ตอนที่ 341 เรามีชะตาแต่ไร้วาสนาต่อกัน

เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)

ตอนที่ 341 เรามีชะตาแต่ไร้วาสนาต่อกัน!

ในนาทีก่อนเย่เฉินยังเป็นเป้าหมายที่พวกเขาต้องการสังหาร

แต่ในตอนนี้ชีวิตของคนทั้งตระกูลตกอยู่ในกำมือของเย่เฉินแล้ว!

เห็นเย่เฉินเล็งปืนใส่ซูเจิ้นหาง เหมือนมีเจตนาจะฆ่าเขา คนตระกูลซูก็ตื่นตระหนก

“หยุดเดี๋ยวนี้! เย่เฉินแกมันเดียรัจฉาน ถ้าแกกล้าแตะต้องปู่ของฉันแม้แต่ปลายเล็บ ฉันจะเอาแกให้ตาย!”

ซูมู่หลินตะโกนอย่างไร้เรี่ยวแรง

ซูมู่เสวี่ยตะโกน “ถ้านายกล้าลั่นไกปืนฆ่าพวกเราคนไหนขึ้นมา แกก็อย่าหวังออกจากบ้านหลังนี้เลย!”

เย่เฉินได้ยินคำพูดของซูมู่หลิน ก็หัวเสีย เขาทนไอ้เดียรัจฉานนี่มานานแล้ว!

ตอนเย่เฉินและหวังเจียเหยารักกันอย่างหวานซึ้ง ระหว่างที่พวกเขาสองคนพยายามจะมีลูก จู่ๆ ซูมู่หลินก็แอบมาทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกับหวังเจียเหยาในตอนที่เย่เฉินไปทำงาน

อีกทั้งสองคนนี้ยังมีมารหัวขนออกมาทิ่มแทงใจเขา!

โชคดีที่ตระกูลเย่มีธรรมเนียมที่ต้องตรวจ DNA เด็กๆ มิฉะนั้นเย่เฉินอาจะต้องเลี้ยงลูกคนอื่นฟรีๆ ไปหลายปี!

เย่เฉินสาวเท้าเดินไปหาซูมู่หลิน แล้วลั่นกระสุนปืนใส่ขาอีกฝ่าย!

ปัง!

“โอ้ย!”

ซูมู่หลินกุมขาตัวเองแล้วตะโกนเสียงกร้าว

บนใบหน้าของเขาฉายแววเจ็บปวดและตื่นตระหนก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เฉินจะกล้าลั่นไกปืนใส่ตนเอง!

และคิดไม่ถึงเลยว่าในโลกใบนี้จะมีคนกล้ายิงตนเอง!

เย่เฉินยิงปืนใส่เขาโดยที่ไม่ยั้งมือใดๆ แถมยังกล่าว “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวคุณขอเอาไว้ ผมจะยิงคุณให้ตายไป!”

คนที่เคยแตะต้องผู้หญิงของเขา เขาไม่มีทางปล่อยให้รอดตัว

ทั้งฟาเชาและหลิ่วอวี่เจ๋อต่างก็สูญเสียความสามารถในการมีลูกไป ส่วนซูมู่หลินก็ทำให้เขาเป็นคนพิการไปก็แล้วกัน!

กระสุนนัดนี้ทำให้คนทั้งตระกูลซูโวยวายเสียงหลง โดยเฉพาะแม่ของซูมู่หลิน

“แกไอ้เดียรัจฉาน คิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำร้ายลูกชายฉัน แกมันไร้ซึ่งความเป็นคน เสียดายที่ฉันตั้งใจรับแกเป็นเขย!”

มารดาของซูมู่หลินร้องไห้คร่ำครวญ เชื่อว่าไม่ว่ามารดาคนใดเห็นลูกชายตนเองโดนปืนยิ่งใส่ก็ต้องทุกข์ทรมานแบบนี้

ถ้าหากว่าทำได้เย่เฉินไม่มีทางจะยิงปืนนัดนี้ต่อหน้าพ่อแม่ของเขา

แต่ซูมู่หลินคนนี้สารเลวเกินไป เขาท้าทายตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า เย่เฉินทนเขาไม่ไหวอีกต่อไป!

และในขณะนี้เอง ซูมู่เสวี่ยก็กล่าวอย่างเคียดแค้น “เย่เฉิน ฉันขอแนะนำให้นายวางปืนลง ที่นี่คือเมืองหลวง! ตอนนี้ทรัพย์สินของนายก็โดนอายัดอยู่ นายออกไปต่างประเทศก็ไม่ได้ นายยังจะกล้าทำตัวเหนือ…”

เจ้าหล่อนยังไม่ทันได้พูดคำว่าเหนือกฎหมายจบ เย่เฉินก็ทำเรื่องที่หล่อนเรียกเหนือกฎหมายต่อทันที…

เพี้ยะ!

