บัดนี้จวนอ๋องเย่ขัดสนเรื่องเงินทองมาก ดูท่าคงต้องคิดหาทางประหยัดเงินทองเสียแล้ว
“พระชายาเย่ พรุ่งนี้เรามากันอีกนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ผู้หนึ่งกล่าวกับฉีเฟยอวิ๋น
“หากเจ้าชอบก็มาเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่ดีที่จะกล่าวออกไป ทำได้เพียงแค่ตอบรับตามมารยาท
“เช่นนั้นเราพักที่นี่เถอะ อาหารในจวนอ๋องเย่เลิศรสมากเจ้าค่ะ” เด็กน้อยผู้หนึ่งกล่าวขึ้นเสียงดัง ฉีเฟยอวิ๋นมองกลับไป นางต้องการจะทำอะไรกันแน่!
“พระชายาเย่ไม่ยิ้มเลย” ฮูหยินนั่งอยู่ข้างกายของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นจึงมองออกไป ฮูหยินจึงอธิบายว่า : “ก่อนหน้านั้นล้วนเป็นเงินทองที่เขื่อนตู้ฟางจุนเก็บรวบรวมไว้ทั้งสิ้น ต้องโทษที่จวนกั๋วกงฟุ่มเฟือยเกินไป เงินทองจึงได้ขาดแคลนไปส่วนหนึ่ง การจะควักเงินห้าหมื่นเหรียญออกมาจึงค่อนข้างลำบาก ทำได้เพียงแค่ต้องใช้ธัญพืชที่อยู่ในเรือนอย่างประหยัด
แต่นี่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วันเอง เงินของเราในเดือนต่อไปก็จะลดลง ถึงตอนนั้นก็คงจะดีขึ้น”
“อ่อ มิน่าล่ะ!” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จะกล่าวอะไรดี พวกนางจะอยู่ต่อตามมารยาทก็อยู่ต่อไปเถอะ
ผลสุดท้ายเหล่าฮูหยินก็ไม่ได้เกรงใจนัก ครั้นจะเดินจากไปก็ให้เด็ก ๆ อยู่ที่นี่ต่อ
หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นจากมา จึงได้รู้สึกว่า เส้นทางที่ไปจวนกั๋วกงลึกมาก
อวิ๋นหลัวฉวนได้ส่งคนมาจำนวนไม่น้อย ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกไป
หลังจากที่เข้ามาในสระกำมะถันกลับรู้สึกอึดอัดที่จะเปลือยร่างเปล่าต่อหน้าหนานกงเย่
“เป็นอะไรไปรึ?” หนานกงเย่ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกและกำลังรอฉีเฟยอวิ๋นเข้าไป กระทั่งเห็นนางยังคงคลุมตัวด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำและยืนอยู่ที่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
สิ่งที่หนานกงเย่ไม่ชอบอย่างเดียวคือเสื้อคลุมอาบน้ำที่ฉีเฟยอวิ๋นตัดเย็บเอง ทุกครั้งก็มักจะคลุมตัวอย่างมิดชิด งดงามสู้เสื้อชั้นในของพวกเขาไม่ได้สักนิด
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถาม : “ได้ยินมาว่าพวกหญิงสาวในจวนกั๋วกงนั้นกล้าหาญ เหตุใดเหล่าฮูหยินที่มาในวันนี้ถึงไม่เป็นเช่นนั้น?”
“สับสนรึ? หญิงสาวในจวนกั๋วกงก็หมายถึงพวกผู้หญิงในจวนกั๋วกง แต่เหล่าสตรีที่แต่งงานแล้วในจวนกั๋วกงก็ใช่ว่าจะได้ออกจากจวนท่านแม่ทัพเสมอไปนะ บางคนก็ว่าราชการ ความรู้ก็มากโขด้วย”
“มิน่าล่ะ” หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงอ่าง เสื้อคลุมบนตัวก็ถูกถอดออก
หนานกงเย่รีบเข้าไปรับตัวนาง : “ข้าเอง”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า รอให้หนานกงเย่มาถึงฝั่งนี้ และอุ้มนางลงไป
ครั้นลงน้ำไป หนานกงเย่ก็ยังถอดกระโปรงผ้าไหมบนตัวของฉีเฟยอวิ๋นอีกด้วย
“เหตุใดชายาถึงต้องสวมเสื้อผ้าหลายชั้นลงน้ำเช่นนี้ด้วย ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใด หรือไม่อยากให้ข้าเห็นรึ?”
