บทที่ 52.1 เจ้าเป็นใคร (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

คนผู้นั้นได้ยินแล้ว ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้

ก่อนหน้านี้เขาแฝงตัวอยู่ในกลุ่มทหารจนกระทั่งแน่ใจแล้วจึงกลับมา

หนึ่ง เขามั่นใจในฝีมือการยิงธนูของเขา สอง รูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นมีลักษณะเหมือนซูอี้อย่างยิ่ง

ยามนี้เมื่อคิดขึ้นมา…

เวลานั้นเป็นเวลายามวิกาล ลูกดอกนั้นอาบยาพิษ ผู้ที่ถูกหามออกมาสีหน้าไม่ปกติ ทั้งยังมีลักษณะเปลี่ยนรูปไปเล็กน้อย ส่วนหน้าของซูอี้เขารู้จักจากภาพวาด

หากจะพูดว่าเป็นตัวแทนที่มีลักษณะเหมือนและคล้ายคลึงมากก็มีความเป็นไปได้

“ท่านอ๋องโปรดอภัย” เมื่อคิดทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว เขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงรีบลงไปคุกเข่าให้ซูหัง

ซูหังด่าอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกไร้ประโยชน์!”

จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองซูอี้อีกครั้งหนึ่ง

เขากัดฟันแน่น เพราะต้องควบคุมความโกรธอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อบริเวณแก้มสั่นเบาๆ สายตากินเลือดกินเนื้อของเขา มองดูแล้วน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

“เจ้ายังกล้ามา?” ซูหังกล่าว เขากัดฟันเค้นออกมาทีละคำ “เจ้า…”

“ไฉนไม่มาเล่า?” ซูอี้ไม่ได้รอจนเขาพูดจบ กลับเอ่ยขัดขึ้น แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดใด “ข้าลงทุนลงแรงไปตั้งมากมาย ถึงกับใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อจึงทำให้เจ้าติดกับอยู่ที่นี่ หากเวลานี้ข้าไม่มา…เช่นนั้นแล้วข้าคงต้องผิดต่อการเดินทางอย่างยากลำบาก รวมไปถึงต้องถ่อมาในยามวิกาลเช่นนี้”

ซูหังฟังแล้วตกตะลึง ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังขึ้นอีกหลายส่วนและกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“หมายความว่าอย่างไร?” ซูอี้หัวเราะเสียงเย็น ยกฝ่ามือขึ้น มองเข้าไปในบ้านที่มีแสงจากคบไฟ ท่าทางไม่แยแสสิ่งใด “โง่งมจนถึงบัดนี้ ดูท่าแล้วหากวันนี้เจ้าต้องมาตายที่นี่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิดบาปอันใด เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าต้องมาที่นี่? เพราะคำพูดของฝ่าบาทแค่ประโยคเดียว เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อเขา นิสัยของคนผู้นั้นเป็นเช่นใดเจ้าไม่รู้หรือ แล้วเจ้าถือดีอย่างไรที่คิดว่าคนข้างกายเจ้าพวกนั้นจะได้ข่าวมาง่ายดายเพียงนั้น หลักฐานความจริงที่ว่า การตายของซูหลินนั้นเกี่ยวข้องกับข้า เรื่องนี้ แม้กระทั่งฝ่าบาทเองก็ยังไม่รู้”

สีหน้าของซูหังเปลี่ยนสี พูดด้วยความโมโหอย่างคาดไม่ถึงว่า “เป็นเจ้าที่ปล่อยข่าวลวงออกมาให้ข้า เป็นเจ้า…” เขาพูดแล้ว ถอยหลังไปก้าวหนึ่งราวกับควบคุมฝีเท้าของตนไม่ได้ “เป็นเจ้าที่เจตนาล่อให้ข้ามาที่นี่ใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง เป็นข้าที่ต้องการล่อเจ้ามาที่นี่” ซูอี้พยักหน้ายอมรับตรงๆ ไม่รอให้ซูหังตั้งตัวติด เขาพูดเสียงเย็นเสริมอีกว่า “แต่คำพูดนี้เจ้าพูดถูกเพียงครึ่งเดียว ข้าเจตนาล่อให้เจ้าปรากฏตัวนั้นเป็นเรื่องจริง ทั้งสาเหตุการตายที่แท้จริงของซูหลิน…ข่าวนั้นไม่ได้เป็นข่าวลวง ข้าเป็นคนทำ”

“เจ้า!” ซูหังคำรามเสียงอออกมาพร้อมกับดึงดาบออกจากองครักษ์ข้างกายอย่างโมโห ชี้ไปที่เขาอย่างโกรธแค้น

