….หลังจากเฉายากลับไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งเฟิงก็พากันมองดูโสมภูเขาที่มีความหนาเท่าขาซึ่งนางทิ้งเอาไว้ให้ เพื่อเก็บรักษาให้อยู่ได้นาน ก็ยังคงมีเศษดินโคลนติดอยู่ที่รากมากมาย แต่ก็มองออกว่าจวนจะกลายเป็นรูปตัวคนแล้ว
“เขาเหมิงซานนี่ยังมีของดีเพียงนี้เชียวรึ?” เว่ยฉางอิ๋งดมกลิ่นหอมของโสมที่โชยเข้าจมูกมา พลางพึมพำไป “โสมภูเขาเช่นนี้หนึ่งราก ข้าจำได้ว่าครั้งอยู่ที่เมืองหลวงอย่างน้อยก็ต้องเจ็ดแปดร้อยตำลึงเงิน?”
“ทั้งที่ว่ากันว่าป้อมตระกูลเฉาเป็นที่ที่ผู้อพยพมารวมกัน และก็เป็นเพียงแค่มีปิดล้อมเอาไว้ และมีทางออกทางเดียวพอได้ใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างมีความคิดในใจ “ยามนี้ดูไปแล้ว นี่กลับเป็นอคติของคนภายนอกเสียแล้ว เขาเหมิงซานมีผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ แม้สถานที่ป้อมตระกูลเฉาอยู่จะเป็นแนวเทือกเขาต่ำๆ แต่ทางด้านซ้ายกลับมีที่ดินล้ำค่าที่เพาะปลูกของดีเช่นนี้ได้…”
สองสามีภรรยาพลันคิดขึ้นมาพร้อมกันว่าป้อมตระกูลเฉาและกองโจรเขาเหมิงซานในอำเภอข้างเคียงร่วมมือกัน …ก่อนหน้านี้เป็นเพราะรู้สึกว่ากองโจรเขาเหมิงซานก็มิใช่ที่ทำการกุศลอันใด ในเมื่อป้อมตระกูลเฉาไปข้องแวะกับพวกเขา เมื่อเงินทองไม่พอ จึงไม่อาจซื้อเกลือได้มากมายเท่าใด เมื่อมาเห็นโสมรากนี้ในเวลานี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่าป้อมตระกูลเฉาจะต้องสามารถขุดของทำนองนี้ได้บ่อยครั้ง เช่นนั้นแล้ว…
หากนำไปส่งขายให้แก่กองโจรเขาเหมิงซาน ก็ต้องไม่ได้ราคาเท่ากับนำไปขายที่ตลาดในเมืองหลวง แต่ด้วยคุณภาพของโสมชนิดนี้ อย่างน้อยๆ สองสามร้อยตำลึงเงินก็คงพอจะขายได้ ต่อให้คนในกองโจรเขาเหมิงซานจะใจดำเพียงใด ทว่าในเมื่อไล่ต้าหย่งผู้นั้นสามารถรุ่งโรจน์อยู่ในกว้านโจวมาได้เนิ่นนาน…เขาก็จะต้องเข้าใจหลักการว่าอย่าจับปลาหมดไม่เผื่อวันหน้าเป็นแน่
เมื่อเทียบราคาของโสมกับราคาของเกลือที่ลักลอบซื้อขายกันตามท้องตลาดทั่วไปแล้ว….ทั้งสองคนพลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาในใจ
กองโจรเขาเหมิงซานย่อมไม่เพียงแค่ลักลอบค้าเกลือเถื่อนแต่ยังเป็นกองโจรดักปล้นด้วย เช่นนั้นแล้วของจำพวกอาวุธและสิ่งของที่ต้องการในการก่อการจลาจลย่อมต้อง….
นิ่งงันไปพักหนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงยกโสมขึ้นมา กล่าวว่า “เอาให้ข้าก่อน สักพักจะเอาไปให้หยิวเจี่ยดู”
เพียงแต่เมื่อเสิ่นหยิวเจี่ยถูกเรียกตัวมาดูโสมรากนี้ และฟังความเป็นมาของมันแล้ว ก็กลับเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ท่านอาสามคงไม่คิดว่าโสมนี่จะเป็นคนของป้อมตระกูลเฉาขุดออกมาจริงๆ หรอกนะขอรับ?”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างสงสัย “แล้วมิใช่รึ?”