“นี่คือชุดนอน สวมอย่างมิดชิดเช่นนี้ จะได้ไม่จุดชนวนไฟ*โดยง่าย”
“ข้าชอบความสุขสมบนเตียงเช่นนั้น จะกลัวอะไรกับจุดชนวนไฟเช่นนี้ สามีภรรยาต้องมีการหยอกเย้ากันบ้าง จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและชายากระชับมากขึ้น”
“ท่านอ๋องไร้ยางอายจริง ๆ ”
ทั้งสองคนเกี้ยวพาราสีกันไปมา หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาวางบนก้อนหิน : “สู่ขอชายามาแล้ว ข้ายังต้องรู้จักยางอายอะไรหรือรึ?”
“…..” ฉีเฟยอวิ๋นโอบรอบคอของหนานกงเย่ และเพลิดเพลินอย่างสุขสม
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ไปยังเขื่อนตู้ฟางจุน ทั้งสองคนนั่งรถม้าไปได้สิบสองลี้* ก็ถึงเขื่อนตู้ฟางจุนในที่สุด ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองครู่หนึ่งและกล่าวว่า : “หากไม่ปรับปรุงเขื่อนตู้ฟางจุนแห่งนี้ให้ดี ในกรณีที่ฝนตกลงมา ปริมาณน้ำที่อยู่บนเขื่อนจะเพิ่มมากขึ้น น้ำจะทะลักออกมาทางนี้และทำลายล้างทุกสิ่งอย่าง ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นเทพเซียน ก็ไม่สามารถช่วยเหลือคนที่อยู่ด้านล่างเขื่อนได้”
หนานกงเย่มองออกไป : “ชายามีความเข้าใจเรื่องการสร้างเขื่อนเป็นอย่างดีเชียว?”
“ก็มีบ้าง ถึงอย่างไรเราก็มีเขื่อนและสะพานขนาดใหญ่เช่นนี้มากมาย ดังนั้นข้าเองก็พอรู้บ้าง” ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่พักใหญ่ หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน
“ท่านอ๋อง เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ครั้นฤดูฝนมาถึง หากที่แห่งนี้กลายมาเป็นเช่นนี้ จะทำอย่างไร?”
“นั้นคือเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ซือคงเซียงเคยกล่าวไว้ หากสร้างเขื่อนตู้ฟางจุนให้สมบูรณ์ไม่ทัน คงจะเกิดปัญหาใหญ่หลวงเป็นแน่
ก่อนหน้านั้นเขื่อนตู้ฟางจุนถูกสร้างจนเสร็จแล้ว แต่หลังจากที่ซือคงเซียงตรวจสอบอยู่หลายครั้ง มันก็ยังไม่สมบูรณ์พอ ด้านบนของที่แห่งนี้ จะต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ ดังนั้นเงินทองจึงเริ่มร่อยหรอ
ข้านำทัพออกไปต่อสู้ก็ดี ยังจะให้ข้าครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ข้าก็คงจะไร้ความสามารถเช่นกัน
เวลาผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้ก็ยังสร้างออกมาไม่ได้ ข้าคงไร้ความสามารถ”
เรื่องการสร้างเขื่อนหนานกงเย่ตำหนิตนเองเป็นอย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะเขา ก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นคิดได้ ก็หมุนตัวและเริ่มเดินสำรวจ
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังครุ่นคิดบางอย่าง กระทั่งเดินออกไปยังที่ไกล ๆ หนานกงเย่คอยเดินตามนาง