ซูอี้ยืนอยู่ที่ระเบียงหน้าประตูไม่ไหวติง ในแววตานั้นมีความเยาะเย้ยพาดผ่าน ไม่คิดหลบหลีก จนกระทั่งดาบของซูหังมาถึงเบื้องหน้าเขาและกดดันเขา แววตาของซูอี้เปลี่ยนเป็นคมปลาบ เคลื่อนไหวหลบหลีกไปทางด้านใน ขณะเดียวกันใช้สองนิ้วบีบข้อมือของซูหัง เขาออกแรงที่นิ้ว ได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ ดังขึ้น

ซูหังร้องออกมาครั้งหนึ่ง เหงื่อเม็ดโตผุดออกมาเต็มหน้าผาก

ข้อมือของเขาอ่อนยวบ ดาบในมือร่วงหล่น ถูกซูอี้รับไว้ด้วยมือซ้าย

“ท่านอ๋อง” องครักษ์ของเขาร้องด้วยความตกใจ ไม่ต้องรอให้ซูหังสั่งการอีก ดึงดาบจากฝักตามๆ กัน พุ่งเข้าหาซูอี้

ซูอี้นั้นไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาใช้แรงจากข้อมือผลักซูหังออกไปข้างหน้า

ซูหังยืนไม่มั่นคง โงนเงนไปมา

นาทีถัดมาซูอี้พลิกมือกวาดดาบยาวออกไป คมดาบดุดัน ไปหยุดอยู่ข้างๆ ลำคอของซูหัง

สายตาของเขาเย็นเยียบ ไม่มีท่าทางคุณชายเจ้าสำอางเหมือนอย่างตอนที่เพิ่งจะปรากฏตัว ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสั่นสะท้าน เหน็บหนาวไปทั้งใจ

สายตาของซูอี้กวาดมองไปทั่ว องครักษ์เหล่านั้นต่างกังวลในความปลอดภัยของซูหัง ไม่กล้าก้าวเข้ามา ได้แต่มองตามและป้องกัน

ซูหังถูกเขาควบคุมเอาไว้ในมือ กระดูกข้อมือแตกละเอียด เขานั้นอยู่สุขสบายอย่างดีมาเป็นเวลาหลายปี เวลานี้เจ็บปวดเสียจนใกล้จะสิ้นสติ พูดขึ้นด้วยสีหน้าดำคล้ำ “เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่? เจ้าใช้เวลาเสียมากมายเพื่อที่จะล่อข้าออกมา หากเจ้าต้องการใช้ประโยชน์จากข้า ให้ข้าใช้อำนาจของทหารสกุลซูแล้วละก็ เจ้าก็วางหมากผิดทั้งกระดาน”

“เจ้ายังคงคิดว่าทหารพิการไม่กี่คนของเจ้านั้นดีนักหนาอีกหรือ” ซูอี้เอ่ย น้ำเสียงเหยียดหยาม “ข้ารับราชโองการมาจับกุมเจ้าและทหารทรยศสกุลซู ก็เป็นเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่ง ยังไม่มีค่าพอให้ข้าต้องลงมาจัดการเอง เจ้าไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นเข้าใจหรือทำเป็นเลอะเลือน เหตุใดข้าจึงไปแตะต้องซูหลินท่านย่อมรู้ดี ยามนี้ควรจะมาถึงเวลาของเจ้าแล้ว”

ซูหังฟังแล้วยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าบอกว่าเจ้ามาครั้งนี้เพราะข้าเช่นนั้นหรือ?”

กับสกุลซูฝ่าบาทยังไร้เยื่อใยเช่นนี้ได้ เช่นนั้นคงไม่ต้องพูดถึงซูอี้ ในใจของซูหังนั้นกระจ่างแจ้งนัก ฝ่าบาทใช้ซูอี้ก็เพียงให้เขาเป็นดาบในมือเล่มหนึ่งเท่านั้น เพื่อมาสยบสกุลซู

ในเมื่อต้องตกอยู่ในมือของซูอี้ เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวนัก

ฝ่าบาทไร้เมตตา ขอเพียงซูอี้ไม่อยากตาย เขาก็ยังมีโอกาส แต่เมื่อฟังคำพูดของเขาแล้วก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง

 ซูอี้ดูเหมือนจะรู้สถานการณ์ของเขาเป็นอย่างดี แต่ยังคงเสี่ยงอันตรายมาวางแผนจับเขา “เจ้า…” ซูหังเริ่มหวาดกลัวแล้วในที่สุด น้ำเสียงนั้นสั่นสะท้านเบาๆ

