บทที่ 173 เอะอะก็แยกห้อง
หากมิใช่เพื่อผู้คนที่อยู่ปลายน้ำกล่าวอย่างไรฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่มีทางทำพวกดินปืนเหล่านั้น
อย่างไรก็ตามดินปืนนั้นอันตรายไม่ได้เป็นตัวยา ตัวยามีพิษยังมีโอกาสรักษาแต่หากดินปืนระเบิด แม้แต่กระดูกก็จะกระจุยไม่เหลือซาก!
ในสมัยโบราณนี้ก็จะพยายามไม่เข้าไปยุ่งกับพวกเขามากเกินไป การรักษาโรคภัยและช่วยชีวิตผู้คนเป็นงานด้านเทคโนโลยีด้านหนึ่ง แม้ว่าจะสร้างหลอดฉีดยาขึ้นมาได้ผู้คนภายนอกก็ไม่สามารถควบคุมเทคโนโลยีไได้ ผู้ใดจะยังสามารถแย่งเข็มฉีดยาไปสร้างความวุ่นวายแก่ชาติบ้านเมืองได้อีก
ดินปืนก็เหมือนกับกล้องถ่ายรูปซื่อบื่อไม่มีผู้ใดใช้ไม่เป็น ที่ฉีเฟยอวิ๋นกลัวก็คือมีคนขโมยเทคโนโลยีของดินปืนไป ถึงยามที่ชาติบ้านเมืองสับสนวุ่นวาย หลายเมืองทำสงครามกันนั่นถึงจะลำบากที่สุด
หนานกงเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “จดขั้นตอนการทำดินปืนอกมาและบอกข้าข้าต้องการรู้”
ฉีเฟยอวิ๋นมองมายังเขา: “ท่านอ๋องไม่ต้องการให้ข้าคุมงาน?”
“ข้าจะทำได้ลงหรือ?” หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างโกรธจัด แววตาอันแหลมคมของเขาพร้อมด้วยคำเตือนราวกับบ่นสิ่งใดพึมพำว่าให้ตัวนางเองว่าจะอุ้มท้องไปทำดินปืนหรือ?
“เช่นนั้นกลับกันเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเป็นการหวังดีต่อนางเลยไม่ได้ถือสาอันใด
หลังจากนอนหลับในรถม้าหนึ่งตื่นเมื่อฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นก็ถึงจวนอ๋องเย่แล้ว หลังจากลงจากรถม้าแล้วทั้งสองคนก็ตรงดิ่งไปยังร้านขายยาและเข้าไปในห้องทดลองของฉีเฟยอวิ๋นแล้วหยิบหินเหล็กไฟออกมาบดเป็นผงต่อหน้าหนานกงเย่ จากนั้นเทลงในภาชนะแล้วนำไฟมาจุดบนเส้นด้ายที่กำหนดทิศทางของไฟไว้โดยที่ข้างในมีตุ่มน้ำอยู่ ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยน้ำทิ้งแล้วใส่ขวดเล็กๆที่ใช้ชั่วคราวลงไปจากนั้นจุดไฟด้วยกระดาษม้วนจุดไฟ
จุดติดแล้วดึงฉีหนานกงเย่ออกไปทันที เรือนของนางกว้างขวางและตรงตุ่มน้ำนั้นว่างเปล่า ฉีเฟยอวิ๋นดึงหนานกงเย่ไปตรงมุมห้องอย่างรวดเร็ว
นางนั่งย่อเข่าอยู่และเอามือทั้งสองปิดหูไว้และหลบตัวอยู่ในมุม
หนานกงเย่ก็ย่อลงเช่นกันแต่เขาต้องการเห็นให้ชัดเจนว่าดินปืนคือสิ่งใดเขาเลยยืนขึ้นอีกและบังฉีเฟยอวิ๋นให้อยู่ด้านหลังเขา
ฉีเฟยอวิ๋นดึงเขา: “ย่อลง”
หนานกงเย่ไม่ฟังแล้วยังจ้องไปยังฝั่งตรงข้าม
เสียงตู้มดังขึ้นแล้วตรงหน้าก็เต็มไปด้วยควันโขมงพร้อมกับเศษของตุ่มน้ำซึ่งกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ห้องทดลองของฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะถูกทำลายไปแล้ว
หนานกงเย่สีหน้าซีดเซียวแล้วชิ้นส่วนหนึ่งของตุ่มก็กระเด็นมายังตรงหน้าของหนานกงเย่และข้ามผ่านไหล่ซ้ายของเขาไป