“เจ้าช้าลงหน่อย” เพราะกลัวว่าฉีเฟยอวิ๋นจะเกิดเรื่อง หนานกงเย่จึงรีบตามไป
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปได้หนึ่งชั่วยาม และหยุดลง
นางยืนอยู่บนพื้นที่ที่สามารถมองเห็นได้โดยรอบ มองอยู่ชั่วครู่ก็หมุนตัวและเดินขึ้นไป หนานกงเย่จึงรีบเดินตามนางไปติด ๆ
“หากเจ้าอยากไปที่นั่น ให้ข้าแบกเจ้าขึ้นไปดีกว่า อย่าเดินไปเช่นนี้” หนานกงเย่ไม่วางใจจึงรีบดึงตัวฉีเฟยอวิ๋นไว้
“ไม่ต้อง ร่างกายนี้แข็งแรงมากพอ ข้าไม่เป็นไร ท่านอ๋อง ข้าจะคิดหาทางสร้างเขื่อนให้สำเร็จ”
“จริงรึ?” หนานกงเย่คลี่ยิ้มบาง จากนั้นก็ดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นมาจุมพิตเล็กน้อย
“ข้ามีความสุขมาก ที่ได้สู่ขออวิ๋นอวิ๋น”
“หยุดล้อเล่นได้แล้ว เราขึ้นไปกันเถอะ ข้าจะไปดูสักหน่อย เจ้าไปเรียกเสนาบดีซือคงมาเถอะ”
“อาอวี่ ไปบอกซือคงเซียงด้วย เราจะขึ้นไปคุยกันด้านบน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่หมุนตัวเดินจากไป ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่รีบขึ้นไปด้านบนทันที ฉีเฟยอวิ๋นยืนมองสิ่งรอบตัวอยู่บนเขื่อน ครุ่นคิดได้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร
ซือคงเซียงมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว ฉีเฟยอวิ๋นหยิบปากกาออกมาและเริ่มวาดภาพ วาดภาพพลางอธิบายรายละเอียดให้แก่ซือคงเซียง
“หากใช้แค่ก้อนหิน เขื่อนจะถล่มลงมาในไม่ช้า เพราะสูงเกินไป หากถล่มลงมา จะต้องสร้างการบาดเจ็บล้มตายให้กับคนที่อยู่ด้างล่างเขื่อนอย่างแน่นอน
ดังนั้นเราจึงต้องสร้างปูนขึ้นมา”
“อะไรคือปูน?” หนานกงเย่ไม่เข้าใจ
“ก็คือการนำหินปูน ดิน เศษแร่เหล็กมาผสมกับจนกลายมาเป็นเจ้าสิ่งนี้ หากทามันลงไประหว่างก้อนหิน จะช่วยยึดเกาะก้อนหินได้ดี ทำให้กำแพงแข็งแรงมากยิ่งขึ้น หากมีหินปูนอยู่บริเวณโดยรอบก็ดี ข้าเดินสำรวจแล้ว ที่แห่งนี้ไม่มีหินปูน ข้าต้องออกไปหานอกเมือง ของสิ่งนั้นหาง่าย เศษแร่เหล็กและดินหาง่ายยิ่งกว่า หลังจากผสมกันแล้วก็นำมาหลอม จึงต้องสร้างเตาเผา
ข้าต้องการสร้างบ่อปลาที่มีความยาวพันเมตรขึ้นไปด้านล่างของเขื่อน เท่ากับเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่ง ทั้งยังมีความลึกเกือบสองเมตรด้วย หากคำนวณตามสัดส่วนของเขื่อนแล้ว แรงกระแทกลงไปน่าจะลึกประมาณสองเมตรครึ่ง คงเพียงพอ
หมู่บ้านที่อยู่โดยรอบจะต้องถูกโยกย้ายทันที ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ไม่ต้อง
แต่ ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์จะต้องแยกออกจากเขตบ่อปลา เหลือฝายกั้นน้ำไว้ตรงกลาง หากเกิดน้ำท่วมขึ้นมาจริง ๆ จะถูกนำพาโดยฝายกั้นน้ำ