“สิบปีมานี้เจ้าให้ข้าแบกรับอะไรแทนเจ้าบ้าง ในใจเจ้าย่อมรู้ดี เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมาก วันนี้เจ้าต้องคืนให้ข้าทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย” ซูหลินกล่าว “เจ้าวางใจได้ ยามนี้เวลาของข้ามีไม่มากนัก ข้าต้องการแค่ชีวิตของเจ้า สำหรับทหารสกุลซูที่เจ้าเหลือเอาไว้นั้น…ไม่มีเจ้าที่เป็นผู้บัญชาการทหาร การจะจัดการพวกเขานั้นง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ”

ซูหังเสี่ยงอันตรายแอบข้ามแม่น้ำมาเพื่อสั่งการลอบสังหารซูอี้ สาเหตุหนึ่งด้วยได้ยินข่าวการตายของซูหลินทำให้เขาตกอยู่ในความโกรธแค้น ส่วนอีกอย่าง…

สังหารเขาเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในราชสำนักและเขย่าขวัญและกำใจของเหล่าทหาร ทางนี้ก็ประจวบเหมาะกับผู้บังคับบัญชาการทหารคนใหม่มาถึงทันท่วงที เขาก็จะถือโอกาสพลิกสถานการณ์

และเช่นเดียวกัน หากเขาต้องมาตายที่นี่ เช่นนั้นจุดจบของทหารสกุลซูก็ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ก็เหมือนกัน

เหงื่อเย็นบนหน้าผากของซูหังผุดออกมามากมาย ยามนี้เขารู้สึกเสียใจในการมาที่นี่ของตนเสียแล้ว

ซูอี้คร้านจะเสียเวลากับเขาอีกต่อไป เขาเลิกคิ้วให้กับองครักษ์ที่อยู่ในเรือน เอ่ยว่า “ข้าจะไม่สร้างความลำบากใจให้พวกเจ้า ไม่อยากตายก็ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้”

อำนาจของทหารสกุลซูนั้นได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว องครักษ์ที่อยู่ข้างกายซูหังเหล่านี้แม้จะติดตามเขามาหลายปี แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างมีความลังเลใจ

ในเมื่อ…

ทั้งหลายเหล่านี้เปรียบไม่ได้กับชีวิตเล็กๆ ในเรือนของตนเอง

องครักษ์สิบกว่านายจ้องตากันไปมา ทว่าไม่มีผู้ใดขยับเขยื้อนขึ้นหน้า

ซูหังรู้สึกได้ถึงภยันตรายด้วยตัวเอง อ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าดาบในมือของซูอี้กลับกดลงมาอย่างแรง

คมดาบนั้นกดอยู่ข้างลำคอของเขา ความรู้สึกที่สัมผัสได้นั้นเกือบจะทำให้สิ้นสติไป

ซูหังกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่า ครั้งนี้หากเขาขยับเคลื่อนไหวเพียงนิด ลูกกระเดือกของเขาก็คงกลิ้งลงมาเลือดสาดลงบนพื้นแน่นอน

แม้ภายในใจของเขาจะร้อนรนดั่งไฟสุม แต่ทว่าเขากลับไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ

เพื่อปฏิบัติภารกิจลับๆ นี้ เขาจึงพาองครักษ์ออกมาด้วยเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ยามนี้แม้พวกเขาจะไม่ได้ก้าวขึ้น มาข้างหน้า ทว่าไม่ได้มีผู้ใดที่จากในทันที

ซูอี้คร้านจะเสียเวลากับพวกเขาอีกต่อไป เขาบังคับซูหังและถอยออกไป

องครักษ์เหล่านั้นราวกับว่าเพิ่งตื่นจากความฝัน มีคนกัดฟันแล้วถือดาบพุ่งเข้ามา

“อย่าเอาตัวท่านอ๋องของพวกเราไป”

เมื่อมีผู้นำ จิตใจของคนที่เหลือราวกับว่าถูกทำให้ตื่นขึ้นมาด้วย องครักษ์สิบกว่าคนต่างดาหน้าเข้ามา

ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ไม่รอให้เขาสั่งการ อิ้งจื่อและโม่เสว่ที่อำพรางกายมาตลอดเวลาได้พาองครักษ์ลับออกมาปรากฏกาย

คมดาบและคมกระบี่สะท้อนแสง คนของทั้งสองฝ่ายต่างเข้าตะลุมบอนกันอยู่ในตรอกนั้นเอง

ซูอี้นั้นไม่ติดอยู่ในการต่อสู้ เขาดึงซูหังวิ่งออกจากตรอกไป

ซูหังเห็นว่าเขาไม่ได้ลงมือกับตนทันที จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ถามขึ้นด้วยความโกรธ

“นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่?”

————————————————–