ตอนที่ 121 เป่ยเฉินอี้จอมยุทธ์แบกหม้อดำอันดับหนึ่ง!

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

จวนอี้อ๋อง

 

 

ชิงเกอกลับมารายงานข่าว “ท่านอ๋อง เป็นอย่างที่ท่านคิด ซือหม่าหรุ่ยกลับถึงจวนองค์ชายสี่แล้ว เยี่ยเม่ยไปรับนางกลับมาด้วยตัวเอง อีกอย่างข้างกายเยี่ยเม่ยยังมีคนสวมหน้ากากเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน คาดว่าจะเป็นเซียวชิน”

 

 

“อืม” เป่ยเฉินอี้ตอบรับคำหนึ่งไม่พูดมากความ

 

 

ไม่ช้า ชิงเกอก็รายงานต่ออีกว่า “ยังมีอีกเรื่อง ในจวนองค์ชายสี่เหมือนจะไม่มีใครสนใจเรื่องเซี่ยชูมั่วเลยสักคน วันนี้ไม่มีคนไปจัดการนาง ไม่มีแม้แต่ส่งคนไปตักเตือน ดูท่าจะได้รับข่าวจากทางจงซานแล้ว แต่มีจุดหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ”

 

 

จงซานรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องห้ามไว้ ทำไมถึงรู้ว่าเซี่ยชูมั่วยังมีประโยชน์ ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องกับนางได้ เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ท่านอ๋องผิดหวัง เพียงแต่…

 

 

เป่ยเฉินอี้ดื่มชา เอ่ยเสียงขรึมว่า “ไม่เข้าใจอะไร ไม่เข้าใจว่าเยี่ยเม่ยกล้ำกลืนโทสะครั้งนี้ได้อย่างไรหรือ”

 

 

“ไม่ผิด” ชิงเกอเพียงคิดว่าท่านอ๋องช่างคาดการณ์แม่นยำราวเทพเทวดา แม้กระทั่งสิ่งที่เขาสงสัยยังตอบออกมาได้

 

 

เป่ยเฉินอี้หัวเราะ ตอบว่า “วางใจเถอะ วันนี้นางปล่อยไป วันหน้าคงไม่ปล่อย”

 

 

นอกเสียจากว่ามีเรื่องอื่นที่ต้องทำก่อนเท่านั้นเอง ด้วยนิสัยของเยี่ยเม่ย ไม่มีทางไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น นางยอมละเว้นชีวิตของเซี่ยชูมั่วก็ใจกว้างมากแล้ว แต่เรื่องอื่นนอกเหนือจากชีวิตก็ยากรับประกันได้

 

 

ชิงเกอเพิ่งเข้าใจ เพราะเขารู้ว่าเยี่ยเม่ยแตกต่างจากองค์หญิงซี องค์หญิงซีเป็นคนจิตใจเมตตา ต่อให้คนอื่นทำร้ายนาง หากเป็นเรื่องเล็กองค์หญิงซีก็ไม่เก็บไปใส่ใจ แต่ว่าเยี่ยเม่ยต่างกัน นางต้องคิดบัญชีอย่างแน่นอน ต่อให้ไม่อาจสังหารคนได้ แต่ก็ไม่มีทางไม่ถามไถ่เหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

 

ที่แท้ก็คือ…

 

 

ยังไม่ทันลงมือสินะ

 

 

เขาปรายตามองเจ้านายถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าเยี่ยเม่ยจะเอาคืนเซี่ยชูมั่วอย่างไร”

 

 

เป่ยเฉินอี้นิ่งไปสักครู่ พลันคิดเรื่องน่าขันออกมาได้ในชั่วขณะ หัวเราะครู่หนึ่ง ค่อยตอบด้วยเสียงนิ่งขรึมว่า “บางทีอาจจะสาดน้ำโคลนนี้ใส่ข้าอีกครั้งแล้ว”

 

 

หลังจากชิงเกออึ้งไปเล็กน้อย ก็ฉุกคิดได้ มองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่อยากเชื่อสายตา ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าเป็นไปได้มากที่แม่นางเยี่ยเม่ยจะใช้ท่านเพื่อต่อกรกับเซี่ยชูมั่วหรือ”

 

 

“อืม” เป่ยเฉินอี้ยิ้มพยักหน้า มองไม่เห็นความโมโหจากใบหน้าเขา

 

 

ชิงเกอแอบกุมขมับ รู้สึกจากเบื้องลึกในใจว่าท่านอ๋องช่างโชคร้าย ทำไมคนอยู่บ้านดีๆ ก็มีหม้อตกลงมาจากฟ้าให้แบกกันเล่า