“หากโสมนี้ล้างจนสะอาดแล้วตากจนแห้ง บางทีหลานอาจมองไม่ออก” เสิ่นหยิวเจี่ยส่ายหน้าติดต่อกัน พลางชี้ไปที่รางเล็กๆ กล่าวว่า “แต่ยามนี้มันยังคงสดใหม่ จึงไม่อาจปิดบังสายตาของหลานได้ …ดินที่ติดมาด้วยตอนขุดออกมานี้เห็นชัดว่าเป็นสีดินที่มีเฉพาะในแถบอำเภอมี่ของกว้านโจว! นี่ไม่มีทางเป็นดินที่อยู่ในแถบป้อมตระกูลเฉาแน่นอนขอรีบ!”
เขายังบอกอีกว่า “ครั้งสร้างป้อมตระกูลเฉาขึ้นมาก็มิใช่ว่าพวกเขาไม่เคยสนใจภูเขาลูกที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งมียาสมุนไพรขึ้นมากมาย ฉะนั้นในหลายปีมานี้ของที่พวกเขาสามารถขุดได้ก็ขุดออกมาจุดเกลี้ยงแล้ว! ย่อมไม่มีทางเก็บโสมคุณภาพดีเพียงนี้เอาไว้แน่!”
เสิ่นจั้งเฟิงประหลาดใจนักหนา “ตามความหมายของเจ้าก็คือ โสมนี้เป็นกองโจรเขาเหมิงซานส่งมาให้ป้อมตระกูลเฉารึ?” เพราะคงไม่บังเอิญว่าคนของป้อมตระกูลเฉาไปที่อำเภอมี่ในกว้านโจว แอบขโมยขุดโสมนี้มาได้แล้วยังนำกลับมาที่ป้อมตระกูลเฉาได้อย่างปลอดภัย จากนั้นค่อยให้มู่ชุนเหมียนส่งมาที่ซีเหลียงหรอกกระมัง?
โสมรากนี้จะต้องเป็นคนที่กองโจรเขาเหมิงซานซึ่งอยู่ใกล้กว่าไปพบมาก่อน!
“หรือบางทีอาจเป็นป้อมตระกูลเฉาไปขอซื้อมาจากกองโจรเขาเหมิงซาน เสิ่นหยิวเจี่ยนิ่งคิดแล้วว่า “ทว่าสิ่งที่ท่านอาสามคาดเดาน่าจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะความจริงแล้ว หลานคิดไม่ออกว่าสถานการณ์ของป้อมตระกูลเฉาในยามนี้จะไปซื้อโสมเช่นนี้มาได้อย่างไร?”
เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้าบอกว่า “เจ้าลืมแล้วหรือว่าพักก่อนท่านอาสะใภ้สามของเจ้าเพิ่งจะนำเงินสามพันตำลึงทองไปให้พวกเขา?”
“แต่การนำโสมนี้มามอบให้แก่ท่านอาสามและท่านอาสะใภ้สามเช่นนี้มีความหมายใด?” เสิ่นหยิวเจี่ยย้อนถาม “เมื่อมีหน้าตาของคุณหนูตวนมู่อยู่ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมอบของกำนัลให้ท่านอาสามและท่านอาสะใภ้สาม ท่านอาสามและท่านอาสะใภ้สามก็มิได้ติดค้างสิ่งใดพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นแม้โสมเช่นนี้จะดี แต่สำหรับท่านอาสามและท่านอาสะใภ้สามแล้วก็เพียงแค่จะเอ่ยชมว่าดีสักคำเท่านั้น ยังห่างไกลกับความรู้สึกซาบซึ้งขอบใจนัก ฉะนั้นหลานคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ร่ำลือว่าไล่ต้าหย่งหัวหน้ากองโจรเขาเหมิงซานและหัวหน้าป้อมแซ่มู่แห่งป้อมตระกูลเฉาคนปัจจุบันมีความสัมพันธ์ส่วนตัวจะเป็นความจริง ไม่แน่ว่าไล่ต้าหย่งรู้ว่าจี้กู่บิดาของหัวหน้าป้อมมู่พักรักษาตัวอยู่ในตัวเมืองซีเหลียง จึงได้ส่งโสมรากนี้มาแสดงความเคารพกตัญญูและเอาใจว่าที่พ่อตาก็ได้นะขอรับ!”