ส่วนด้านล่างของที่ดินอันอุดมสมบูรณ์นี้ ยังเป็นพื้นที่ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ทอดยาวออกไปอีกหลายสิบลี้ สร้างเป็นแหล่งเก็บน้ำที่มีช่องระบายน้ำล้อมรอบ เช่นนี้ต่อให้เป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ น้ำก็จะทะลักออกมายังแหล่งเก็บน้ำ แน่นอนว่านี่คือขั้นตอนที่หนึ่ง ด้านล่างช่องระบายน้ำจะมีท่อระบายน้ำ ซึ่งท่อระบายน้ำนี้จะต้องเชื่อมต่อกับแม่น้ำ ดังนั้นจะต้องใช้แม่น้ำในละแวกนี้ ที่นั่นจะต้องจัดคนไปเปิด ให้น้ำไหลผ่านเป็นกระบวนการจากที่นี่ ลงสู่แม่น้ำสายหลัก
ท้องพระโรงสามารถจัดสรรเงินตราได้ สร้างเขื่อนเก็บน้ำไว้ที่นั่น จะต้องจัดคนกลุ่มหนึ่งมาดูแล ตรวจตราเป็นประจำ ฤดูหนาวก็ต้องใช้ถุงทรายมาปิดกั้นไว้ หากฤดูฝนมาถึงก็ต้องส่งคนไปเฝ้าที่นั่น ในกรณีที่เกิดน้ำท่วม จะต้องเปิดท่อระบายน้ำโดยเร็วที่สุด ท่อระบายจะใช้ไม้ไผ่มาสานกันอย่างมั่นคงทั้งสองด้าน วางถุงทรายลงตรงกลาง แม้ว่าจะเร่งด่วนเพียงใด ก็ต้องทำให้ไม้ไผ่ทั้งสองด้านนี้มั่งคง หากมีปริมาณน้ำมหาศาลทะลักออกไปได้ ถือว่ายังไม่มั่งคงพอ ข้าต้องคิดหาทางอื่นมาช่วยเหลือให้ทันเวลา
เอ่ยถึงเขื่อน เขื่อนในอดีตก็เคยมีแล้ว เราสร้างเขื่อนแห่งที่สอง หากน้ำทะลักออกมาจากเขื่อน ยังมีแหล่งน้ำขนาดเล็กรองรับ แบ่งน้ำออกไปเป็นสาย แรงกระแทกของปริมาณน้ำน่าจะลดน้อยลง”
ฉีเฟยอวิ๋นวาดภาพเสร็จสมบูรณ์ ซือคงเซียงได้แต่ตะลึงจนตัวแข็งทื่อไป
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถาม : “เสนาบดีซือคง ท่านยังมีความคิดอื่นอีกไหม?”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แห่งนั้นจะมีปัญหาเพียงนี้ แต่บัดนี้ ข้าก็เข้าใจแล้ว ปริมาณน้ำมหาศาล เขื่อนที่ข้าสร้างคงจะไม่มีประโยชน์ ต้านทานไว้ไม่อยู่อย่างแน่นอน
แต่หากมีการระบายน้ำ ผลย่อมแตกต่าง
พระชายา ท่านช่างเก่งกาจเสียจริง ข้าชื่นชมในตัวท่านจริงพ่ะย่ะค่ะ!”
“…..” ฉีเฟยอวิ๋นแสดงสีหน้าหมองใจ จริง ๆ แล้วตอนที่นางไปเที่ยวเล่นนั้น ครั้ยเห็นเขื่อนก็เป็นเช่นนี้แล้ว คนนำทางก็เล่าให้ฟัง นางจึงจำได้
บัดนี้ลักษณะภูมิประเทศก็เหมือนกันทุกอย่าง นางจึงยืมมาใช้
“องค์นรัชทายาท รีบดำเนินการเถอะ ข้าเตรียมขั้นตอนการสร้างเขื่อนไว้ทุกอย่างแล้ว ส่วนปัญหาของอ่างเก็บน้ำด้านล่างและดินมอบหมายให้พระชายาเย่ก็แล้วกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซือคงเซียงกล่าวออกมาฉีเฟยอวิ๋นจึงตระหนักได้ทันที ว่าได้หาเรื่องยุ่งยากมาสู่ตนแล้ว
“ได้ เราแบ่งหน้าที่กัน อาอวี่ เจ้ารีบไปยังจวนท่านแม่ทัพ ส่งทหารยอดฝีมือสามพันนายออกไป บอกว่าข้าต้องการขุดบ่อ” หนานกงเย่รีบตัดสินใจ
