บทที่ 171 คนจากจวนกั๋วกงมาหา
ผู้คนต่างทยอยกันออกมาจากตำหนักเฉาเฟิ่ง ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมที่จะกลับจวนท่านอ๋องเย่ ช่วงนี้เธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยไปทั่วร่างกาย
อวิ๋นหลัวฉวนดึงเสื้อของฉีเฟยอวิ๋นจากด้านหลัง “ท่านพี่เสียนเฟย”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปหาอวิ๋นหลัวฉวน “พระชายารองอวิ๋น”
“เสด็จแม่รับปากแล้ว ข้าสามารถไปที่จวนท่านพี่ได้” อวิ๋นหลัวฉวนไม่กล้ากลับไปจวนท่านอ๋องตวน เพราะรู้สึกอับอาย
ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าใจ หากกลับไปเวลานี้ นางคงไม่สบายใจ
“ไปกันเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นจูงมืออวิ๋นหลัวฉวนเดินออกไป
แต่รถม้าของพวกเขานั่งกันมาทั้งหมดสี่คน
ฉีเฟยอวิ๋นและสามีของเธอ และยังมีท่านอ๋องตวนก็ติดตามมาด้วย
เมื่อลงจากรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นก็จัดการเรื่องที่พักของอวิ๋นหลัวฉวน และให้หงเถาไปดูแลรับใช้ก่อน
หนานกงเยี่ยนเป็นกังวลจึงติดตามไปด้วย อว๋นหลัวฉวนอาบน้ำอยู่ข้างใน หนานกงเยี่ยนเฝ้ารออยู่ข้างนอก
ฉีเฟยอวิ๋นกลับเข้าไปพักผ่อนก่อนที่จะออกมาเตรียมเรื่องอาหารการกินให้พวกเขา
อวิ๋นหลัวฉวนซูบผอมลงไปมาก นั่งลงก็ไม่ค่อยกินอะไร เมื่อก่อนนี้แย่งกินทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่มาวันนี้กินราวกับมด
หนานกงเยี่ยนคีบเนื้อสัตว์ให้นางหลายชิ้น นางฝืนกินเข้าไปเพียงสองชิ้นและไม่กินอีก
“ข้ากินอิ่มแล้ว ขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน ประเดี๋ยวหากตงเอ๋อร์มา ให้นางไปหาข้าที่ห้อง” อวิ๋นหลัวฉวนหันกลับเดินออกไปที่ห้องพัก หนานกงเยี่ยนหันไปมองนางและยกเหล้าดื่ม
“หม่อมฉันก็เหนื่อยมากแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อน ท่านอ๋องอยู่ดูแลท่านอ๋องตวนนะเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นก้มตัวโค้งคำนับและกลับไปที่เรือนก่อน
เมื่อคนอื่นออกไปแล้วหนานกงเย่หันมองมองหนานกงเยี่ยนและกล่าวว่า “รสชาติของการทำผิดแล้วต้องถูกลงโทษเป็นอย่างไร?”
หนานกงเยี่ยนหัวเราะ “เจ้ารู้มาตั้งนานแล้วว่าฉูฉู่เป็นคนเช่นนั้น เจ้าก็เลยไม่แต่งงานกับนาง?”
“แล้วจะทำไมหรือ?” หนานกงเย่ยอมรับอย่างเปิดอก
หนานกงเยี่ยนยกเหล้าดื่ม “ไม่ควรทำเช่นนี้”
“ข้าก็ไม่ได้รู้มาก่อนหน้านี้ พี่รองก็ควรเรียนรู้ที่จะรักษาทะนุถนอมคนที่อยู่ตรงหน้าไว้ และทุกคนต่างก็รู้ว่าพระชายาตวนมีพฤติกรรมที่ไม่ดี ข้าไม่รู้ว่าทำไมพี่รองยังมองไม่ออก?”
