ตอนที่ 119 ตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อช่วยเจ้า / ตอนที่ 120 ทนดูท่าทางโง่เขลาไม่ได้

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ตอนที่ 119 ตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อช่วยเจ้า

 

 

ลั่วซิงเฉินเป็นหนุ่มบริสุทธิ์ผู้ไม่เข้าใจความรักระหว่างชายหญิง ไร้เดียงสาอย่างถึงที่สุดจึงไม่เข้าใจคำพูดนี้ เขาเกาหัวไม่พูดจา

 

 

เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูคุกหลวง เยี่ยเม่ยสั่งให้เขารออยู่ข้างนอก ส่วนนางเข้าไปทำธุระด้านใน

 

 

ลั่วซิงเฉินก็ไม่คิดมากความเดินเล่นอยู่บนถนนสายนี้ เขากระโดดขึ้นหลังคาด้วยความเบื่อหน่าย มองไปไกลๆ เห็นเงาร่างของคนสองคนกำลังเดินไปทางจวนจงซาน คนผู้หนึ่งคือจงรั่วปิง ส่วนอีกคนหนึ่ง ดูจากรูปร่างแล้วคือ…เซี่ยโหวเฉิน?

 

 

เหตุใดสองคนนั้นดึกดื่นค่อนคืนถึงมาอยู่ด้วยกันได้

 

 

อีกอย่างมองจากทิศทางแล้วหรือพวกเขาเพิ่งออกมาจากคุกหลวงกัน

 

 

……

 

 

เยี่ยเม่ยสาวเท้าเข้าไปในคุกหลวง เห็นคนจำนวนไม่น้อยสลบอยู่หน้าประตู ไม่ต้องคิดมากก็รู้ได้ว่าเซียวชินมาแล้ว นางรีบเร่งความเร็วฝีเท้าเดินเข้าไปด้านใน

 

 

เมื่อเข้าไปแล้วก็พบว่าเซียวชินกับซือหม่าหรุ่ยกำลังกอดกันแน่น

 

 

ซือหม่าหรุ่ยร้องไห้ ส่วนเซียวชินช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า มุมปากเย็นเยียบของนางคลี่ยิ้มจางๆ รู้ว่าซือหม่าหรุ่ยคงเกลี้ยกล่อมเซียวชินสำเร็จ รั้งให้เขาอยู่ได้แล้ว

 

 

คนรักสองคนกว่าจะได้พบหน้ากันไม่ใช่เรื่องง่าย นางอยู่ตรงนี้ก็เหมือนก้างขวางคอ ไม่เหมาะสมเท่าไร

 

 

ดังนั้นเยี่ยเม่ยถอยมาก้าวหนึ่งเตรียมหลบฉากจากไป

 

 

ในขณะที่นางกำลังเตรียมปลีกตัวออกมา ซือหม่าหรุ่ยเงยหน้าเห็นนาง “เยี่ยเม่ย…”

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า รู้ว่าตัวเองคงไม่ต้องจากไปแล้ว

 

 

เยี่ยเม่ยตัดสินใจเดินเข้าไปหาพวกเขา ยิ้มเอ่ยว่า “เดิมไม่คิดรบกวนพวกเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเห็นข้า”

 

 

เพราะตอนนางเข้ามาไม่คิดพรางกายสักนิด ดังนั้นเมื่อซือหม่าหรุ่ยเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นนางทันที

 

 

ใบหน้าซือหม่าหรุ่ยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นางเช็ดหน้าเอ่ยว่า “ข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก หากมิใช่เจ้า ข้าคงหาเซียวชินไม่พบ”

 

 

เยี่ยเม่ยมีสีหน้ารู้สึกผิด “ข้ารับคำขอโทษของเจ้าไม่ได้หรอก หากไม่ใช่เพราะข้า เซียวชินก็ไม่ต้องจากเจ้าไป หากไม่ใช่เพราะข้า พวกเจ้าคงไม่ต้องแยกจากกันหลายปีเช่นนี้ เซียวชินยังต้องทนแบกรับชื่อเสียงเช่นนี้ ความจริงข้าต่างหากที่ต้องขอโทษพวกเจ้า”