แล้วพูดอีกว่า “แต่เพราะว่าจี้กู่ขาหัก มิใช่ลมปราณดั้งเดิมเสียหาย จึงไม่จำเป็นต้องใช้โสมดีเพียงนี้ จึงส่งหลานสาวนำมามอบให้หมิงเพ่ยถังเสีย และนับว่าเป็นการผูกมิตรไมตรีกันด้วยขอรับ”
เสิ่นจั้งเฟิงไตร่ตรองพักหนึ่ง ก็กลับหัวเราะออกมา กล่าวว่า “หยิวเจี่ย เจ้าลืมแล้วหรือว่าจี้กู่เป็นผู้ใด?”
ไม่รอให้เสิ่นหยิวเจี่ยตอบ เสิ่นจั้งเฟิงก็ตอบเองว่า “เขาเป็นอาของท่านหมอเทวดาจี้ ปีนั้นที่เขาสามารถหนีไปที่ป้อมตระกูลเฉา ทั้งปิดปังชื่อแซ่มาตลอดหลายปี และแอบควบคุมป้อมตระกูลเฉาเอาไว้ได้ ล้วนเพราะเขาอาศัยฝีมือแพทย์ล้ำเลิศที่สืบทอดกันมาในตระกูลจี้ทั้งนั้น! เขาอยู่ในป้อมตระกูลเฉามาหลายสิบปี ทั้งบุตรสาว หลานสาวก็ล้วนมีหมดแล้ว ข้าไม่แยกแยะไม่ออกว่าโสมภูเขานี้มาจากป้อมตระกูลเฉาหรือว่ากว้านโจว แต่ในเมื่อเจ้ารู้ จี้กู่จะไม่รู้ได้หรือ?”
พลันมีแสงสว่างวาบเข้ามาในหัวสมองของเสิ่นหยิวเจี่ย เข้าใจขึ้นมาทันใดพลางว่า “ท่านอาสามหมายถึง….?”
“เจ้าคิดอยากให้ไล่ต้าหย่งมาสวามิภักดิ์ตลอดมา เพียงแต่ก่อนนี้ถูกเรื่องของพวกชิวตี๋รุมเร้าจนปลีกตัวมาสนใจเขาไม่ได้ ดูไปแล้วยามนี้เขาเองก็มีใจคิดจะมาฝากตัวแล้ว …เห็นหรือไม่ เขาอาศัยโสมภูเขารากนี้มาโยนหินถามทางแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มจางๆ กล่าวว่า “วันพรุ่งเจ้าก็สามารถส่งคนไปที่คฤหาสน์จี้หยวน และสอบถามจี้กู่ถึงคนที่ไปขุดโสมนี้มา คาดว่าเขาก็จะเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว”
เสิ่นหยิวเจี่ยกลับถอนหายใจบอกว่า “หลานคิดว่าอย่างไรก็เป็นท่านอาส่งคนไปเป็นดีขอรับ ไล่ต้าหย่งไหว้วานให้หัวหน้าป้อมน้อยของป้อมตระกูลเฉานำมาส่งให้ท่านอาและท่านอาสะใภ้ที่หมิงเพ่ยถัง หาได้มอบให้หลาน เห็นชัดว่าจิตใจที่ต้องการสวามิภักดิ์นี้พุ่งมาทางท่านอา หากหลานไป เกรงว่าไล่ต้าหย่งกลับจะรู้สึกเคลือบแคลงเสียมากกว่าขอรับ!”
เสิ่นจั้งเฟิงใช้ข้อนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง จึงบอกว่า “คราก่อนไม่ได้ถามให้ละเอียด ว่ากองโจรเขาเหมิงซานนี่?”
