บทที่ 52.2 เจ้าเป็นใคร (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ซูอี้หัวเราะเสียงเย็นและส่งเสียงขึ้นจมูกดัง ‘ฮึ’ แต่กลับไม่พูดอันใด เอาแต่กระชากเขาเดินก้าวใหญ่ๆ อย่างเร่งรีบ

ซูหังเดินก้าวไม่เท่ากันยาวบ้างสั้นบ้าง ถูกเขากระชากลากถูไปเรื่อย พอออกจากตรอกไปก็เห็นใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งผูกม้าไว้หนึ่งตัว

ซูอี้หยิบกระเป๋าผ้ามาจากหลังม้าและล้วงเข้าไปหยิบขวดออกมาใบหนึ่ง เขาเทยาสีเขียวอมดำออกมาสองเม็ดจากขวดใบนั้น

ซูหังไม่อยากกลืนยานี้ แต่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อต้าน จึงถูกซูอี้บังคับบีบปากแล้วกรอกยาใส่ปาก

ป้อนยาเขาแล้ว ซูอี้จึงโยนเขาขึ้นไปบนหลังม้า ตัวเองกำลังจะขึ้นม้า ทว่ากลับรู้สึกถึงความเยือกเย็นประหลาดที่ส่งมาถึงตัวเขาจากด้านหลัง

เขารู้สึกระแวดระวังทันที ด้วยสัญชาตญาณเขาจึงเบี่ยงร่างหลบ แล้วตอบโต้กลับไปด้วยการซัดอาวุธลับใบไม้สีทองออกไปสองใบ

ด้านหลังของเขามีเพียงสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมา

ท่ามกลางความไม่รีบเร่ง เขาหันกลับไปมอง กลับเห็นด้านหลังกำแพงมีเงาร่างสีดำกระโดดข้ามไปรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ขณะเดียวกันที่หลบอาวุธลับของเขานั้น ดาบโค้งที่ส่องประกายราวกับหิมะในมือก็ถูกส่งออกมาข้างหน้าเขา

ซูอี้เคยคิดมาก่อนแล้วว่าคนที่ฝ่าบาทส่งมาสังหารเขาน่าจะเป็นคนกลุ่มนี้ ต่อให้มีการเตรียมใจเอาไว้แล้ว ทว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าหญิงสาวผู้นี้จะปรากฏด้วยวิธีเช่นนี้ ทำให้เขาไม่มีโอกาสรับมือได้ทัน

เขาจำดาบของนางได้ในพริบตาเดียว รู้สึกแปลกประหลาดพลันขึ้นมาในใจ กลับทำให้เขาคิดอ่านไม่ทัน เท้าของเขาที่ก้าวพลาดแล้วกลับต้องถอย

กระบวนท่าของหญิงสาวผู้นั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารอย่างเหี้ยมโหด ไม่เหลือช่องว่างหรือทางรอดใดใด แม้ว่าเขาจะหลบหลีกได้อย่างรวดเร็วก็ตาม ดาบโค้งเล่มนั้นยังกรีดลงบนไหล่ซ้ายของเขาเป็นแผลลึกจนเห็นกระดูกเลือดไหลกระฉูดออกมา

เมื่อมือเจ็บทำให้หัวใจของเขาบีบรัด

หญิงสาวผู้นั้นเมื่อไม่ได้บรรลุจุดประสงค์ภายในดาบเดียว ดังนั้นร่างของนางลอยคว้างกลางอากาศ ทว่าไม่รอจนกระทั่งลงสู่พื้น ข้อมือพลิกอย่างว่องไว พลิกมืออีกครั้งฟาดฟันลงมาอีกครั้ง

ซูอี้รู้ถึงฝีมือของนางนานแล้ว และรู้กระบวนท่าถัดมาของนาง ขณะเดียวกันก็คิดอ่านหาทางรอดเอาไว้แล้ว

แต่ทว่าขณะที่เขากำลังจะถอยหลังนั้น ก็มีแสงสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา หางตาของเขาเห็นอาวุธลับนับไม่ถ้วนลอยผ่านอากาศข้ามมา

ไม่ใช่พุ่งเข้าหาเขา แต่…

เป้าหมายคือหญิงสาวผู้นั้นที่ยังอยู่กลางอากาศ

นาทีนั้นหัวใจของเขาเต้นระรัว ในเมื่อหลบหลีกไม่ได้ จึงยืดกายเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ขณะเดียวกันก็กดมือลงไปบนข้อมือหญิงผู้นั้น ใช้กำลังทั้งหมดที่มีดึงนางลงมาบนพื้น