 

 

เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยจบ คนทั้งสองกลับหัวเราะออกมาพร้อมกัน ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยปาก “เจ้าผิดต่อข้าอันใดกัน ที่ข้าทำไปตอนนั้น เพียงเพราะข้าเห็นเจ้าเป็นสหายที่ดีที่สุด ข้าจึงยินดีช่วยเจ้าเท่านั้น นี่คือการเลือกของข้า ไม่ต้องขอโทษ”

 

 

เซียวชินเสริมขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าเพียงทำเพื่ออาหรุ่ยอย่างยินยอมพร้อมใจ”

 

 

เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็รู้แล้วว่าทั้งสองคนเหมาะสมกันมาก มีมุมมองคล้ายกัน ยามที่พวกเขาทำเพื่อคนอื่น ล้วนไม่เอาความดีไปผูกไว้กับผู้อื่น ในใจของพวกเขา ไม่คิดว่าผู้อื่นติดค้างตน ในใจของพวกเขาคิดเพียงแค่ว่า ตนเต็มใจทำ เพราะข้ายินดี ดังนั้นข้าจึงไม่โทษฟ้าดินไม่โทษผู้อื่น ซ้ำยังรู้สึกดีใจ

 

 

คนสองคนนี้เกิดมาเพื่ออยู่ร่วมกัน สมควรได้รับความสุข

 

 

เยี่ยเม่ยยิ้มพยักหน้า “ในเมื่อพวกเจ้าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน เช่นนั้นหากข้าพูดมากอีกก็ไม่เหมาะแล้ว หลังจากนี้พวกเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ”

 

 

ในเมื่อได้พบกันแล้วก็ควรตัดสินใจว่าอยู่ต่อหรือจากไป

 

 

เซียวชินล้วงหน้ากากอันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ปิดบังใบหน้าตน มองเยี่ยเม่ยกล่าวว่า “ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับอาหรุ่ย อยู่ช่วยเหลือเจ้า ประการแรกเป็นเพราะอาหรุ่ยต้องการช่วยเจ้า หากพวกเราจากไปแล้ว นางคงไม่อาจปล่อยวางได้ ประการที่สอง อยู่ข้างกายเจ้าแม้ข้าจะปิดบังโฉมหน้า แต่จุดประสงค์ชัดเจนมาก นั่นคือที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด”

 

 

 

 

ตอนที่ 120 ทนดูท่าทางโง่เขลาไม่ได้

 

 

จุดประสงค์ของการอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ยชัดเจนมาก เหล่าศัตรูของเขาไม่มีทางคิดได้ว่าเขาจะวนเวียนอยู่ข้างกายคนมีอำนาจอย่างเยี่ยเม่ยโดยเปิดเผย

 

 

ซือหม่าหรุ่ยฟังแล้วก็มองเซียวชิน ถามว่า “ทำเช่นนี้ได้หรือ”

 

 

เซียวชินพยักหน้า “วางใจเถอะ ได้”

 

 

เยี่ยเม่ยไม่มีเหตุผลคัดค้าน พยักหน้ามองเซียวชิน “งั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย”

 

 

ถึงพวกเขาอยู่ข้างกายนางเป็นเรื่องอันตราย แต่หากจากไปก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะมาถึงตอนนี้เซียวชินยังคงถูกคนตามไล่สังหาร

 

 

เซียวชินพยักหน้า

 

 

……

 

 

เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง คนในคุกฟื้นขึ้นแล้ว

 

 

เยี่ยเม่ยมองเซียวชิน เซียวชินเข้าใจทันทีขยับไปยืนหลังเยี่ยเม่ย ทำเป็นว่าติดตามนางเข้ามา

 

 

หลังจากผู้คุมในคุกฟื้นขึ้นเห็นเยี่ยเม่ยก็ตกใจจนอึ้งไป

 

 

แต่ละคนต่างก็งุนงง “พวกเราหลับไปได้ยังไง”

 

 