“คนส่วนใหญ่ในกองโจรล้วนอยู่ในอาณัติของเขา แต่ดีชั่วซีเหลียงของเราก็ไม่ขาดแคลนทหารขอรับ” เสิ่นหยิวเจี่ยอธิบาย “ที่หลานหมายตาเขา ก็ด้วยคนผู้นี้ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ไม่กี่ปีก็สามารถเปลี่ยนจากคนที่เป็นนักโทษและสร้างกองโจรใหญ่อันดับหนึ่งของเขาเหมิงซานได้ ทั้งยังหาทางผูกมิตรกับผู้ตรวจการของกว้านโจว ให้ทางการร่วมมือกับกองโจร และค้าเกลือเถื่อนได้อย่างเจริญรุ่งเรือง! หลานคิดว่า แม้คนผู้นี้จะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ทว่ามีความสามารถไม่ธรรมดา แม้ยามนี้จะเป็นโจร แต่นั่นก็ด้วยแต่แรกถูกบีบบังคับจนอับจนหนทาง ใช่ว่าจะปรับปรุงตัวไม่ได้ขอรับ”
“นับว่าเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง” เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ ก็ควรค่าให้ข้าออกหน้าด้วยตนเองแล้ว”
….ในเวลาเดียวกัน ณ เมืองหลวง ฝนในคิมหันตฤดูโปรยปราย
ริมทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิเต็มไปด้วยต้นหลิวน่าดูน่าชมนัก ลมเย็นโชยมา เส้นสายสีเขียวนับพันนับหมื่นโบกไหวไปมา ประหนึ่งยามนางระบำขยับหมุนร่างอรชร แล้วสะบัดชายกระโปรงน่าลุ่มหลงของนางให้ยกสูงขึ้น มีเสียงร้องกรูกรูของนกน้ำดังออกมาเป็นระยะๆ จากในกอหน่อไม้น้ำที่อยู่ในน้ำ
เว่ยฉางเจวียนสวมเสื้อผ้าสีชมพูแดงอ่อนทั้งตัว มวยผมทรงเทพธิดาโบยบิน ปิ่นมุกด้ามเดียวปักที่อยู่บนม้วยผม แม้สีจะหมองแล้วทว่าเพราะอยู่ท่ามกลางผมสีดำขลับ ยามอยู่ใต้คันร่มก็ยังคงส่งประกายวิบวับ
ในฤดูกาลที่ทั่วทิศล้วนเต็มไปด้วยสีเขียวทั้งเข้มอ่อนเช่นนี้ เสื้อผ้าสีชมพู่แดงอ่อนดูสะดุดตายิ่งนัก …หมิ่นอีนั่วที่บังเอิญเดินเลี้ยวมาแต่ไกลบนตลิ่งริมทะเลสาบ โดยมีสาวใช้กางร่มและคอยดูแลรับใช้อย่างระมัดระวัง มองเห็นนางถือร่มนั่งอยู่บนตลิ่งเพียงลำพัง เสื้อผ้าสีชมพูแดงอ่อนนั้นแทบจะไหลลงไปถึงผิวหน้าของทะเลสาบแล้ว คล้ายกำลังก้มหน้ามองดูน้ำอยู่ภายใต้ร่ม หมิ่นอีนั่วจึงสะดุ้งขึ้นมาน้อยๆ และหยุดเดินโดยไม่รู้ตัว
สาวใช้ที่คอยดูแลหมิ่นอีนั่วสังเกตเห็นจึงมองตามสายตานางไป และมองออกว่าเป็นเว่ยฉางเจวียนเช่นกัน พลันนึกถึงคำที่นายท่านและฮูหยินกำชับหนักหนาเอาไว้ครั้งก่อนออกเรือน จึงรู้สึกสะท้านขึ้นมาในใจเช่นกัน จึงเอ่ยเสียงเบาๆ ไปว่า “ฮูหยินเจ้าคะ พวกเราเดินอ้อมไปดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“…ฟ้าจวนจะมืดแล้ว หากยังเดินอ้อมไป เกรงว่าท่านพี่จะเป็นห่วงข้า” หมิ่นอีนั่วออกเรือนเมื่อปีก่อนและอยู่กินกับซ่งไจ้เจียงซึ่งเป็นคนอ่อนโยนใจดีได้เป็นอย่างดี ในเมื่อสามีภรรยารักใคร่กัน ย่อมให้ความสำคัญความสัมพันธ์สามีภรรยามากกว่าความสัมพันธ์ของสหายสนิท ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากเผชิญเรื่องราวมากมายหลังออกเรือนและนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมนานาของเว่ยฉางเจวียน ก็รู้สึกว่านางโง่เง่าเกินไป ไม่ควรค่ามาเป็นสหายสนิท