เลือดไหลออกมาในทันทีแต่เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย รอจนกว่าการสั่นสะเทือนนั้นเงียบไปและควันโขมงก็จางหายไป
เมื่อหันหลังกลับหนานกงเย่วุ่นอยู่กับการมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น: “อวิ๋นอวิ๋น”
ฉีเฟยอวิ๋นปัดควันอันคลุ้งโขมงแล้วมองไปทางหนานกงเย่: “ข้าอยู่นี่”
“อวิ๋นอวิ๋น ลูก……”
“ไม่เป็นไร” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจเมื่อก่อนตอนที่พวกเขาดำเนินการก็เคยมีหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่ง ตอนนี้นางยังไม่น่าเป็นกังวลแต่ภายภาคหน้าไม่ได้ซะแล้ว
หนานกงเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “หากบอกข้ามาก่อนว่าทรงอานุภาพเช่นนี้ข้าไม่มีทางอนุญาตให้เจ้าอยู่ด้วยแน่”
“ไม่เป็นไรนางยังเด็ก” ฉีเฟยอวิ๋นลุกยืนขึ้น แม้ว่าปากนางจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่นางก็กินยาบำรุงครรภ์ไว้แล้วซึ่งนางเตรียมไว้สำหรับตนเองโดยเฉพาะ
หนานกงเย่เห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่เป็นไรแล้วจริงๆจึงค่อยหันไปมองตุ่มน้ำที่ระเบิดกระจุยกระจายนั้น
หนานกงเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “อวิ๋นอวิ๋นมตอนนี้ยังจะระเบิดอีกหรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นขำ: “ทำให้ท่านตกใจซะ ตามข้ามา”
ฉีเฟยอวิ๋นจับมือหนานกงเย่ไปดูตุ่มน้ำที่ระเบิดนั้น ยามนี้ตุ่มน้ำเกิดหลุมขนาดใหญ่ซึ่งมีความลึกสองสามเมตรขึ้นมา ด้านล่างเป็นเศษผงบางส่วนของตุ่มน้ำแล้วโดยรอบๆก็เปรอะเปื้อนดินเต็มไปหมด
ของแตกกระจุยกระจายไปหมดแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นยังคงรู้สึกเจ็บปวดใจ
“ท่านต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า” ฉีเฟยอวิ๋นออดอ้อน
หนานกงเย่หันศีรษะไปมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วก้มศีรษะลงจุมพิตนางทีนึง: “อยู่เป็นเพื่อน นำข้าชดใช้ให้เจ้าดีหรือไม่?”
“เช่นนั้นก็ต้องดีอยู่แล้ว งั้นจากนี้ไปท่านจะต้องฟังข้า” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างขบขัน
“ได้”
หนานกงเย่มองไปยังหลุมลึกและยังคงระมัดระวังอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นผลักหนานกงเย่หนึ่งทีจนเกือบจะถอยลงไป เขาประคองตัวให้มั่นแล้วเหลือบมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ระเบิดชนิดนี้มีอานุภาพมหาศาลอยู่แล้วเพียงเล็กน้อยแค่นี้ก็ระเบิดจนเป็นเช่นนี้
แต่ท่านอ๋องท่านจำไว้ว่าไม่ว่าจะเป็นระเบิดอันใด หากระเบิดในคราเดียวแล้วอยู่ในระยะพื้นที่จำกัดก็จะระเบิดทั้งหมด ดังนั้นไม่ต้องเป็นกังวล”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินลงไปก่อนแล้วยื่นมือให้หนานกงเย่ หนานกงเย่ดูสับสนงุนงงแต่ก็ยังคงยื่นมือให้ฉีเฟยอวิ๋น