ดาบโค้งในมือของหญิงผู้นั้นกดเข้าในอกของเขา ได้ยินเสียงคมดาบบาดลงไปในเนื้อของเขา

สองคนตกลงมาบนพื้น ดวงตาสองคู่สบประสานกัน ในนัยน์ตาของหญิงผู้นั้นปรากฏความประหลาดใจ

ซูอี้ไม่มีเวลาคิดอันใดมากมาย เขาใช้แขนกดด้านหลังเอวของหญิงผู้นั้นแล้วโอบให้ยืนขึ้น จากนั้นจึงสะบัดนางออกไปให้อยู่หลังตนเองราวๆ ครึ่งก้าว

เขาเองเดินขึ้นมาหนึ่งก้าว บาดแผลบนหน้าอกแขนของเขามีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เขาไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องเหล่านี้ได้แต่ป้องกันอย่างระแวดระวัง

เวลานี้เองในมุมมืดอีกด้านหนึ่งมีเงาสีดำถึงเจ็ดแปดคนปรากฏกายออกมา และหันมาทางเดียวกัน อาวุธในมือทุกคนไม่เพียงแต่เหมือนกัน ทว่าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมเย็นชาเช่นเดียวกันอีกด้วย

ซูอี้คิดว่าพวกเขาเป็นคนของซูหัง ยามนี้เมื่อมองเสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกเขาชัดเจนแล้วในใจพลันหนาวเหน็บ

คนชุดดำหลายคนนั้นท่าทางโหดเหี้ยม พุ่งเข้ามาตรงๆ อีกด้านหนึ่งมีคนกล่าวขึ้นเสียงเย็น “ซื่อหรง เจ้ากล้าทรยศนายท่าน รวมหัวกับเจ้าหนุ่มสกุลซู อย่าโทษว่าพวกเราแล้งน้ำใจ เราต้องทำความสะอาดสำนักแทนนายท่าน”

ยังไม่ทันได้สิ้นเสียง คนก็พุ่งเข้ามาสังหาร ทุกๆ กระบวนท่าโหดเหี้ยม บีบซูอี้และซื่อหรง

ขณะที่ซูอี้ดึงดาบออกมาต่อสู้กับศัตรูนั้นเขาได้สายตากวาดไปยังหญิงสาวผู้นั้น นาทีนั้นหัวใจของเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นความสงสารเวทนาหรือปวดใจกันแน่…

มีเพียงเขาที่รู้ เมื่อสักครู่ที่นางกวาดดาบใส่เขานั้นนางมีจิตสังหารเขาจริงๆ แน่วแน่ไม่ไหวเอน

ยามนี้ดูแล้ว…

กลับเป็นเพื่อนร่วมสำนักของนางที่ทรยศต่อนาง ต้องการกำจัดนางทิ้งในคราวเดียวกัน

แม้ว่าความคิดสังหารนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ซื่อหรงไม่เคยไปอธิบายหรือถกเถียงแม้เพียงครึ่งคำ ตรงเข้าไปใช้ดาบโค้งต่อสู้กับพวกเสื้อดำหลายคน

คนพวกนี้เป็นคนชนิดไหนนางย่อมรู้ดี เป็นเครื่องจักรสังหารที่ไม่มีความรู้สึกใดใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลใด พวกเขาตัดสินใจที่จะลงมือกับนางแล้วย่อมไม่ยอมอ่อนข้อให้

อิ้งจื่อและโม่เสว่กำลังประมือกับองครักษ์ของซูหังอยู่ในตรอก แม้จะได้ยินเสียงจากทางด้านนี้ทว่าปลีกตัวมาไม่ได้

ซูอี้และซื่อหรงสองคนรับมือคนชุดดำเจ็ดแปดคน เป็นการต่อสู้ที่โหดร้ายทารุณ ทั้งสองคนโค่นล้มคนชุดดำล้มลงไปกว่าครึ่ง และขณะเดียวกันซูอี้ด้วยเหตุที่ได้รับบาดเจ็บ สูญเสียกำลังไปมากเกินไป จึงมีท่าทีพ่ายแพ้ปรากฏออกมา