ยามนี้แม้ว่าจะไม่ถึงกับรังเกียจจะพบเจอเว่ยฉางเจวียน แต่ก็ยังรู้สึกว่าคำแนะนำของบิดามารดาว่าให้อยู่ไกลจากนางสักหน่อยเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่วันนี้นางออกมาเดินเล่น และนัดเวลากลับกับซ่งไจ้เจียงไว้เรียบร้อยแล้ว ยามนี้ก็มองเห็นว่าเรือนพักอยู่เพียงตรงหน้า หากเพียงแค่ต้องหลบเลี่ยง เว่ยฉางเจวียนแล้วต้องจงใจอ้อมไป แต่กลับทำผิดเวลาที่นัดหมายกันไว้ ถึงยามนั้นก็เกรงว่าซ่งไจ้เจียงจะเป็นกังวล
ฉะนั้นเมื่อนางไตร่ตรองดูสักพักก็ยังเดินต่อไป “อีกประการ คิดว่าน้องเว่ยเจ็ดก็คงมองเห็นข้าแล้ว มาเดินอ้อมไปยามนี้ กลับเป็นการล่วงเกินนางเสียอีก …ข้าจะไปทักทายนางแล้วก็จะไป อีกประเดี๋ยวหากนางรั้งข้าไว้พูดจา พวกเจ้าก็จำคำข้าเอาไว้!”
เหล่าสาวใช้รีบรับคำ “ข้าน้อยเข้าใจเจ้าค่ะ”
ครั้นแล้วพวกนางจึงเดินไปตามตลิ่งต่อไป สักพักใหญ่ก็ถึงตรงหน้าเว่ยฉางเจวียนแต่กลับเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับ และคล้ายกับว่านางไม่เคยขยับตัวเลยแม้สักน้อยด้วย
เพราะนางนั่งอยู่ที่ด้านล่างของตลิ่ง เมื่อเข้ามาใกล้ จึงมองเห็นเพียงยอดร่มที่พาดอยู่บนไหล่นางเท่านั้น มองไม่เห็นสีหน้าอาการของนาง หมิ่นอีนั่วสวมร้องเท้าไม้ ไม่สะดวกจะลงไป จึงหยุดยืนอยู่ข้างบนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “น้องเว่ยเจ็ด เจ้าก็มาที่นี่ด้วยหรือ?”
นางถามไปดังนี้ แต่กลับไม่ได้ยินเว่ยฉางเจวียนตอบกลับมา พลันค่อนข้างตื่นเต้นขึ้นมาในใจ …หมิ่นอีนั่วเคยได้ยินคนพูดมาก่อนว่าเมื่อเว่ยฉางเจวียน ได้ยินข่าวเรื่องที่ตนออกเรือน ด้วยเหตุที่ซ่งไจ้เจียงที่นางแต่งด้วยเป็นลูกผู้พี่บุตรลุงแท้ๆ ของ เว่ยฉางอิ๋งที่เว่ยฉางเจวียนชิงชัง จึงคิดว่าหมิ่นอีนั่วหักหลังตนแน่แล้ว นอกจากจะอาละวาดยกใหญ่ภายในบ้าน หากพี่สะใภ้ทั้งสองคนของนางไม่ขืนจับนางกลับเข้าไปในห้องแล้ว นางก็เกือบจะวิ่งออกมากล่าวโทษเอาความที่บ้านหมิ่นโดยไม่สนใจว่ายามนั้นนางยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้มารดาด้วย…
ตอนที่มองเห็นเว่ยฉางเจวียนจากไกลๆ เมื่อครู่นี้ แม้หมิ่นอีนั่วจะบอกกับสาวใช้ว่าไม่ต้องเดินอ้อมไป แต่ภายในใจก็หวั่นวิตกยิ่งนัก ด้วยกลัวว่ายามนี้เว่ยฉางเจวียนออกทุกข์ และอาจมาที่นี่เพื่อคิดบัญชีกับตนโดยเฉพาะ
หมิ่นอีนั่วที่ตอนนี้บิดผ้าเช็ดหน้าในมือเต็มแรงเข้าใจเรื่องนี้กระจ่างแจ้งนัก…
ฉะนั้นเมื่อเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนไม่ส่งเสียง ก็นึกแต่ว่านางยังคงโกรธอยู่ จึงจงใจไม่สนใจตน จึงเอ่ยถามไปดีๆ อีกหน
ยามนี้ร้องถามติดต่อกันไปสี่ครั้ง ก็ล้วนไม่เห็นว่าเว่ยฉางเจวียนจะสนใจ
หมิ่นอีนั่วลังเลว่าจะเข้าไปจับร่มออกแล้วอธิบายกับนางดี หรือว่าร่ำลาไปดังนี้ดี? กลับเป็นสาวใช้ข้างกายนางที่ทนดูนายบ้านตนถูกเสียมารยาทเช่นนี้ไม่ไหว จึงกระแอมไปหนักๆ หนหนึ่ง แล้วร้องเสียงดังไปว่า “ฮูหยินเจ้าคะ เมื่อครู่นี้รองเท้าผ้าของท่านเปียกหมดแล้ว ยามนี้ต้องรีบกลับจึงจะถูกนะเจ้าคะ หาไม่แล้วหากจับไข้ ข้าน้อย ก็จะถูกนายท่านลงโทษหนักเอาเจ้าคะ!”