จับมือฉีเฟยอวิ๋นไว้แล้วหนานกงเย่ก็ลงไป ทั้งสองยืนอยู่ตรงด้านในแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า: “นี่เป็นเพียงชนิดหนึ่งเท่านั้น หากท่านอ๋องอยากรู้ข้าสามารถบอกท่านอ๋องได้”
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าได้ทุกอย่างแล้วจะเลิกกับเจ้าหรือ?” หนานกงเย่ขบขำแล้วใช้มือทั้งสองข้างกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ: “พวกเราที่นั่นว่ากันว่า แต่งงานกับไก่ตามไก่แต่งงานกับสุนัขตามสุนัข ท่านจะเป็นเช่นไรข้าก็จะติดตามท่านและข้าก็ไม่กลัวท่านด้วย หากท่านอ๋องต้องการทำร้ายผู้คนถึงจะไม่มีดินปืนก็ทำร้ายผู้คนได้อยู่ดี แต่ที่ข้าบอกท่านอ๋องคือหวังว่าท่านอ๋องจะสามารถปกป้องตนเองได้
หากมีวันนั้นจริงๆที่สถานที่แห่งนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับท่านอ๋องหรือว่าหากข้ากลับไปยังโลกใบนั้นแล้ว อย่างไรท่านอ๋องก็จะต้องอยู่ให้ได้
ส่วนท่านอ๋องจะต้องการข้าหรือไม่นั้นข้าไม่ได้คิดไปมากมายขนาดนั้น ”
“ไร้สาระ ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเจ้าเป็นของข้า” หนานกงเย่จับมือฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่นด้วยแววตาไม่พอใจ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเรื่องที่เขาไม่พอใจมากที่สุดคือเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงหัวข้อนี้แล้วหันกลับขึ้นไป
“ท่านอ๋อง ข้าจะบอกขั้นตอนของการสร้างและสิ่งที่ต้องใช้ทั้งหมดให้แก่ท่านอ๋อง ท่านอ๋องจำเอาไว้ในใจ หากเป็นไปได้ให้หาส่วนประกอบเหล่านี้ไว้ซะก่อนแล้วนำไปไว้ในที่ที่ไม่มีผู้ใดรู้ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมสามารถนำมาใช้ได้ แล้วยังสามารถนำไปวางไว้ใต้เขตพระราชฐาน หากมีผู้เป็นกบฏเพียงแค่นำพวกฝ่าบาทและไทเฮาออกมาก็สามารถระเบิดวังหลวงได้เลย”
ฉีเฟยอวิ๋นกลับขึ้นมายังด้านบนและปัดมือของนางแล้วหันไปมองหนานกงเย่
หนานกงเย่หันมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยท่าทีไม่แยแส: “อวิ๋นอวิ๋นฉลาดมาก ข้าคิดสิ่งใดเจ้าก็รู้หมด”่
“ท่านอ๋อง พวกเราใกล้ชิดสนิทสนมกันมากแม้แต่ในร่างข้าท่านก็เคยเข้ามาแล้ว ยังมีสิ่งใดที่ข้าจะไม่รู้? แต่ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องเป็นคนดี”
ในโลกของฉีเฟยอวิ๋นนั้นคนดีนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง ผู้ที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับนางก็เป็นคนดีแล้ว
หนานกงเย่ออกมาจากหลุม: “ข้าดีหรือไม่อวิ๋นอวิ๋นไม่รู้หรือ?”
ใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเย่ราวกับฤดูใบไม้ผลิ ฉีเฟยอวิ๋นกลอกตาแล้วคิดว่ามาอีกแล้ว เกลียดที่เขาไม่รู้สึกละอายเลยแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า: “ไม่ดี!”
