนพิถีพิถัน คิดถึงกลอนไผ่ที่คนโบราณเคยว่าไว้ว่า “มีข้อก่อนแต่ครั้งยังไม่พ้นดิน แม้นสูงเสียดเมฆแต่ยังถ่อมตน” เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกถึงเสื้อผ้าที่ฮูหยินซ่งมารดาของนางทำให้เองกับมือที่นางเคยสวมครั้งยังเล็ก…
จะว่าไปแล้วนางก็เป็นบุตรสาวที่หัวรั้นมาแต่เด็ก แต่เล็กมาทำให้เหล่าผู้ใหญ่ต้องปวดหัวไม่น้อย แต่เมื่อตอนนางอายุได้ห้าหกขวบก็ถูกนางเฮ่อแม่นมของนางสอนมา และไปยืนพูดต่อหน้าฮูหยินซ่งด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อยด้วยคำที่นางเฮ่อแอบสอนมาเป็นการส่วนตัวว่า “ท่านแม่ลำบากแล้ว! ท่านแม่ต้องจัดการงานในเรือนทั้งกลางวันกลางคืน เสื้อผ้าของลูกก็ให้พวกบ่าวไปทำเสียเถิด ไยต้องมาทำให้ท่านแม่ลำบากอีกเจ้าคะ?”
ยามนั้น ฮูหยินซ่งประทับใจจนน้ำตาไหลไม่หยุด ลูบใบหน้าเล็กๆ ของนางแล้วบอกไปอย่างขึงขังว่าตนเองไม่เหนื่อย แล้วบอกอีกว่าตนเองว่างเสียยิ่งนัก …เว่ยฉางอิ๋งฟังนานๆ วันเข้าก็เชื่อดังนั้นแล้ว
เมื่อมาคิดถึงในยามนี้ ในสถานการณ์ที่มองเห็นแนวโน้มของรุ่ยอวี่ถังได้ชัดเจนเช่นนั้น แม้มารดาจะมีท่านย่าคอยสนับสนุน และในทางแจ้งก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาระราน ทว่าในทางลับแล้วจะราบรื่นไปเสียหมดได้อย่างไร?
เพียงแต่ว่า …สำหรับลูกๆ แล้ว มารดาล้วนมีเวลาว่างให้เสมอ…
และไม่รู้ว่ายามนี้มารดาและท่านย่าล้วนอยู่ดีมีสุขหรือไม่?
ในจดหมายจากเฟิ่งโจวเมื่อหนก่อนบอกว่าบิดาของนางดีขึ้นมากแล้ว เวลานี้ก็เพียงค่อยๆ บำรุงร่างกายเหมือนกับคนทั่วๆ ไป…และไม่รู้ว่าสถานการณ์ของรุ่ยอวี่ถังในยามนี้เป็นเช่นใดแล้ว? อย่างไรเสียก็สามารถทิ้งเรื่องของเว่ยเซิ่งอี๋ไปได้ครึ่งหนึ่ง ทว่าก็ยังมีฮ่องเต้ และยังมีท่านอาหกเว่ยซินหย่งที่คอยแฝงตัวอยู่อีก…
เสิ่นจั้งเฟิงกลับเข้ามาในห้อง เห็นภรรยาปักเข็มลงไปในผ้าครึ่งหนึ่งแล้วกำลังใจลอยเหม่อมองไปนอกหน้าต่างพอดี กระทั่งไม่สังเกตเห็นว่าเขาเข้ามาด้วย
เขาเดินเข้ามามองหนหนึ่ง อมยิ้มถามว่า “เย็บเสื้อให้กวงเอ๋อร์อีกแล้วหรือ? คราก่อนเจ้าก็วานน้องบุญธรรมเอาไปให้เขาหนึ่งห่อใหญ่แล้ว อีกประการที่เมืองหลวงก็จะต้องทำให้เขา เขาจะใส่ได้มากมายเพียงนี้ได้อย่างไร”