เยี่ยเม่ยกวาดตามองพวกเขา เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าหลับไปได้อย่างไร พวกเจ้าเองยังไม่รู้อีกหรือ เคราะห์ดีที่คนเข้ามาคือคนของข้า ข้ารู้ว่าตัวเองโทษซือหม่าหรุ่ยผิดไป ถึงได้ตั้งใจมาสั่งให้ปล่อยนาง หากเป็นคนอื่น หัวของพวกเจ้ายังจะรักษาไว้ได้อีกหรือไม่”

 

 

นางชิงวางอำนาจข่มก่อน พวกผู้คุมตกใจแทบตาย รีบคุกเข่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยผิดไปแล้ว เรื่องนี้ท่านได้โปรดอย่ารายงานท่านเสนาบดีกรมอาญาเลยนะขอรับ ท่านอ๋องโปรดละเว้นชีวิตด้วย หากใต้เท้ารู้เข้า ชีวิตน้อยๆ ของพวกเราคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”

 

 

เยี่ยเม่ยปัดมืออย่างเอือมๆ “เห็นแก่ที่พวกเจ้าทำผิดครั้งแรก ละเว้นพวกเจ้า ต่อไปต้องระวังไว้ให้มาก”

 

 

“ขอรับ ขอบคุณท่านอ๋อง”

 

 

ผู้คุมเห็นว่าซือหม่าหรุ่ยถูกปล่อยตัวแล้ว พวกเขามองไปที่เยี่ยเม่ยสายตาสงสัย

 

 

เยี่ยเม่ยกวาดตามองพวกเขา เอ่ยว่า “ข้าเห็นพวกเจ้าสลบอยู่ เตะไปสองทียังไม่ฟื้นเลย เลยได้แต่หยิบกุญแจเปิดประตูเองแล้ว แต่ก็ไม่อยากพาตัวคนไปโดยไม่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเจ้าจะรายงานกรมอาญาอย่างไร ทำไมพวกเจ้ามีปัญหาหรือ”

 

 

“ไม่มี ไม่มี” ผู้คุมทั้งหมดส่ายหน้ารัว เอ่ยว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่ให้อภัยพวกเรา และไม่พาคนออกจากคุก พวกเราสำนึกในบุญคุณยิ่งนัก”

 

 

เยี่ยเม่ยแค่นเสียงคำหนึ่ง พาเซียวชินและซือหม่าหรุ่ยจากมา

 

 

ตอนนี้ซือหม่าหรุ่ยก็ร่วมแสดงละครด้วย “ข้าก็บอกแล้วว่าข้าไม่ได้ขโมยของของเจ้า เจ้ายังไม่เชื่อข้าอีก”

 

 

“ข้าเองก็ถูกคนพวกนั้นปิดบัง เจ้าอภัยด้วย”

 

 

สองคนคุยกันเช่นนี้ ก็ออกจากคุกหลวง

 

 

พวกผู้คุมคุกเข่า “น้อมส่งท่านอ๋อง ขอบคุณท่านอ๋อง”

 

 

รอเยี่ยเม่ยออกจากคุกหลวงไปแล้ว พวกผู้คุมก็มองหน้ากันไปมา ถามด้วยความกลัดกลุ้มว่า “พวกเราหลับไปได้ยังไง”

 

 

“ผีเท่านั้นแหละที่จะรู้ได้ ในเมื่อไม่รู้เลยสักนิด ก็คงได้แต่บอกว่าผีหลอกแล้ว”

 

 

“ยังดีที่คนมาคือเหอซั่วอ๋อง ยังดีที่เหอซั่วอ๋องพูดคุยได้ง่าย ยอมปล่อยพวกเรา ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้คงกลายเป็นเรื่องใหญ่”

 

 

“อืม ดังนั้นพวกเราต้องรักษาความลับนี้ไม่ให้แพร่งพรายออกไป เรื่องนี้ห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด”

 

 

“อืม”

 

 

……

 

 

ลั่วซิงเฉินรออยู่ด้านนอก เห็นพวกเขาเดินออกมา ซ้ำยังพาคนผู้หนึ่งออกมาด้วย ก็ตะลึงไปเล็กน้อย “เขา…”

 

 

เยี่ยเม่ยเกรงว่าเสียงของลั่วซิงเฉินจะดังเกินไป กลัวว่าคนในคุกจะได้ยิน

 

 

จึงรีบตัดบทว่า “เขาอะไรของเจ้า ข้าบอกให้เจ้าเข้าคุกไปพร้อมกับข้า เจ้าก็กลัวว่าคุกอัปมงคลจะชงถูกเจ้าให้ เขายอมเข้าไปกับข้า ออกมาก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยเห็นไหม? อายุน้อยๆ ไม่รู้จักเรียนรู้เรื่องดีๆ เอาแต่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา”

 

 

ลั่วซิงเฉิน “…?”