“นั่นเป็นเพราะว่ายังแจกเสบียงไม่เพียงพอ คืนนี้พวกเราวิจัยเรื่องบนเตียงกันต่อ” ฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่ดึงเข้าไปในอ้อมแขนแล้วกอดนางเอาไว้
“ท่านอ๋อง ท่านได้รับบาดเจ็บที่แขน?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้สังเกตเลยเพิ่งเห็นว่าแขนของหนานกงเย่มีเลือดออกแล้ววุ่นอยู่กับการปลดเสื้อผ้าออกดู
หนานกงเย่ให้นางดู ถอดเสื้อผ้าออกจนเกือบหมดแล้วก็ได้กลิ่นหอมอย่างไม่น่าเชื่อ
“อวิ๋นอวิ๋น ไม่งั้นวิจัยเรื่องบนเตียงที่นี่ก่อนแล้วค่อยออกไป” หนานกงเย่แนบชิดไปด้านหน้าดังม้าพยศยังไงยังงั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงจ้องมองไปด้วยความโมโห
“นี่มันเวลาไหนแล้วท่านจะจริงจังหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”
ฉีกเสื้อของหนานกงเย่ออกแล้วทาผงยาให้เขา จากนั้นพันแผลให้เรียบร้อยแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็สวมเสื้อผ้าคืนให้หนานกงเย่
“ท่านอ๋องเกิดอันใดขึ้นหรือ? เหตุใดท่านถึงทำเสียงดังเช่นนี้ขึ้น?” อาอวี่วิ่งมาจากด้านนอก ในลานไม่มีผู้ใดอยู่อาอวี่เลยเป็นกังวลยิ่งนัก
“ไม่เป็นไร เมื่อครู่ข้าแสดงวิทยายุทธให้พระชายาเลยทุบตุ่มน้ำบนพื้นแตกกระจุยจนเกิดหลุมขึ้น ให้คนมาเก็บกวาดซะ”
หนานกงเย่กล่าวปดโดยไม่อายเลยแล้วก้มลงอุ้มฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปด้านนอก
หลังจากออกไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ไปพักผ่อนยังที่ของนางแล้วหนานกงเย่ก็เรียกคนมาเก็บกวาดห้องทดลอง
จากนั้นไม่กี่วันฉีเฟยอวิ๋นได้สร้างห้องทดลองใหม่และยามค่ำคืนค้นหาหินเหล็กไฟกับหินปูนเป็นเพื่อนหนานกงเย่
หลังจากค้นหาเป็นเวลาหกเจ็ดวันก็หาหินเหล็กไฟกับหินปูนพบ
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งงอเข่าที่เชิงเขาส่วนหนานกงเย่ยืนถือคบไฟอยู่อีกฝั่ง อาอวี่นั้นมองอยู่จากระยะไกล
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบหินเหล็กไฟมาดูแล้วยื่นให้หนานกงเย่: “ท่านอ๋อง ดูสิ”
หนานกงเย่หยิบมาดูแล้วทำตามที่ฉีเฟยอวิ๋นบอกแยกแยะหินเหล็กไฟกับหินปูน
หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่งหนานกงเย่ก็ดมแล้วมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น: “เป็นหินไฟ?”
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปรอบๆ: “ท่านอ๋อง ที่นี่ใช่ทั้งหมดเลย”
หนานกงมองไปรอบๆเห็นว่าที่นี่ห่างออกมาหนึ่งร้อยลี้ซึ่งห่างจากเมืองหลวงมากแล้ว
“หากเคลื่อนย้ายก็ต้องมีคนรู้” หนานกงเย่บอกตามความจริง
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าแล้วหนานกงเย่ก็มอบคบไฟในมือให้อันหลิงและหันหลังเดินไปรอบๆ: “อวิ๋นอวิ๋น หากไม่เคลื่อนย้ายสิ่งของเหล่านี้จะมีสาเหตุใดทำให้ระเบิดหรือไม่”
“เช่นนั้นคงไม่มี หากไม่พัฒนามันขึ้นมาก็จะไม่เกิดสิ่งใดขึ้นแต่เกรงว่าจะมีคนผ่านทางผ่านมาแล้วหยิบมาโยนเข้ากองไฟจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆแน่”