“ไม่ว่าทางเมืองหลวงทำให้เขาอีกมากมายเท่าใด ของที่ข้าทำให้เขาย่อมไม่เหมือนกัน” เว่ยฉางอิ๋งเหม่อสักพักแล้วกรอกตาขาวใส่เขาหนหนึ่ง จึงปักเข็มลอดลงไป แล้วมัดเก็บปมด้าย เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางเอื้อมมือไปยังกรรไกรที่อยู่ข้างๆ จึงรีบหยิบขึ้นมาตัดด้ายให้นาง ยิ้มพลางว่า “เจ้ารักกวงเอ๋อร์ แต่ข้าก็รักภรรยา ดีชั่วเช่นใดกวงเอ๋อร์ย่อมไม่ขาดเหลือเสื้อผ้าใหม่ เจ้าดูสิหลายวันมานี้เย็บผ้าเสียจนนิ้วมือแตกหมดแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งไม่สนใจเขา ลูบปัดสาบเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน สะบัดเสื้อ แล้วเอามาดูกลับแสงสว่างอยู่ครึ่งค่อนชั่วยาม มองเห็นว่าแม้รอยฝีเข็มจะมีที่ไม่เรียบร้อยอยู่สองสามแห่ง แต่โดยรวมแล้วก็พอจะใช้ได้ สีที่นางหวงช่วยจัดมาให้ก็งดงามนัก จึงแอบโล่งใจ ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าดูเสื้อตัวนี้ กวงเอ๋อร์ของเราจะใส่ได้ดีหรือไม่?”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าชอบต้นไผ่เพียงนี้เชียวรึ? ข้าเห็นว่าลายปักบนเสื้อผ้าที่เจ้าทำให้กวงเอ๋อร์ล้วนเป็นต้นไผ่? มิเช่นนั้นพวกเราย้ายต้นไผ่มาปลูกในลานบ้านสักสองต้นดีหรือไม่?”
เพิ่งจะพูดจบก็ถูก เว่ยฉางอิ๋งกรอกตาขาวใส่หนหนึ่ง กล่าวว่า “ข้ากลับอยากปักลายที่สวยกว่านี้ แต่นี่ก็ต้องให้ข้าฝึกการปักให้เก่งกว่านี้ก่อน!”
….ครั้งนางอยู่ที่บ้านแม่ก็ห่วงแต่จะฝึกวรยุทธ์ไว้ตีสามี แม้จะเคยเรียนการเย็บปักถักร้อยมาบ้างแต่ก็น้อยนัก ที่ยามนี้ปักแต่ใบไผ่เต็มไปหมดก็เป็นเพราะหลังจากที่นางมาถึงซีเหลียง ยามอยู่ว่างๆ ไม่มีเรื่องทำแล้วคิดถึงเสิ่นซูกวง จึงได้ตั้งใจฝึกฝนออกมา
เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำก็ยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก กล่าวว่า “ข้าก็ว่าดังนั้น! ครั้งแรกที่เห็นเจ้าเย็บเสื้อให้กวงเอ๋อร์เอง ข้ายังตกใจเสียยกใหญ่ …ข้าคิดว่าเหตุใดเจ้าจึงตัดเย็บเสื้อเป็นด้วย? ทั้งยังปักลายเป็น …หากเจ้าออกไปล่าสัตว์ป่าสักตัวสองตัวมาทำเนื้อแห้งส่งไปให้กวงเอ๋อร์ ข้ากลับไม่รู้สึกว่าน่าประหลาดใจอันใด”
“เจ้าว่าข้าทำสิ่งใดก็ไม่เป็น หือ?” เว่ยฉางอิ๋งทุบที่อกเขาไปหนหนึ่ง พลางแค่นเสียงว่า “ก่อนนี้ข้าก็เพียงแค่ไม่มีเวลาฝึกฝน ไม่ค่อยคุ้นเคยก็เท่านั้น”
“แล้วเหตุใดยามนี้จึงไม่ทำให้สามีสักตัวเล่า?” เสิ่นจั้งเฟิงถือโอกาสถาม
เว่ยฉางอิ๋งผลักเขา กล่าวว่า “ไปๆๆ เสื้อผ้าเอาไว้ให้กวงเอ๋อร์อีกสองปีข้างหน้า ข้าก็ยังทำไม่เสร็จเลย แล้วจะถึงตาเจ้าได้ที่ใด?”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เจ้าก็ทำเสื้อผ้าไว้ให้เขาจนอีกสองปีข้างหน้าแล้ว ยังไม่มีส่วนของสามีบ้างหรือ?”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอาเสื้อสีม่วงตัวน้อยพับอย่างเรียบร้อยพลางเอ็ดไป “จะว่าไปจนยามนี้เจ้าก็ยังไม่เคยเห็นกวงเอ๋อร์เลยนี่! ยังไม่อายจะมาแย่งของเขาอีกหรือ!”