“ฉูฉู่เป็นทุกอย่างของข้า ข้าชอบฉูฉู่ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
“เช่นนั้นพี่รองรีบกลับไปเถอะ พระชายาตวนยังอยู่ที่ศาลพิเศษกลาง”
“……งั้นข้ากลับก่อนล่ะ”
เมื่อพูดถึงพระชายาตวน หนานกงเยี่ยนก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
เมื่อหนานกงเยี่ยนไปถึงศาลพิเศษกลางเพื่อรอรับจวินฉูฉู่ จวินฉูฉู่เพิ่งถูกโบยเสร็จเป็นจำนวนแปดสิบที และนางก็ถูกหามออกมา
หนานกงเยี่ยนรีบก้าวไปข้างหน้าและโอบจวินฉูฉู่ไว้ จวินฉูฉู่ผลักเขาออกไป ทำให้หนานกงเยี่ยนก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว แต่เขาก็ก้าวเข้าไปหาจวินฉูฉู่อีกครั้ง
จวินฉูฉู่ตบมือขึ้นตบหน้าของหนานกงเยี่ยนหนึ่งที จนหนานกงเยี่ยนรู้สึกตกตะลึง
“ฉูฉู่……”
หนานกงเยี่ยนนึกไม่ถึงว่าจวินฉูฉู่จะกล้าตบเขา
“ออกไป……” จวินฉูฉู่ตะโกนออกมา
หนานกงเยี่ยนไม่ไปไหน และยังเดินเข้าไปโอบกอดนางไว้
“หนานกงเยี่ยนท่านยังทำอะไรได้อีก?” จวินฉูฉู่ตะโกน และหนานกงเยี่ยนก็ชะงักไปชั่วขณะ
จวินฉูฉู่ลุกขึ้นมาเงยหน้าไปมองหนานกงเยี่ยน “เวลาที่ข้าต้องการท่าน ท่านไปอยู่ที่ไหน?”
“ข้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ฉูฉู่ กลับไปกับข้าเถอะ”
หนานกงเยี่ยนก้มตัวลงไปอุ้มจวินฉูฉู่ จวินฉูฉู่หลับตาลง นางเจ็บมากแค่ไหน นางก็โกรธแค้นมากเท่านั้น
สวรรค์ไม่มีความยุติธรรม!
เห็นได้ชัดว่านางสามารถได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่กลับมอบสิ่งที่ไร้ประโยชน์ให้กับนาง แต่ฉีเฟยอวิ๋นที่ไม่มีประโยชน์ กลับได้รับหนานกงเย่ไป นางยอมรับไม่ได้!
หนานกงเยี่ยนอุ้มจวินฉูฉู่และหันหลังเดินกลับเข้าไปในรถม้า
จวินฉูฉู่หลับตาลงและไม่พูดอะไรอีก หนานกงเยี่ยนนั่งเหม่อลอยอยู่ในรถม้าและไม่พูดอะไร เมื่อทั้งสองคนลงจากรถม้ามาทั้งตัวก็เต็มไปด้วยเลือด
หนานกงเยี่ยนจึงตระหนักได้ว่าจวินฉูฉู่เป็นลมหมดสติไปแล้ว
“หมอจวน เร็วเข้า……”
จวินฉูฉู่ถูกส่งเข้าไปในห้อง หมอในจวนมาดูอาการให้นาง นางถูกโบยอย่างสาหัส ทั้งร่างกายมีรอยฟกช้ำและเป็นแผลเหวอะหวะ และเกรงว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในอนาคตข้างหน้า
ฉีเฟยอวิ๋นนอนหลับพักผ่อน และคิดว่าจะตื่นมาในช่วงเวลาอาหารค่ำ หลังจากนั้นก็จะไปหาอวิ๋นหลัวฉวน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้ทราบว่ามีคนมาหาที่หน้าประตู
“ใครกัน มาหาเวลานี้?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ คงไม่ได้มาขอข้าวกินหรอกมั้ง
หนานกงเย่ต้องการจัดระเบียบปกคอเสื้อของเขาจึงเดินไปหาฉีเฟยอวิ๋น เขาไม่ชอบทำเอง และต้องการให้ฉีเฟยอวิ๋นทำให้
ฉีเฟยอวิ๋นจัดระเบียบปกคอเสื้อให้เขา เขามองฉีเฟยอวิ๋น “อ้วนขึ้นอีกแล้วหรือ?”