เย่เฉินไม่ได้ยิงซูมู่เสวี่ย อย่างไรเสียหล่อนก็เป็นเด็กผู้หญิง อีกทั้งยังไม่เคยทำร้ายเขารุนแรงนักหนา ดังนั้นเขาจึงตบสั่งสอนเท่านั้น

“นายกล้าตบฉันเหรอ? ไอ้สารเลว…”

ซูมู่เสวี่ยเย่อหยิ่งเป็นนิสัย หลังจากโดนตบแล้ว เจ้าหล่อนก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์

ทว่า…

เพี้ยะ!

เย่เฉินตบหล่อนซ้ำอีกที

“พูดสิ พูดต่อ คุณพูดหนึ่งครั้ง ผมก็จะตบคุณอีกหนึ่งที”

เย่เฉินนั่งยองๆ ลงตรงหน้าหญิงสาว

มารดาของเจ้าหล่อนรีบเอามือปิดปากลูกสาว แล้วอ้อนวอนเขา“คุณเย่ ท่านเย่ ลูกสาวฉันโดนตามใจจนเสียคน คุณอย่าโกรธเลยนะคะ หล่อนไม่ได้มีเจตนาไม่ดี”

เย่เฉินตะคอก “ลูกสาวคุณอาศัยว่าตนเองเป็นลูกเศรษฐี เห็นคนอื่นๆ เป็นคนที่ต่ำกว่า ถึงจะเป็นพี่น้องตัวเองก็ยังว่าร้าย ซูมู่ชิงไม่แต่งงานแล้วมันทำไม? จะกังวลเรื่องไร้สาระพวกนี้ไปทำไม!”

มารดาของซูมู่เสวี่ยรีบร้อนกล่าวรีบร้อนกล่าว “จริงด้วยๆ มู่ชิงไม่แต่งงานตลอดชีวิต นั่นก็เป็นอิสระของหล่อน เราจะไปยุ่งได้ยังไง ต่อไปพวกเราไม่พูดแล้ว จะไม่พูดอีกแล้ว…”

เห็นซูมู่เสวี่ยเริ่มหวาดกลัว เย่เฉินก็ชันตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปหาซูเจิ้นหาง

ซูเจิ้นหางเห็นหลานชายโดนซ้อมเจ็บตัวหนัก ความโมโหก็แล่นขึ้นเป็นริ้วๆ เขาถลึงตาใส่เย่เฉิน “ไอ้ตัวดี ที่แท้คราวก่อนตอนไปจากเมืองหลวง ก็จงใจทิ้ง UFO ไว้ที่นี่ นี่คงคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีวันนี้!”

ซูเจิ้นหางคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เฉินอายุเท่านี้ จะอ่านเหตุการณ์ขาดขนาดนี้!

วันนี้ตระกูลซูคงจะจบลงในมือทายาทรุ่นที่สามของตระกูลเย่แล้ว!

ซูเจิ้นหางกล่าว “เย่เฉิน ถ้าเธอฆ่าฉันหรือฆ่าใครคนใดคนหนึ่งในพวกเรา ฉันรับรองได้เลยว่าภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่เธอออกจากห้องนี้ไป เธอกับฉินหงเหยียนแฟนสาวของเธอได้ตายกันหมดแน่! ฉันหวังว่าเธอจะคิดก่อนจะทำอะไร คุณปู่ของเธอเลี้ยงเธอมาอย่างยากลำบาก ฉันเองก็แค่อยากจะดองกับตระกูลเย่เท่านั้นเอง อยากได้เธอมาเป็นหลานเขย เราไม่ได้มีความแค้นอะไรกันเสียหน่อย!”

เย่เฉินตะคอก “ตอนนี้ไม่มีความแค้นอะไรเหรอ? เมื่อครู่ตอนที่อยากจะฆ่าผมล่ะ?”

ซูเจิ้นหางพูดไม่ออก “นั่นก็แค่ขู่เธอเฉยๆ บีบให้เธอยอมเท่านั้นเอง มู่ชิงรักเธอขนาดนั้น ซือซือเองก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเธอ ฉันจะทนให้ซือซือโตมาแบบไม่มีพ่อได้ยังไง? ต่อให้ต้องขังเธอเอาไว้ในเมืองหลวงทั้งชีวิต ฉันก็ไม่มีทางลั่นไกยิงเธอ!”