เสิ่นจั้งเฟิงถอนใจว่า “มิใช่ข้าไม่รักเขา เพียงแต่เจ้าตัวเล็กนี่ก็ไม่กตัญญูเลย …ยามนี้เพิ่งจะกี่ขวบ กลับกล้ามาแย่งเสื้อผ้าที่เจ้าทำกับคนเป็นพ่อเช่นข้า แล้ววันหน้าจะไม่ยิ่งกว่านี้รึ?”
“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งพับเสื้อสีม่วงตัวน้อยเรียบร้อยแล้ว จึงเรียกจูเสวียนเข้ามา สั่งให้นางนำไปเก็บไว้ในหีบที่เตรียมเอาไว้ เสิ่นซูกวงโดยเฉพาะ แล้วหันหลังกลับมากวัดแกว่งหมัดใส่เสิ่นจั้งเฟิง ขู่เขาไปกว่า “เจ้ากล้าทำไม่ดีต่อกวงเอ๋อร์ ระวังข้าจะชกเจ้า!”
“องค์ราชินีแสนดี คงมิได้จะบ่มเพาะราชาน้อยออกมาหรอกนะ?” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะฮ่าๆ พลางเอื้อมมือไปโอบเอวนาง เอาหนาผากแนบที่ข้างผมนาง จุมพิตเบาๆ อยู่เนิ่นนาน กล่าวว่า “วันพรุ่งข้าต้องไปด่านเตี๋ยชุ่ยอีกแล้ว เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่? ข้าเห็นว่านับแต่น้องบุญธรรมไป เจ้าก็ดูเซื่องซึมนัก?”
เว่ยฉางอิ๋งเงยหน้ามองเขา กล่าวว่า “มิใช่เจ้าบอกว่าเอาข้าไปด้วย ก็กลัวว่าส้างกวานสืออีจะคิดว่าเจ้าไม่จริงใจพอ?”
เสิ่นจั้งเฟิงอธิบายว่า “นั่นเป็นหนแรกที่ไป ยามนี้ดีชั่วก็เป็นช่วงเวลาให้น้ำค่อยๆ หยดลงหินแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็อยากไปดูสักหน่อย เพชรน้ำหนึ่งที่เจ้าว่าผู้นั้น ที่แท้แล้วเป็นเพชรน้ำหนึ่งเช่นใด?” เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตาลงใคร่ครวญพักใหญ่ ยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งพลางยื่นนิ้วไปไล้ข้างแก้มของเสิ่นจั้งเฟิง บอกว่า “และไปดูด้วยว่า ยามเจ้าอยู่ที่ด่านเตี๋ยชุ่ยนั้น จะคิดไม่ซื่อหรือไม่?”
“หากข้ายังคงซื่อตรงเจ้าจะให้รางวัลข้าอย่างไร?” เสิ่นจั้งเฟิงถามยิ้มๆ
เว่ยฉางอิ๋งพลิกมือไปจับใบหูเขา แล้วบิดอย่างไม่หนักไม่เบา ร้องเอ็ดแกมแง่งอนว่า “ก็มิใช่ว่าซื่อตรงก็สมควรอยู่แล้วหรือ! เจ้ายังกล้ามาขอรางวัล! มีแต่จะต้องระวังหนังเจ้าเอาไว้น่ะสิ!”
“นับวันอิ๋งเอ๋อร์ก็ยิ่งจะดุร้ายขึ้นแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะลั่นพลางว่า “นี่คือการบีบให้สามีออกแรงเพื่อจะได้รับผลประโยชน์รึ?”