“คนบ้า” ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่อย่างโกรธเคือง รู้ว่าเธอไม่ชอบให้พูดถึงเรื่องอ้วน แต่เขายังพูด
“แต่ข้าชอบแบบนี้ รู้สึกนุ่มและกัดได้อย่างสบาย” หนานกงเย่หัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ฉีเฟยอวิ๋นโกรธมาก ช่างปากหวานและรู้สึกพูดอ้อน
หนานกงเย่ยิ้มอย่างมีความสุข และดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้าหาตัวก่อนจะหันกลับและพาฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปข้างนอก
ฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างรู้สึกโศกเศร้า หากรอจนถึงตอนเกิดลูก ไม่รู้ว่ายังสามารถออกจากประตูได้ไหม คงอ้วนกลมอย่างแน่นอน
เดิมทีพ่อบ้านต้องการมาบอกว่าคนของจวนฉีกั๋วกงมาหา แต่เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่จูงมือเดินออกไปข้างนอกและไม่มีทีท่าสนใจเข้าแม้แต่นิดเดียว เขาจึงไม่ได้บอกไป
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหนานกงเย่ออกมาจากจวนท่านอ๋องเย่ และมองเห็นรถม้าคันใหญ่สองคันของจวนฉีกั๋วกง และยังมีหีบไม้อีกจำนวนหนึ่งทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตกใจมาก
“เรื่องนี้เว้นไว้เถิด มีค่ามากเกินไป” ฉีเฟยอวิ๋นก้าวออกไปข้างหน้า แต่กลับถูกหนานกงเย่ดึงตัวไว้
เธอยังไม่เข้าใจ หนานกงเย่กล่าว “นี่คือเสื้อผ้าและของใช้ของพระชายารองอวิ๋นหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองออกไปและรู้สึกตกใจ เยอะเช่นนี้?
เสื้อผ้าเยอะเช่นนี้?
“เพคะ นี่คือเสื้อผ้าเครื่องอาภรณ์ที่ถูกส่งมาจากจวนฉีกั๋วกง ในนี้ยังมี รองเท้า อาวุธ ตำราทางการทหาร และรวมไปถึงของที่จะมอบให้กับพระชายาเย่
ครั้งนี้จวิ้นจู่แคล้วคลาดปลอดภัย ทั้งหมดเป็นเพราะความสามารถของพระชายาเย่ คิดว่าไม่มีอะไรดีๆ จะมอบให้ นอกเสียจากคนที่จวนฉีกั๋วกงมีจำนวนมาก จึงให้ทุกคนมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ คนละอย่างให้พระชายาเย่ เช่นนี้จึงไม่ลำบากเท่าไร และพระชายาเย่ได้โปรดอย่ารังเกียจและรับไว้ด้วยเพคะ”
คนที่มานั้นมีตงเอ๋อร์และฮูหยินกั๋วกงจำนวนหนึ่ง ในบรรดาเหล่าฮูหยินทั้งหมดนี้ ไม่มีแม่ของอวิ๋นหลัวฉวน คนที่พูดคือท่านป้าของอวิ๋นหลัวฉวน และนับว่าเป็นผู้ที่มีตำแหน่งฐานะสูงในจวนฉีกั๋วกง แต่พูดออกมากลับรู้สึกไม่มีเกียรติอย่างว่า
“ไม่รังเกียจเลย ขอเพียงแค่อย่ามีมูลค่าสูงเกินไปก็พอ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างเขินอาย
“ไม่มีมูลค่ามากเลยเพคะ เด็กๆ เปิดออกมาดูหน่อย” ฮูหยินออกคำสั่ง สาวใช้จำนวนหนึ่งมาช่วยกันเปิดหีบไม้ที่อยู่ข้างๆ ฉีเฟยอวิ๋นนึกว่าภายในมีอะไร เมื่อเดินเข้าไปดูกลับพบว่าข้างในมีอาวุธ ตำราทางการทหาร เสื้อเกราะ และที่พิเศษสะดุดตากว่านั้นก็คือลูกตุ้มดาวตก ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่เป็นกังวลเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้
หากมีมูลค่ามากเกินไป เกรงว่าจะถูกตั้งข้อหาว่ารับสินบน เช่นนั้นก็คงไม่ดีแน่