 

 

คนที่ชอบท่านอ๋องอย่างเซี่ยชูมั่ว ใส่ร้ายท่านอ๋องไปคนหนึ่ง คนที่เกลียดท่านอ๋องอย่างเยี่ยเม่ยยังจะซ้ำเติมลงมาอีก นี่มันบ้าไปแล้ว

 

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่านอ๋องของเขา นอกจากชื่อเสียงในด้านดีอย่างปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว ยังมีฉายาเป็นจอมยุทธ์แบกหม้ออันดับหนึ่งด้วย

 

 

เขาปรายตามองเป่ยเฉินอี้ ถามว่า “ท่านอ๋อง งั้นท่านไม่คิดทำอะไรบ้างหรือ คิดจะแบกความผิดนี้แล้วหรือ”

 

 

นี่มันเรื่องบ้าบออันใดกัน

 

 

หลังจากเป่ยเฉินอี้เงียบไปได้สักพัก ก็หัวเราะออกมา “ไม่ต้องแล้ว เยี่ยเม่ยโมโหเซี่ยชูมั่ว เพราะเรื่องในปีนั้น นางขุ่นเคืองข้า เวลานี้ก็แค่บังเอิญร่วมมือกับข้า ในใจนางยังมีความแค้นเข้ากระดูก ข้ายอมรับน้ำโคลนถังนี้ บางทีความขุ่นเคืองในใจนางอาจสลายได้บ้าง นางจะได้รู้สึกดีขึ้นสักหน่อย”

 

 

อันที่จริงความรู้สึกขุ่นเคืองคั่งแค้น ในเวลาที่ลงโทษผู้อื่นนั้นก็พลอยลงโทษตัวเองไปด้วยไม่ใช่หรือ ในขณะที่แค้นเขา แค้นราชสำนักเป่ยเฉิน หัวใจของเยี่ยเม่ยก็ถูกไฟร้อนแรงแผดเผาเช่นกัน

 

 

เขาเข้าใจได้ หากทำให้นางสบายใจขึ้นมาบาง เขาถูกให้ร้ายมากอีกสักครั้งก็ไม่เป็นไร

 

 

ยามนี้ชิงเกอถามอีกว่า “ท่านอ๋อง ท่านเคยคิดไหมว่าท่านยังรักเยี่ยเม่ยอยู่อย่างนั้นหรือ”

 

 

ความจริงเยี่ยเม่ยกับจงเจิ้งซีหาใช่คนเดียวกันอีกแล้ว สองคนนี้นอกจากรูปร่างหน้าตาเป็นพิมพ์เดียวกัน นอกจากฐานะเดียวกันแล้ว นอกจาก…ยังเป็นคนที่ท่านอ๋องรักคนนั้นดังเดิม แต่ว่านิสัยใจคอ ฝีไม้ลายมือรวมถึงความรู้สึกที่มอบให้ผู้อื่นนั้น ล้วนเปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้น เช่นนั้น นางยังจะเป็นคนที่ท่านอ๋องปักใจรักอย่างนั้นอยู่อีกหรือ

 

 

คำถามนี้ทำเอามือที่ถือถ้วยชาของเป่ยเฉินอี้สั่นไปเล็กน้อย แววตาเขาพลันปรากฎประกายวาบหนึ่ง เป็นความกังวลกลัดกลุ้มสับสนวุ่นวาย เพียงเสี้ยววินาทีเหมือนเขาได้เห็นนางยืนอยู่ใต้ต้นท้อ เผยรอยยิ้มไร้เดียงสาไร้ความกังวล

 

 

เขาตอบเสียงเบา “คนที่ข้ารักคือจงเจิ้งซี หากถามว่าข้ายังมีความปรารถนาใดอีก นั่นก็คืออยากเห็นนางเป็นเหมือนตอนนั้น คลี่ยิ้มอย่างบริสุทธิ์อีกสักครั้งหนึ่ง”

 

 

แต่ว่าเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

 

 

เยี่ยเม่ยในยามนี้ ทั้งคน จิตใจ สีหน้า รวมไปถึงน้ำเสียงล้วนเย็นชา

 

 

นางไม่ใช่เด็กสาวจิตใจงดงามไร้เดียงสาเหมือนปีนั้นอีกแล้ว ส่วนเขาเป่ยเฉินอี้ก็เป็นตัวการที่สร้างมันขึ้นมา

 

 

ดังนั้นความรับผิดชอบนี้ เขาต้องแบกรับไว้

 

 