ว่าพลางมือไม้ก็ไม่อยู่สุขขึ้นมา
เว่ยฉางอิ๋งทั้งเอ็ดทั้งทุบ …ทั้งสองคนกำลังดึงๆ ผลักๆ กัน จูเสียนที่อยู่ข้างนอกก็กระแอมคราวหนึ่ง …เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าเล่น เกรงว่าจะมีคนมา”
แล้วผลักเสิ่นจั้งเฟิงออก จัดแจงเสื้อผ้า จึงร้องถามไปว่า “มีเรื่องใด?”
จูเสียนรายงานผ่านประตูมาว่า “ฮูหยินน้อย คุณชายเจ้าคะ พ่อบ้านฉีจาก คฤหาสน์จี้หยวน มาขอพบพร้อมกับแม่นางน้อยเฉาเจ้าค่ะ” คฤหาสน์จี้หยวนก็คือ คฤหาสน์ที่ตวนมู่ซินเหมี่ยว ซื้อเอาไว้ให้จี้กู่พักอาศัย
“หัวหน้าป้อมน้อยของป้อมตระกูลเฉาผู้นั้น?” เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจนัก “เด็กหญิงผู้นั้น …นางมาทำสิ่งใด?”
จูเสียนบอกว่า “คล้ายว่ามาส่งของเจ้าค่ะ วันนี้มีของส่งมาจากป้อมตระกูลเฉาเจ้าค่ะ”
ตอนตวนมู่ซินเหมี่ยวเดินทางไปจากซีเหลียงก่อนหน้านี้ ก็ฝากฝังจี้กู่ตาหลานให้เว่ยฉางอิ๋งช่วยดูแลแทน นับแต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวจากไป เว่ยฉางอิ๋งก็จะเรียกฉีซานกลับมาสอบถามทุกสองสามวัน ด้วยคนผู้นี้เป็นนางหวงจัดหามา เว่ยฉางอิ๋งได้พบมาหลายครั้งแล้ว จึงนับว่าค่อนข้างเข้าใจพ่อบ้านใหญ่ผู้นี้
นับว่าฉีซานผู้นี้เป็นคนที่ค่อนข้างรอบคอบ มิใช่คนที่เฉายาว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ยิ่งไปกว่านั้นตามที่เว่ยฉางอิ๋งสังเกตเห็น ฉีซานก็ไม่ชอบใจจี้กู่ตาหลาน โดยเฉพาะนิสัยป่าเถื่อนของเฉายาเอามากๆ เพียงแต่เขาเก็บเรื่องนี้เอาไว้อย่างดี หาใช่เพราะตนไม่ชอบใจ แล้วจะเสียมารยาทต่อจี้กู่ตาหลาน
ยามนี้ได้ยินว่าเขามากับเฉายา เว่ยฉางอิ๋งจึงคิดว่าหรือจะยังมีเรื่องอื่น? ป้อมตระกูลเฉา ก็หาใช่สถานที่ที่เพาะปลูกสิ่งใดได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ผลิตผลที่ส่งมาจะมีสิ่งใดแปลกประหลาด? หากเฉายาจะมาหาด้วยตนเองด้วยเรื่องเล็กน้อยนี้ ฉีซานก็จะบอกให้นางส่งคนมาส่งของแทน
อีกประการแม่นางน้อยเฉายาผู้นี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเอง …เว่ยฉางอิ๋งจำได้ว่าก่อนนี้นางนึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนเงียบๆ ปรากฏว่าพอได้ยินเรื่องที่ฉีซานมารายงานเป็นการส่วนตัวจึงรู้ว่านางดูผิดไปเสียแล้ว …ได้ยินว่าเฉายาผู้นี้เข้าไปอยู่ใน คฤหาสน์จี้หยวนได้ไม่ถึงสามวัน ก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ทุกต้นในคฤหาสน์จี้หยวนที่นางปีนได้จนหมด รังนกที่อยู่ข้างบนล้วนถูกนางจัดการจนเรียบ…
หากมิใช่ว่าฉีซานไปขวางไว้ทัน นางก็ยังคิดจะช้อนเอาปลาจิ่นหลีในสระบัวขึ้นมาต้มกินจนหมดแล้ว…
ถ้าแม่นางน้อยผู้นี้ไม่ได้ตื่นที่และกลัวพบเจอคนแปลกหน้า ก็คงจะเป็นเพราะนางไปเรียนคำพูดหยาบคายมาจากในป้อมตระกูลเฉา เหล่าผู้ใหญ่กลัวว่านางจะไปล่วงเกินผู้สูงศักดิ์เข้า จึงได้กำชับนางว่าห้ามพูดมากต่อหน้าคนตระกูลเสิ่น
เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพัก ก็ตัดสินใจว่าจะออกไปพบด้วยตนเองสักหน ดูซิว่าเฉายามีเรื่องใดกันแน่
เสิ่นจั้งเฟิงเคยได้ยินนางเอ่ยเรื่องป้อมตระกูลเฉามาก่อน และตอนนี้ก็ว่างอยู่พอดี ได้ยินคำจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่าในเมื่อเป็นแม่นางน้อยที่อายุสี่ห้าขวบคนหนึ่ง เช่นนั้นข้าก็จะออกไปดูกับเจ้าด้วย เจ้าคงไม่หึงกระมัง?”