“ในเมื่อเป็นความตั้งใจของจวนกั๋วกง เช่นนั้นข้าก็จะรับไว้” ฉีเฟยอวิ๋นเรียกคนมาหามหีบเข้าไป และเชิญแขกที่มาเข้าไปข้างใน
เวลาค่ำ ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยากจะสุภาพเสียหน่อย เพราะคนจำนวนมาก ไม่สามารถเชิญเข้ามาทั้งหมดได้
แต่ฉีเฟยอวิ๋นคิดไม่ถึง คนเหล่านี้ต่างไม่เกรงอกเกรงใจ ใช้การช่วยหามหีบเพื่อเข้ามาในจวนท่านอ๋องเย่
เมื่อเข้ามาฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเกรงใจ จึงให้ทุกคนอยู่ต่อ
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ด้วยความโศกเศร้า และมองไปที่เหล่าฮูหยิน “ยังไม่ได้รับประทานอาหารใช่ไหม พอดีเลยพวกข้าก็ยังไม่ได้ทาน ทานด้วยกันไหม?”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่ามืดค่ำเช่นนี้แล้ว คนของจวนกั๋วกงคงน่าจะรับประทานอาหารกันมาแล้ว
ไม่ได้เป็นเพราะฉีเฟยอวิ๋นขี้เหนียว แต่เป็นเพราะการเงินในจวนของท่านอ๋องเย่นั้นมีจำกัด
รอให้การเงินของจวนท่านอ๋องเย่นั้นดีกว่านี้ อันที่จริงอาหารมื้อเดียวคงไม่เป็นไร
คิดไม่ถึง ฮูหยินก็ไม่มีความเกรงใจและกล่าวว่า “พวกเราจัดเตรียมของขวัญมาทั้งวัน ยังไม่มีเวลาทานข้าวดื่มน้ำกันเลย เกรงว่าตอนนี้คงจะหิวกันแล้ว ขอบพระทัยพระชายาเย่เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึง!
ผู้หญิงในจวนกั๋วกงต่างสมคำร่ำลือจริงๆ
เมื่อก่อนเป็นเธอที่ทำให้คนอื่นต้องมาตกหลุมพราง วันนี้กลับเป็นคนที่ตกหลุมพรางเอง
“ฮูหยินรอประเดี๋ยว ข้าให้พ่อบ้านไปจัดเตรียมให้สักครู่”
“ขอบพระทัยพระชายาเย่ที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นเพคะ พวกเราต้องการพบจวิ้นจู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่เรือนไหน?” ฮูหยินลุกขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นตามพวกนางไปหาอวิ๋นหลัวฉวน
เรือนที่อวิ๋นหลัวฉวนอาศัยอยู่ เดิมทีเป็นเรือนที่ฉีเฟยอวิ๋นอาศัยตอนที่จัดตั้งเรือนยา ฉีเฟยอวิ๋นได้ซ่อมแซมที่นั่นขึ้นมา
หนานกงเย่ไม่ได้พักผ่อนอย่างดีมาสองสามวัน กล่าวว่าเธอพักอยู่เพียงหนึ่งวันเท่านั้น ซ่อมแซมไปจะมีประโยชน์อะไร ก็ยังซ่อมแซมได้ทรุดโทรมเช่นนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นมีเหตุผลของเธอ กล่าวว่าหากมีเรื่องทะเลาะกัน และไม่สามารถกลับบ้านได้ ก็สามารถย้ายมาอยู่ที่นั่นได้
หนานกงเย่รู้สึกอารมณ์เสียอย่างมากกับเรื่องนี้ จนถึงตอนนี้ที่อวิ๋นหลัวฉวนเข้าไปพักอาศัย หนานกงเย่จึงไม่สนใจเรื่องนี้อีก
ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาถึงที่หน้าเรือน บนเรือนมีตัวอักษรสามตัว : จู๋อวิ๋นไจ
เหล่าฮูหยินหยุดอยู่ชั่วครู่และอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
“ดูก็รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่พระชายาเย่ชื่นชอบ พระชายาเย่ช่างมีน้ำจิตน้ำใจดีอย่างมาก พวกเราจวนกั๋วกงรู้สึกซาบซึ้งอย่างมากเพคะ” เหล่าฮูหยินต่างพากันก้มตัวโค้งคำนับ ฉีเฟยอวิ๋นรีบก้มตัวโค้งคำนับกลับ