คนนั้นฉลาดยิ่งนัก บางครั้งอาจเกิดเรื่องขึ้นได้”
ฉีเฟยอวิ๋นเตือนหนานกงเย่
“ข้ารู้แล้ว ขึ้นไปด้านบนอันตราย อวิ๋นอวิ๋นอยู่นี่ข้าขึ้นไปเอง” หนานกงเย่นำคบไฟมา
“อาอวี่”
“ท่านอ๋อง”
อาอวี่เดินเข้ามาทันที
หนานกงเย่กล่าวว่า: “อยู่ที่นี่ปกป้องพระชายา
“ขอรับ”
หนานกงเย่ถือคบไฟแล้วขึ้นไปบนเขาอย่างรวดเร็ว อาศัยยามค่ำมืดค้นหาหินเหล็กไฟกับหินปูน
หลังจากค้นหาเป็นเวลาสองชั่วยามก็ลงมาจากเขา
นำก้อนหินสองสามก้อนมาให้ฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบมายืนยันแล้วพยักหน้า
พวกเขาเดินทางกลับในชั่วข้ามคืน จากนั้นก็ค้นหาอีกสองสามวันแล้วพบหินปูนจึงเริ่มขุดเพื่อทำปูนขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นช่วยอยู่ครึ่งเดือนจึงได้มีเวลาพักหายใจ
กำลังจะพักผ่อนอ๋องตวนก็มาที่จวนอ๋องเย่
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินว่าอ๋องตวนมาก็รู้สึกประหลาดใจ
“ในที่สุดก็มารับพระชายารองอวิ๋นแล้ว?” ช่วงนี้ฉีเฟยอวิ๋นกลัดกลุ้มอยู่ตลอด อวิ๋นหลัวฉวนอยู่ในจวนก็ไม่เป็นไรหรือหากอ๋องตวนจะไม่มารับพระชายารองอวิ๋นก็ย่อมได้
แต่คนเหล่านั้นจากจวนกั๋วกงมักจะมาทานข้าวอยู่เสมอ พอพวกนางมาก็ขอให้ทำอาหารให้ดีเลิศ
แล้วจวนอ๋องเย่ก็ดันขาดตั๋วเงินเลยไม่สามารถจัดหาให้ได้
ทำให้พ่อบ้านอาวุโสเห็นพวกเขาแล้วก็หวาดกลัว
หากรับอวิ๋นหลัวฉวนไปก็จะได้ไปทานที่จวนอ๋องตวน
ฉีเฟยอวิ๋นยืนขึ้น: “เชิญอ๋องตวนเข้ามาแล้วไปเชิญท่านอ๋องมา”
ฉีเฟยอวิ๋นไปยังห้องโถงด้านหน้าซึ่งอ๋องตวนอยู่ที่นั่นแล้ว ก่อนที่หนานกงเย่จะมาถึงฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปย่อกายถวายพระพร: “อ๋องตวน”
หนานกงเหยี่ยนหันไปมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วตกตะลึง
มองฉีเฟยอวิ๋นขึ้นลงอย่างละเอียด: “เหตุใดเจ้าถึงได้อ้วนขึ้นมากเช่นนี้?”
“…… ” ฉีเฟยอวิ๋นหดหู่ใจ ต้องทำตามคำกล่าวของอวิ๋นหลัวฉวนแล้วจริงๆ นางอ้วนราวกับลูกบอลแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นสงสัยว่าต้องลดน้ำหนักหรือไม่
“อาหารในจวนอ๋องเย่รสเลิศมากเช่นนี้เชียวหรือ?” หนานกงเหยี่ยนยอมใจซะแล้ว ถึงแม้ว่าจะชอบทานก็ไม่อร่อยจนเป็นเช่นนี้ จากนี้ต่อไปจะเจอผู้คนได้เช่นไร?
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจเขา: “อ๋องตวนมายังจวนเพื่อถามเรื่องอาหารกับข้าหรือ?”
“มิใช่เช่นนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อเชิญพระชายาเย่ไปดูสุขภาพร่างกายของฉูฉู่ คราวก่อนฉูฉู่กลับไปก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วแต่สุขภาพร่างกายของนางไม่ดีขึ้นสักที”
“เชิญอ๋องฉู่กลับไปเถอะข้าไปไม่ได้” ฉีเฟยอวิ๋นกรอกตาดูหมิ่นหนานกงเหยี่ยนแล้วหันไปยังหน้าประตู
หนานกงเย่เข้ามาจากประตูจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า: “ไม่นานมานี้รอบเดือนของข้ามาแล้วร่างกายเลยไม่ค่อยสบาย ท่านอ๋องหาที่นอนในตอนกลางคืนด้วย”
“……” หนานกงเย่สีหน้าเย็นยะเยือก ลูกชายอายุได้สองเดือนแล้วจะมีรอบเดือนมาได้จากที่ใดกัน?