“พูดเสียอย่างกับว่าข้าจิตใจคับแคบเช่นนั้น” เว่ยฉางอิ๋งหยิกแขนเขาไปหนหนึ่งพลางเน้นเสียงหนัก “เจ้าไปยั่วสตรีมากมาย ข้าเคยไปขวางเจ้ายามใด”
เสิ่นจั้งเฟิงลูบคาง ยิ้ม “นี่ย่อมแน่อยู่แล้ว อิ๋งเอ๋อร์ใจกว้างเป็นที่สุด จึงทำให้ภรรยาทั่วหล้าล้วนริษยากันไปหมด อิ๋งเอ๋อร์เองก็จะต้องเป็นกุลสตรีดีเลิศที่สุดใจกว้างที่สุดผู้นั่นเป็นแน่! ที่เคยเอาปิ่นฝนปลายจนแหลมมาจ่อที่แผ่นหลังตรงหัวใจสามี นั่นต้องมิใช่เพราะอิ๋งเอ๋อร์หึงหวงแน่นอน ล้วนเป็นเพราะเหตุบังเอิญ! ปกติแล้วเอะอะอิ๋งเอ๋อร์ก็บอกแต่จะชกสามี นั่นก็มิใช่เพราะหึงหวง แต่ล้วนเพราะแง่งอน…ใช่หรือไม่?”
มุมปากของเว่ยฉางอิ๋งโค้งขึ้นมา จากนั้นก็พยายามทำหน้าบึ้ง กล่าวว่า “เจ้ากล่าวถูกต้องนัก! นับว่าเจ้ายังมีน้ำใจอยู่บ้าง!”
“สามีกลับรู้สึกว่านับแต่สามีแต่งงานมา น้ำใจนี้ล้วนถูกโยนทิ้งจนหมดสิ้นแล้ว…” เสิ่นจั้งเฟิงพึมพำ
เมื่อเห็นว่าภรรยาจ้องเขม็งมาหาอย่างดุร้ายในบัดดล เสิ่นจั้งเฟิงจึงรีบยิ้มบานทั้งหน้า กล่าวว่า “มิใช่ตกลงกันแล้วว่าจะไปดูหัวหน้าป้อมน้อยอายุสี่ห้าปีผู้นั้น? เมื่อนับอายุดูแล้วก็ไล่เลี่ยกับพวกหลานสาวของพวกเรา หากเป็นเด็กรู้มารยาท มิสู้ไปรับมาเล่นที่นี่บ่อยๆ เรือนของเราก็จะได้คึกครื้นขึ้นมาสักหน่อย…”
…ทั้งสองคนเปลี่ยนมาใส่เสื้อตัวนอกสำหรับรับแขก เมื่อมาถึงในโถง ของว่างในจานข้างหน้าเฉายาก็เกือบจะเห็นก้นจานแล้ว …มองเห็นภาพที่นางกินจนมีเศษขนมติดเต็มปาก ทั้งมีเศษขนมตกเต็มพื้น และยังม้วนแขนเสื้อขึ้นไปสูงๆ ด้วย เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วพลางมองสาวใช้ที่อยู่ซ้ายขวาด้วยสายตาไม่พอใจ เฉายาเกิดในป่าในดง ทานอาหารไม่เรียบร้อยก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่…คนตั้งมากมายที่เอาแต่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างกับท่อนไม้พวกนี้ กลับไม่มีสักคนที่เข้ามาช่วยดูแลยามนางทานของว่าง เพื่อให้ในโถงน่าดูสักหน่อยรึ?