“……” ฉีเฟยอวิ๋นหมดคำกล่าว เหตุใดเวลามีเรื่องอะไรจะต้องไปหาจวนท่านแม่ทัพด้วย
หลังจากออกจากเขื่อนตู้ฟางจุน ฉีเฟยอวิ๋นก็นั่งรถม้ากลับไป ระหว่างทางนางยังคงคิดเรื่องหินปูนอยู่ตลอดเวลา กระทั่งหนานกงเย่เอ่ยถามขึ้น : “เป็นอะไรไป?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า : “หากต้องใช้หินปูน ก็ต้องใช้ดินปืน ดินปืนมีแรงทำลายล้างมากเกินไป อาจจะดึงดูดสายตาของอีกหลายเมืองก็ได้ หากได้รับข่าวมาจากคนที่มีเจตนาไม่ดี อาจเกิดความปั่นป่วนขึ้นได้”
ตอนนั้นหากมีคนก่อการจลาจลขึ้น อย่าว่าแต่คนเป็นหมื่นเป็นแสนเลย เป็นล้านคน หากคิดจะทำลายก็แค่พริบตาเดียว
“ดินปืน?” หนานกงเย่เหนือความคาดหมายมาก
“อื้อ” ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายถึงหลักการของดินปืนให้แก่หนานกงเย่ฟัง ซึ่งหลังจากที่หนานกงเย่ได้ฟังก็ตกตะลึงเล็กน้อย
“กล่าวเช่นนี้อวิ๋นอวิ๋นหลอมดินปืนเป็นรึ?” สีหน้าของหนานกงเย่เกิดความสงสัย
ฉีเฟยอวิ๋นกลับคิดต่าง : “แพทย์ทหารของเราและแพทย์ทหารของเจ้าไม่เหมือนกัน พวกเจ้าช่วยชีวิตคนก็ถือว่าสำเร็จแล้ว แต่สำหรับเราจะต้องต่อสู้เป็น ต้องแฝงตัวเข้าไปในค่ายของศัตรูได้ ไม่เพียงแต่ยอมตายดีกว่ายอมจำนนเท่านั้น ยังต้องชำนาญการในการวางแผนด้วย สิ่งสำคัญยิ่งกว่าต้องทรหดอดทน กระทั่งไม่คิดเสียดายชีวิต
เหมือนกับเรื่องการสร้างดินปืน หากทำไม่เป็น ก็เท่ากับขยะชิ้นหนึ่ง
วิชาการแพทย์สูง คือเงื่อนไขอย่างหนึ่ง แต่เงื่อนไขด้านอื่นก็ต้องแข็งแกร่งด้วย
ความเร็วในการหนีรอดของข้าสูงมากนะ แต่กลับไวต่อความรู้สึก หากมีคนเข้าใกล้ข้า ข้าจะชิงปลิดชีวิตให้ได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใกล้ข้า นี่คือแพทย์ทหารของเรา”
หนานกงเย่ดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาในอ้อมกอด : “ข้าไม่ต้องการสิ่งใด ขอแค่อวิ๋นอวิ๋นอยู่กับข้าที่นี่ไปตลอดชีวิตของข้า”
หนานกงเย่ในเวลานี้รู้สึกเจ็บปวดบางอย่างจนกล่าวไม่ออก ครั้นนึกถึงหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ต้องทำเรื่องที่ผู้ชายต้องทำ หนานกงเย่ก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว
“ท่านอ๋อง ข้าหลอมดินปืนได้เจ้าค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไรห้ามให้คนอื่นล่วงรู้เด็ดขาด ดูจากฤดูกาลในตอนนี้ เขื่อนตู้ฟางจุนต้องใช้ปูน หากไม่ระเบิดภูเขา ก็คงไม่ทัน”
แต่การระเบิดต้องมีคนรู้แน่นอน ดังนั้นคนยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี
หากท่านอ๋องควบคุมได้ก็คงดี”
*จุดชนวนไฟ หมายถึงว่าจะไม่เกิดการสปาร์คกันโดยง่าย
*ลี้ หมายถึงหน่วยบอกความยาวในสมัยโบราณ