เวลามันย้อนกลับไม่ได้ ใครจะไปรู้หากว่าเขาเฉินไม่โต้กลับ ตอนนี้เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้

และในเวลานี้เอง จู่ๆ เย่เฉินก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากชั้นสอง

เป็นเสียงของซูมู่ชิงออกแรงทุบประตูชั้นสองจนพัง หญิงสาวรีบวิ่งลงมาจากชั้นบน

“เย่เฉิน ฉันขอร้องล่ะ อย่าฆ่าปู่ฉันเลย ฉันรับรองว่าต่อไปเราจะไม่บังคับคุณ หรือรบกวนคุณอีก เรื่องในอดีตเราถือว่าหายกันได้ไหม?”

ซูมู่ชิงหันไปอ้อนวอนเย่เฉิน

เมื่อเห็นน้ำตาของสาวงาม เย่เฉินก็หวนนึกถึงตอนที่เจ้าหล่อนร้องไห้เพื่อขอร้องให้เขา ก็พลันใจอ่อนขึ้นมา

ซูมู่ชิงเป็นผู้หญิงที่ดีมาก เขาไม่อยากให้หล่อนเกลียดตนเองไปตลอดชีวิต

ดังนั้นเย่เฉินจึงหันไปกล่าวกับซูเจิ้นหาง “ก็ได้ ผมไม่ฆ่าคุณ คุณต้องทำตามเงื่อนไขของผม”

“คดีของหลิวเจิ้งคุนกับซีกวาใช่ไหมล่ะ? ฉันจะโทรบอกหูจื่อให้หายไปทันที”

ซูเจิ้นหางกล่าวพลางรีบกดโทรศัพท์สั่งอีกฝ่ายต่อหน้าเขา

“แล้วทรัพย์สินที่ผมโดนอายัดล่ะ?” เย่เฉินถาม

ซูเจิ้นหางมีท่าทีลำบากใจ “เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยเธอนะ แต่ว่ามันจัดการยาก ตอนนี้มีคนจำนวนมากสนใจเรื่องนี้อยู่ พวกเขาต่างก็อยากให้คุณปู่ของเธอกลับมา เธอเองก็รู้ว่าปู่ของเธอตอนนั้นหาเงินจากที่นี่ไปได้มากมาย พวกเขาหวังว่าปู่ของเธอจะคืนเงิน”

เย่เฉินพยักหน้าเขาเองก็เชื่อว่าคำพูดของชายสูงวัยน่าจะเป็นเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นปู่ของเขาคงไม่ถึงขนาดไม่แม้แต่จะรับสายเขา

ไม่มีเงินก็ช่างเถอะ ยังไงเขาก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่ออยู่แล้ว

ตอนนี้เขาล่วงเกินตระกูลซู ทรัพย์สินเงินทองก็โดนอายัด ต่อไปชีวิตในประเทศนี้คงจะลำบากน่าดู

เขาตัดสินใจว่าจะพาฉินหงเหยียนไปประเทศอังกฤษทันที!

“คุณให้คนเอาชื่อผมออกจากรายชื่อดำของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเลย” เย่เฉินกล่าว

ชายสูงวัยตอบ “ได้สิ ฉันจะโทรศัพท์ไปบอกเดี๋ยวนี้”

ซูเจิ้นหางกดโทรศัพท์อีกครั้งต่อหน้าเย่เฉิน แล้วกล่าว “เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอสามารถออกไปประเทศนี้ได้ทุกเมื่อ”

เย่เฉินถึงได้ลดปืนลง เมื่อปัญหาทั้งหมดถูกสะสาง เขาก็จะไปจากที่นี่!

“ซูมู่ชิง…” เย่เฉินหันมองหญิงสาว ซูมู่ชิงเองก็อ่านคำพูดที่เขาอยากจะบอกผ่านทางแววตาของชายหนุ่ม

ซูมู่ชิงจึงส่งยิ้มน้อยๆ “คุณไปเถอะค่ะ ฉันจะเลี้ยงลูกของเราเป็นอย่างดี”

เย่เฉินกล่าวกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด “มู่ชิง คุณเป็นผู้หญิงที่ดีมากจริงๆ ถ้าหากว่าไม่ได้เจอหงเหยียน ผมคงจะตกหลุมรักคุณ คงต้องโทษที่เราสองคนมีชะตาแต่ไร้วาสนาต่อกัน”