ชิงเกอฟังแล้วก็อดใจไม่ไหว บ่นอุบในใจว่า ความฝันของท่านอ๋องเกรงว่าคงไม่มีวันเป็นจริงแล้ว คนใจคอเย็นชาอย่างเยี่ยเม่ย จะมีรอยยิ้มเช่นเดียวกับองค์หญิงซีได้อย่างไร

 

 

เป่ยเฉินอี้พลันหัวเราะ ถามว่า “ชิงเกอ เจ้าว่าหากนางแก้แค้นสำเร็จแล้ว หากเป่ยเฉินล่มสลายแล้ว ตัวการร้ายอย่างข้าตายไป นางจะ…จะกลับไปเป็นคนไร้กังวลเหมือนเดิมได้อีกไหม”

 

 

“ข้าน้อยไม่รู้” หรืออาจบอกได้ว่า ต่อให้คาดเดา ชิงเกอก็ไม่กล้าคาดเดา เขาไม่หวังให้สมมติฐานใดๆ ทำให้ท่านอ๋องต้องใช้ชีวิตเข้าแลก เพราะว่าหากมีวันนั้นจริงๆ ต่อให้นางกลับไปเหมือนเมื่อก่อน ท่านอ๋องก็ไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว

 

 

เป่ยเฉินอี้ยิ้ม สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้า ความจริงคำถามนี้ เขามีคำตอบอยู่ในใจ

 

 

เพียงแต่ว่าไม่ว่าตอบยังไง เขาก็ล้วนมองไม่เห็น ในเมื่อมองไม่เห็น เช่นนั้นก็เก็บไว้เป็นความทรงจำ หาก…เขาคาดเดาผิดล่ะ

 

 

ถึงชั่วชีวิตนี้ เขาทำพลาดครั้งเดียวคือไม่รู้ใจตัวเอง ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่เคยผิดอีก

 

 

เป่ยเฉินอี้ลุกขึ้น ถามว่า “หลายวันนี้ คอยจับตาดูเรื่องภายในค่ายทหาร จับตาดูเป่ยเฉินเสียงไว้หน่อย หาจุดบกพร่องของเขาให้ได้ ขอเพียงหาหลักฐานทำผิดของเป่ยเฉินเสียงได้ ถึงขับเขาออกจากทหารองครักษ์ที่เยี่ยเม่ยคุมเอาไว้ได้”

 

 

ฝ่าบาททรงวางเป่ยเฉินเสียงเป็นผู้ช่วยควบคุมดูแลไว้ในทหารองครักษ์ ยังไงก็ถือเป็นตัวปัญหา รีบจัดการเสียถึงจะดีที่สุด

 

 

“ขอรับ” ชิงเกอพยักหน้า แต่ก็ถามขึ้นต่อในไม่ช้า “แต่ท่านอ๋อง หากไม่พบข้อเอาผิดองค์ชายใหญ่เล่า ระยะนี้เกิดเรื่องใหญ่โต คิดว่าเขาน่าจะสงบใจไตร่ตรองเรื่องราวช่วงนี้ การกระทำทุกอย่างในช่วงเวลานี้คงจะระมัดระวังมาก เซี่ยโหวเฉินไปที่จวนองค์ชายใหญ่แล้ว ข้าน้อยเดาว่า เข้าคงไปแสดงสติปัญญาความฉลาดอยู่บ้าง”

 

 

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เซี่ยโหวเฉินก็เป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของท่านอ๋อง ต่อให้เขาคาดการณ์เรื่องราวได้ไม่เก่งเท่าท่านอ๋อง แต่ความสามารถของเขาก็ไม่อาจดูแคลน มิเช่นนั้นคงไม่ได้รับความไว้วางใจให้อยู่ข้างฝ่าบาทมานานหลายปี เสินเซ่อเทียนก็รู้เช่นกันว่าเซี่ยโหวเฉินมีใจคิดไม่ซื่อต่อราชบัลลังก์ แต่ก็ยังปล่อยเขาไว้ข้างกายฮ่องเต้ ไม่มีสาเหตุอื่น นอกจากรู้ทั้งรู้ว่าเซี่ยโหวเฉินเป็นเสือร้าย แต่พวกเขาจำเป็นต้องใช้งานเสือร้ายตัวนี้ ต่อให้การเลี้ยงเสือร้ายไว้ข้างกายอาจมีเภทภัย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีคนให้ใช้งาน อย่างไรเสียถึงเสินเซ่อเทียนจะแข็งแกร่งเพียงใด ฉลาดมาด แต่เทียบกันเรื่องแผนการแล้ว เสินเซ่อเทียนไม่ถนัดนัก

 

 