 

 

นี่เขาไปหาเรื่องใครเข้าแล้วเนี่ย

 

 

แต่ว่า ได้ยินเยี่ยเม่ยพูดแบบนี้ก็รู้ว่าเยี่ยเม่ยมีเหตุผลของนาง ถึงเขาจะไม่พอใจ แต่ก็กลั้นไว้ไม่บ่นได้แต่ยืนเงียบๆ หลังพวกเขา เดินจากไปพร้อมกัน และเพราะถูกขัดเช่นนี้ เขาถึงลืมเล่าเรื่องที่เมื่อครู่พบจงรั่วปิงและเซี่ยโหวเฉินให้เยี่ยเม่ยฟังไปเสียสนิท

 

 

 

 

เวลานี้

 

 

เซี่ยโหวเฉินมาส่งจงรั่วปิงถึงหน้าประตูจวนจงซาน กล่าวว่า “แม่นางจง เข้าไปเถอะ เดี๋ยวเจ้าเข้าไปแล้ว ข้าค่อยกลับ”

 

 

จงรั่วปิงพยักหน้า เดินเข้าจวนตัวเองไปได้สองก้าว ก็หันกลับมามองเซี่ยโหวเฉิน ถามว่า “ข้าได้ยินบ่าวในจวนเล่าว่า ระยะนี้ท่านชอบมาป้วนเปี้ยนแถวหน้าประตูจวนข้า แต่ไม่เข้ามาจริงหรือ”

 

 

“หา?” เซี่ยโหวเฉินสะอึกไป รู้สึกกระอักกระอ่วน หลังจากอยู่ร่วมกับจงรั่วปิงสักพัก ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะเลิกทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กับนาง ความขัดเขินที่ฝืนกลั้นเอาไว้ถูกประโยคเดียวของจงรั่วปิงดึงออกมาจนหมด

 

 

สีหน้าของเขาแปลกประหลาดอยู่สักพัก จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนไปแดงเรื่อ แม้กระทั่งใบหูก็แดงก่ำขึ้นมา

 

 

เห็นจงรั่วปิงหลุดหัวเราะออกมา ‘ฮ่า’

 

 

นางถามขึ้นอีกว่า “งั้น ที่ท่านมาหน้าจวนข้าเพื่ออะไรกัน ไม่ใช่ว่ามาหาข้าหรือ”

 

 

“นี่ ข้า ข้า…” เซี่ยโหวเฉินเหมือนถูกคนตัดลิ้นออกไป จ้องมองจงรั่วปิง รู้สึกปวดใจจนพูดไม่ออกเลยสักคำเดียว  

 

 

เหวยซื่อกุมขมับ รู้ว่าท่านอ๋องอาการกำเริบอีกแล้ว ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกว่าสมควรจะเห็นใจท่านอ๋องดีไหมที่ถูกแม่นางถามคำถามที่ตอบไม่ถูกแบบนี้ออกมา…

 

 

หรือจะให้ท่านอ๋องที่เป็นชายชาตรีอกสามศอกตอบไปต่อหน้าจงรั่วปิงว่า ความจริงเขามาก็เพื่อหาเจ้า แต่พอเห็นหน้าประตูจวนเจ้า ข้าก็ทำตัวไม่ถูกจึงไม่เข้าไป

 

 

ทำได้แค่เดินวนไปเวียนมาอยู่ที่หน้าประตู นี่มันจะไม่ไร้ยางอาย น่าขายหน้าเกินไปหรือ

 

 