ต่อให้ดูแคลนเฉายา แต่เป็นบ่าวในบ้านเรือนใหญ่โต ดีชั่วเช่นใดก็ควรรู้จักควรไม่ควรบ้าง …ในเมื่อเฉายาถูกนำเข้ามาภายในโถง ก็นับว่าเป็นแขกของหมิงเพ่ยถัง เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ไล่นางออกไป ไม่ว่านางจะเป็นชาวบ้านหรือคนมีตระกูล พวกบ่าวล้วนสมควรดูแลรับใช้ตามธรรมเนียม นี่ต่างหากคือท่าทีที่บ่าวในบ้านเรือนใหญ่โตควรจะมี …เว่ยฉางอิ๋งแอบจดจำพวกบ่าวที่อยู่ภายในโถงเอาไว้ ตัดสินใจว่าภายหลังจะต้องจัดการให้หนักๆ สักหน
เสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่ได้ถือสาอันใด หัวเราะพลางเอ่ยเบาๆ กับภรรยาว่า “แม่นางน้อยผู้นี้กล้าไม่เบา”
ทั้งที่เฉายาเห็นว่าพวกเขาเข้ามาแล้ว แต่ก็ยังกินของว่างในปากจนหมดแล้วดื่มน้ำไปอีกคำหนึ่ง จงได้กระโดดลงมาจากเก้าอี้ แล้วคารวะทั้งสองคนที่เข้ามาในโถง พลางเอ่ยเสียงฉะฉานว่า “เฉายาคารวะคุณชายสาม ฮูหยินน้อยสามเจ้าค่ะ!”
ตลอดเวลานั้นสีหน้าอาการของนางไม่ได้มีความประหม่าหรือตื่นกลัวใดๆ เลยแม้แต่น้อย …เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ่งแน่ใจว่าเหตุที่นางไม่ยอมเปิดปากพูดตอนพบนางคราวก่อนนี้ จะต้องเป็นเพราะถูกพวกผู้ใหญ่สั่งมา ดูไปแล้วแม่นางน้อยผู้นี้ก็ไม่เหมือนคนที่จะตื่นที่แต่อย่างใด!
“ไม่ต้องมาพิธีหรอก” เว่ยฉางอิ๋งปรายตาไปมองไปยังเฟยอวี่อยู่ไม่ไกลออกไป จากนั้นก็เอ่ยตำหนิเสียงเขียวว่า “ยังไม่รีบไปช่วยแม่นางน้อยเฉาจัดแจงให้เรียบร้อยสักหน่อยอีก? ให้พวกเจ้ามายืนประดับอยู่เฉยๆ รึ!”
เฟยอวี๋กำลังยืนสงบเสงี่ยมอยู่ ได้ยินคำก็ตื่นตกใจ พลันรีบเดินเข้าไปอย่างลนลาน เอาผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดให้เฉายา
….หากเป็นเด็กสาวที่เกิดในบ้านตระกูลใหญ่โต อย่างเช่นเสิ่นซูจิงหรือเสิ่นซูโหรวมาอยู่ที่นี่ ก็ต้องเอ่ยปากช่วยพูดให้สาวใช้สักคำสองคำแน่นอน เพื่อให้คนเป็นนายเช่นเว่ยฉางอิ๋งพอจะมีทางลง
แต่เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่มีทางไปหวังว่าเฉายาจะทำเช่นนี้ รวมทั้งเรื่องคำพูดบาดหูที่เป็นความเคยชินของสายเลือดตระกูลจี้ด้วย หลังจากเว่ยฉางอิ๋งตำหนิเฟยอวี๋แล้ว จึงรีบพูดว่า “เหตุใดวันนี้แม่นางน้อยเฉายาจึงมาด้วยตนเอง? สองวันมานี้ท่านตาของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
______________