“ไม่ถึงเช่นนั้นหรอก พระชายารองอวิ๋นกับข้าก็ต่างเป็นสะไภ้ มาเป็นแขกของจวนท่านอ๋องเย่ และควรได้รับยกย่องว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติ ข้าและพระชายารองอวิ๋นก็นับว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นางมาที่นี่ถือว่าเป็นเกียรติแก่ข้า”
“ขอบพระทัยพระชายาเย่เพคะ” เหล่าฮูหยินของจวนกั๋วกงต่างเดินเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลก ได้ยินมาว่าผู้หญิงในจวนกั๋วกงต่างก็ดูแข็งแกร่ง แต่เหล่าฮูหยินดูเหมือนจะไม่เหมือนที่ร่ำลือกัน ไม่เพียงแค่เป็นคนละเอียดรอบคอบ แถมยังอ่อนน้อมถ่อมตนและมีเหตุผลต่อผู้อื่นด้วย
เงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรสามตัวจู๋อวิ๋นไจที่อยู่บนเรือน น่าแปลกที่คำหนึ่งคำถูกทายอย่างถูกต้อง
เมื่อเข้ามาข้างใน เหล่าฮูหยินและผู้หญิงทั้งหลายต่างก็วางตัวตามสบายในเรือน ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าประตูไป อวิ๋นหลัวฉวนก็เดินออกมาพอดี เมื่อทุกคนเห็นนางต่างก็รุมกันเข้ามาล้อมรอบอวิ๋นหลัวฉวนเพื่อถามนู่นนี่นั่น
“พวกเขาทุบตีเจ้าใช่ไหม? ถูกทุบตีตรงไหน? เดี๋ยวข้าจะไปหาพวกเขา หากไม่ใช่เป็นเพราะกั๋วกงห้ามไว้ และกักขังพวกเราเอาไว้ พวกเราก็คงไปที่ศาลพิเศษกลางตั้งแต่แรกแล้ว
เป็นองค์หญิงใหญ่แล้วทำไม องค์หญิงใหญ่สามารถใส่ร้ายคนอื่นได้หรือ ข้าว่านางคงแก่เลอะเลือนไปแล้ว”
“ใช่ๆ ให้พวกเราดูหน่อยว่าเจ้าบาดเจ็บตรงไหน พวกเราจะไปหาพวกเขา”
“ใช่ ไปที่ศาลพิเศษกลาง หลังจากนั้นพวกเราจะไปที่จวนท่านอ๋องตวน ไปถามว่าเขาเป็นผู้ชายหรือไม่?”
ในเรือนดูชุลมุนวุ่นวายขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง คนของจวนกั๋วกงช่างต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ
เหล่าฮูหยินต่างก็ไม่สนใจ ดูเหมือนกับว่าก็ไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน
ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงเรื่องตอนที่ท่านพ่อของเธอมาหาท่านอ๋องเย่เพื่อทะเลาะ และฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกโล่งใจ
ข้าราชการทหารไม่เทียบเท่ากับข้าราชการพลเรือน ขอให้เป็นเช่นนั้น
“เชิญพระชายาเย่เข้ามานั่งข้างในเพคะ” ไม่นานฮูหยินก็ทำตัวเป็นผู้นำ ฉีเฟยอวิ๋นจึงตามเข้าไปนั่ง
คนจำนวนมากทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกปวดหัว
โชคดีที่พ่อบ้านอาวุโสเดินเข้ามาเพื่อเชิญทุกคนไปรับประทานอาหาร ฮูหยินกล่าว “ไม่ต้องไปข้างนอกหรอก ข้าคิดว่ารับประทานข้างในเรือนนี่ล่ะ พวกเรามีตำนวนมาก หากไปที่ห้องรับประทานอาหาร เกรงว่าจะนั่งกันไม่พอ”
“เช่นนั้นก็ที่นี่แล้วกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นออกคำสั่งไป ไม่นานก็จัดเตรียมยกอาหารมาวางที่นี่ หนึ่งโต๊ะสี่คน ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตกใจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นอาหารอันโอชะที่วางอยู่ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเสียดายอย่างมาก