จงรั่วปิงเห็นท่าทางขัดเขินลำบากใจของเขา ก็เข้าใจจึงไม่บีบเขาอีก นางก้มหน้าลง หัวเราะเอ่ยว่า “หากครั้งหน้าท่านจะมาหาข้า ก็เข้ามาเลย ท่านพ่อไม่รั้งท่านไว้หรอก อีกอย่างหากท่านพ่อถามเรื่องแต่งงาน ข้าก็ตกลง”

 

 

เมื่อเอ่ยจบนางไม่รอให้เซี่ยโหวเฉินตอบ ก็รีบเดินเข้าประตูไป จากนั้นก็ปิดประตูลงทันที

 

 

จากนั้นนางแนบหลังติดกับประตู สองมือกุมใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเอง รู้สึกขัดเขิน นางเป็นจอมยุทธ์หญิงคนหนึ่ง เดิมคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่น่ารู้สึกผิดสักนิด คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเอ่ยออกมาแล้ว นางก็ยัง…

 

 

คิดถึงเซี่ยโหวเฉินที่เขินอายเหมือนนาง ใบหน้าที่กระอักกระอ่วนจนพูดไม่ออกของเขา นางก็กุมใบหน้าขวยเขินของตน รีบวิ่งกลับห้อง

 

 

เซี่ยโหวเฉินยืนอึ้งอยู่หน้าประตู

 

 

จงรั่วปิงพูดว่าอะไรนะ

 

 

ถ้าเขามาหานางอีกให้เข้าไปได้เลย นางยังบอกอีกว่า หากจงซานถามเรื่องงานแต่งงานอีกครั้ง นางก็จะตอบตกลงหรือ

 

 

ความสุขปรี่ล้นเข้ามากะทันหัน เขาหันกลับไปมองเหวยซื่อ ถามว่า “ข้าฟังผิดไปหรือเปล่า นางจะแต่งกับข้าหรือ ข้าคงไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม”

 

 

เหวยซื่อพยักหน้า เห็นท่าทางของท่านอ๋องแล้วก็รู้สึกหัวใจเกร็งกระตุก

 

 

ทำไมท่านอ๋องผู้แสนชาญฉลาดของเขาเผชิญหน้ากับความรักแล้ว ถึงได้โง่งมจนคนทนดูไม่ได้อีกแล้ว

 

 

เขาชมดูจนเหนื่อยหน่ายใจเหลือเกิน

 

 

เหวยซื่อตอบว่า “ถูกต้อง ท่านอ๋อง ท่านไม่ได้เข้าใจผิดเลย หลังจากท่านกลับไปแล้ว พรุ่งนี้ก็ให้แม่สื่อมาสู่ขอได้แล้ว”

 

 

“กลับ” เซี่ยโหวเฉินรีบหันหน้ากลับไป

 

 

เหวยซื่อทึ่งไปเล็กน้อย “ท่านอ๋อง ท่านไปผิดทางแล้ว จวนท่านไม่ได้อยู่ทางนั้น”

 

 

“ใครบอกว่าข้าจะกลับจวน ข้าจะไปหาแม่สื่อ” เซี่ยโหวเฉินเร่งฝีเท้า

 

 

เหวยซื่อ “…” ท่านอ๋อง อย่าทำเช่นนี้ได้หรือไม่

 

 

นี่มันยามใดแล้ว ต่อให้ท่านไปบอกแม่สื่อด้วยตัวเอง แต่ผู้อื่นก็ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ รอจนใต้เท้าจงซานกลับจวนก่อนถึงเดินทางมาสู่ขอได้

 

 

อีกอย่าง ท่านเป็นถึงท่านอ๋องเรื่องพวกนี้ส่งคนมาหาแม่สื่อก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง ต้องทำการเอิกเกริกถึงขั้นไปพบแม่สื่อด้วยตนเองเชียวหรือ

 

 

เหวยซื่อไล่ตามไป เอ่ยปากว่า “ท่านอ๋อง ท่านอย่าไปเลย ตอนนี้ท่านไปหาแม่สื่อ หากพรุ่งนี้ข่าวแพร่ออกไป ท่านจะกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงแล้ว”

 

 

ถ้าแพร่ออกไปจะกลายเป็นอะไรนะ

 

 