หมิ่นอีนั่วได้ยินคำที่สาวใช้ออกปากช่วยแก้สถานการณืตามคำที่ตนสั่งไว้ เพื่อตนจะได้มีเหตุผลกล่าวลา แต่กลับขมวดคิ้วเข้ามาน้อยๆ ด้วยก่อนนี้ตนจะแต่งกับซ่งไจ้เจียง เว่ยฉางเจวียนจึงได้หันมาเกลียดชังตนเองซึ่งเป็นสหายสนิทมานานปีและยังนับว่าเป็นลูกผู้พี่ของนางด้วย ครานี้สาวใช้จงใจเอ่ยถึง ‘นายท่าน’ ก็อย่าได้เป็นการไปยั่วไฟโทสะของเข้านางเลย…
ในขณะที่กำลังคิดว่าหากเว่ยฉางเจวียนอาละวาดขึ้นมาแล้วตนเองจะไกล่เกลี่ยเช่นใดอยู่นั้น กลับยังคงเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนไม่ได้มีการตอบโต้แต่อย่างใด… หมิ่นอีนั่วรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาเหลือเกิน จึงส่งสายตาไปยังสาวใช้ข้างกายนางหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาไปว่า “อาจเพราะฝนกำลังตก น้องเว่ยเจ็ดอยู่ข้างล่างจึงได้ยินที่ข้าพูดไม่ชัด เจ้าลงไปเชิญน้องเว่ยเจ็ดขึ้นมาสักหน่อย”
สาวใช้ผู้นั้นเข้าใจ พลันยกชายกระโปรง แล้วลงไปข้างล่างตลิ่งอย่างระมัดระวัง เดินไปพลาง ร้องทักทายเสียงดังไปพลางว่า “คุณหนูเว่ยเจ็ดเจ้าคะ ฮูหยินบ้านข้ากำลังสนทนากันท่านแหนะเจ้าค่ะ! คงมิใช่ว่าท่านมองทิวทัศน์ในทะเลสาบจนใจลอยไปแล้วนะเจ้าคะ?”
ยามนี้เป็นช่วงน้ำหลากพอดี ระดับน้ำในทะเลสาบจึงขึ้นมาสูงมาก จากบนริมตลิ่งจนถึงริมน้ำจึงลงไปเพียงไม่กี่ก้าว สาวใช้พูดไปหลายคำดังนี้ก็ไปถึงข้างหลังของ เว่ยฉางเจวียนแล้ว และดึงร่มออกอย่างไม่เกรงใจ …ทว่า เพียงนางมองไปข้างใต้ร่มคราวหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจและเยาะหยันที่มีอยู่เดิมก็แข็งทื่อขึ้นมาทันใด!
เพราะสาวใช้ยังไม่ทันเปิดร่มออกจนหมด หมิ่นอีนั่วและคนอื่นๆ ที่อยู่บนตลิ่งจึงมองไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใด… แต่กลับเห็นสาวใช้นางนั้นทึ้งผ้าเช็ดหน้าอย่างแรง แล้วกรีดร้องขึ้นมาเหมือนกับถูกงูกัดเช่นนั้น “ตายแล้วเจ้าค่ะ! คุณหนูเว่ยเจ็ด….นะนะนะ…นางตายแล้ว!!!”
______________