ต่อสู้กันต่อไปผลที่ออกมาคือบาดเจ็บสาหัสทั้งสองฝ่าย

แววตาของซื่อหรงนิ่ง ขณะที่ซูอี้กำลังจะเงื้อดาบเข้าไปต่อสู้กับศัตรูนั้น นางยื่นแขนไปจับข้อมือของซูอี้

ซูอี้ตกตะลึง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว พลันเห็นนางยกมือขึ้นยิงอาวุธลับดอกเหมยออกไป

“อาวุธลับมีพิษ ระวัง” คนชุดดำคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว

คนอื่นๆ หลบหลีกไปตามๆ กัน

และในเวลานี้เองที่สบโอกาส ซื่อหรงจับข้อมือของซูอี้ออกแรงสะบัดโยนเขาขึ้นไปบนหลังม้า ตัวเองก็ขึ้นตามมาด้วย หวดเข้าไปที่สะโพกของม้า มันจึงพุ่งโผนทะยานออกไป

เวลานี้ซูอี้หมดสติไปแล้ว งอตัวอยู่บนหลังม้าโดยไม่รู้สึกอันใด

น้ำหนักมือของซื่อหรงนั้นค่อนข้างหนัก ม้าตัวนั้นรู้สึกเจ็บ มันจึงห้อเหยียดอย่างเต็มฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้า แม้บนหลังของมันจะมีคนอยู่ถึงสามคน แต่ในเวลาไม่นานก็วิ่งออกมาไกลมาก

เมื่อตกลงมาบนหลังม้า ปฏิกิริยาของซูอี้นั้นรวดเร็วนัก รีบเข้าบังคับสายบังเหียน

มือของซื่อหรงข้างหนึ่งโอบเอวของเขาไว้ คนข้างหลังเมื่อหลบหลีกอาวุธลับแล้วกำลังตามหลังมา นางยกมือขึ้นอีกครั้งยิงอาวุธลับดอกไม้ออกไปอีกหน

เมื่อเป็นเช่นนี้ มีเวลาเพียงพอแล้ว

รอจนกระทั่งคนข้างหลังได้สติคืนมา เสียงเกือกม้าได้วิ่งไปไกลมากแล้ว

“เจ้าห้าถูกพิษเสียแล้ว” คนชุดดำคนหนึ่งประคองชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่ง พร้อมกับล้วงขวดเล็กๆ ออกมาจากอกของเขาใส่ยาลงไปที่ปากแผลของอีกฝ่าย

“ตอนนี้ทำอย่างไรดีเล่า? หากนางหนีไปได้ ต้องมีภัยมหันต์ตามหลังมาแน่” คนชุดดำอีกคนกล่าว

“มาถึงเวลานี้แล้ว หากนางไม่ตายพวกเราก็ม้วย ยังมีเหตุผลอันใดมาพูดอีก?” หัวหน้าคนชุดดำพูดเสียงเย็น

หญิงผู้นั้นไม่ได้เป็นคนมีเมตตาปราณี หากว่านางคิดจะลงมืออย่างเหี้ยมโหดแล้วล่ะก็ พวกเขาทั้งหมดในที่นี้ไม่ว่าใครก็โหดเหี้ยมสู้นางไม่ได้

ครั้งนี้หากนางหนีไปได้ วันหน้าจะต้องถูกนางล้างแค้นอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่

“เช่นนั้นยามนี้จะทำอย่างไร? ซูอี้เป็นรองแม่ทัพที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง หากพวกเขาไปค่ายทหาร พวกเราแย่แน่” มีคนร้อนใจกล่าวขึ้น

“เช่นนั้นก็ให้พวกเขากลับไปไม่ได้” คนที่เป็นหัวหน้ากล่าว แต่ละคำนั้นลอดมาจากไรฟัน มือกำหมัดแน่นเสียงกำหมัดดัง ‘กร๊อบ’ แล้วพูดเสียงเย็นว่า “ซื่อหรงทรยศ ส่งข่าวไปที่ศาลจวนว่าการทันที ให้คนของขุนนางช่วยสกัดกั้นอีกทาง เวลานี้ย่อมจำเป็นต้องจัดการให้สิ้นซาก จะต้องทำให้พวกเขาทั้งสองคนตายอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้น…หากนางรอดไปได้ พวกเราก็อย่าหวังว่าจะรอดแม้แต่คนเดียว”

—————————————————