ท่านอ๋องน้อยจวนเซี่ยโหวหลงรักคุณหนูจวนซือคงถึงขั้นดึกดื่นค่ำคืนไปเคาะประตูบ้านแม่สื่อ สั่งให้รีบไปสู่ขอ ต่อไปเมื่อท่านอ๋องอยู่ต่อหน้ากลุ่มผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

 

 

เซี่ยโหวเฉินชะงักฝีเท้า “เจ้าพูดถูก”

 

 

เซี่ยโหวเฉินเคาะหัวตัวเอง รู้สึกว่าเขาช่างไม่รู้ขอบเขตเลย ต่อให้ชอบจงรั่วปิง ก็ไม่ควรเป็นถึงขนาดนี้ ไม่เช่นนั้นหากเขากลายเป็นตัวตลกขึ้นมา แม่นางจงก็จะพลอยถูกคนดูแคลนไปกับตัวเขาด้วย

 

 

เขาหันกลับไปมองอย่างไม่ยินยอม เปลี่ยนทิศทางกลับจวน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเรากลับกันก่อน เช้าตรู่วันพรุ่งนี้เจ้าสั่งคนมาหาแม่สื่อ เข้าใจไหม”

 

 

เหวยซื่อพยักหน้า “ขอรับ ท่านอ๋องโปรดวางใจ”

 

 

เมื่อตอบแล้ว เหวยซื่อปาดเหงื่อเม็ดเป้งที่หน้าผาก ไม่เข้าใจการแต่งสะใภ้เข้าบ้านสักคน ท่านอ๋องต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ

 

 

เมื่อคิดแล้ว เซี่ยโหวเฉินก็ชะงักฝีเท้าอีก

 

 

เหวยซื่ออดใจไม่ถามว่าท่านเป็นอะไรอีกแล้ว บังคับตนเองที่ต่อให้จนปัญญาแค่ไหนก็ฝืนใจไว้ ไม่ถามคำถามที่มีโอกาสทำให้เจ้านายกำจัดตนออกไปถูกเจ้านายกำจัดออกไป “ท่านอ๋องยังมีเรื่องอื่นจะสั่งการอีกหรือไม่”

 

 

เซี่ยโหวเฉินมองเขา กำชับเสียงหนักแน่นว่า “พรุ่งนี้เช้าเจ้าห้ามลืมเด็ดขาด”

 

 

เหวยซื่อ “…ขอรับ ”

 

 

ท่านอ๋อง พอได้แล้ว เห็นท่าทางเบิกบานของท่านแบบนี้ ข้ายังจะกล้าลืมอีกหรือไง

 

 

เซี่ยโหวเฉินกลับถึงจวนไม่อาจข่มตาหลับได้ เขาพลิกไปพลิกมาบนเตียง อารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด คิดไม่ถึงว่าวันนี้ที่เขาเป็นฝ่ายเสนอตัวไปปล้นคุก จะได้รับความรู้สึกดีๆ จากจงรั่วปิงกลับมาเช่นนี้

 

 

เขากอดหมอนอย่างอารมณ์ดี พลิกไปมา

 

 

เหวยซื่ออยู่หน้าประตูห้อง เช็ดเหงื่อที่ไหลไม่หยุด ได้ยินเสียงแผ่นเตียงดังกึกกัก หากคนไม่รู้ความอาจคิดว่าท่านอ๋องกำลังนอนกับสตรีก็ได้ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าท่านอ๋องทำได้อย่างไรกัน นอนคนเดียวแต่ทำเตียงส่งเสียงดังได้แบบนี้ นี่มันบ้าไปแล้ว

 

 

ในเวลานี้เอง

 

 

เสียงของเซี่ยโหวเฉินดังออกมาจากข้างในห้อง “เหวยซื่อ เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้เป็นความจริงหรือ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่”

 

 

เหวยซื่อกลอกตามองฟ้า ตอบกลับไปเป็นรอบที่แปดสิบเก้าของคืนนี้ว่า “เป็นความจริง ท่านอ๋อง ท่านไม่ได้ฝันไป”

 

 

ดังนั้นท่านก็รีบๆ นอนได้แล้ว