ความสำคัญของเซี่ยโหวเฉินในตอนแรกก็เพื่อกดข่มเป่ยเฉินอี้ไว้ วันนี้…ก็ถือเป็นคู่ต่อสู้ของเยี่ยเม่ยแล้ว ยามนี้ เซี่ยโหวเฉินช่วยเหลือเป่ยเฉินเสียง สำหรับพวกเขาแล้วย่อมเป็นตัวปัญหาใหญ่

 

 

เป่ยเฉินอี้หัวเราะ “รอไปก่อน รอความระแวงสงสัยของฮ่องเต้หมดไป ค่อยลงมือกับเป่ยเฉินเสียง เขามีจุดอ่อนก็ดี หากไม่มีก็ช่วยเขาสร้างมันขึ้นมา”

 

 

“ข้าน้อยทราบแล้ว”

 

 

ก็เหมือนกับเรื่องจุดอ่อนอย่างจ้าวเยว่และเฉินควน นั่นก็คือสิ่งที่ท่านอ๋องสร้างขึ้นไม่ใช่หรือ เพียงแค่สตรีนางเดียวก็สามารถกำจัดแม่ทัพสองคนของเป่ยเฉินเสียงและกำลังทหารสองแสนนางของเป่ยเฉินเสียงไปได้ ไม่แปลกที่ฮ่องเต้และเป่ยเฉินเสียงจะเกลียดท่านอ๋องเข้ากระดูก

 

 

ชิงเกอเอ่ยต่อว่า “ท่านอ๋อง ข้าพบว่าระยะนี้ เซี่ยโหวเฉินสนใจจงรั่วปิงเป็นพิเศษ มักไปวนเวียนอยู่หน้าประตูจวนจงซานอยู่เรื่อย แต่ไม่กล้าเข้าไป ดูท่าแล้วไม่ได้ทำเพียงเพราะฐานะลูกสาวของจงซานธรรมดาๆ เท่านั้น ท่านว่าเซี่ยโหวเฉินจะจริงใจกับนางหรือไม่”

 

 

เป่ยเฉินอี้นิ่งเงียบ คิดได้ว่าเขาเคยพบจงรั่วปิงมาก่อนตอนที่อยู่ชายแดน ถึงนางจะปรากฏตัวข้างกายเยี่ยเม่ยไม่บ่อยเท่ากับซือหม่าหรุ่ย แต่ก็ได้พบหลายครั้ง พอเข้าใจอยู่บ้าง ในที่สุดเป่ยเฉินอี้ก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “เซี่ยโหวเฉินอยู่ในราชสำนักมานาน จิตใจทะเยอทะยาน นิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบาย ความคิดลุ่มลึก จงรั่วปิงเติบโตอยู่ในยุทธภพ ไร้เดียงสา ทั้งมีใจผดุงคุณธรรม เซี่ยโหวเฉินเบื่อสตรีในห้องหอที่อยู่ในเมืองหลวงมานานแล้ว ชอบจงรั่วปิง ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่…”

 

 

เมื่อแสดงความคิดถึงตรงนี้ มุมปากเขาเหยียดเป็นเชิงเหน็บแนม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เป้าหมายของเขาไม่น่าใช่ชอบคนผู้หนึ่งเท่านั้น หวังแต่ว่าจงรั่วปิงจะไม่ถูกหลอกใช้อย่างถึงที่สุดก็พอ”

 

 

“คงไม่มีผลกระทบต่อแผนการของพวกเรากระมัง” ชิงเกอถาม

 

 

ไม่ว่าอย่างไรจงรั่วปิงก็เป็นบุตรสาวของจงซาน ไม่แน่อาจจะรู้เรื่องของพวกเขาทั้งหมด ถึงจงซานมีฐานะเป็นไป๋หลี่ซือซิว ไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่ว่าความสัมพันธ์สนิทสนม ต่อให้บอกเรื่องของเยี่ยเม่ยกับจงรั่วปิง ก็ไม่น่าแปลกอะไร

 

 

หลังจากเป่ยเฉินอี้ชะงักไป ในที่สุดก็แสดงความเห็นว่า “ก็ต้องดูว่าเซี่ยโหวเฉินจะรู้อะไรมากน้อยจากจงรั่วปิงได้เท่าไร”

 

 

เมื่อเอ่ยแล้วเป่ยเฉินอี้ก็ยิ้มอีกครั้ง เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าหวังว่าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของข้า จะไม่ดำเนินตามรอยข้า”

 

 

ชิงเกออึ้งไปแล้ว คล้ายกับว่าเรื่องคงเป็นเช่นนี้ ปีนั้นท่านอ๋องชอบจงเจิ้งซี เดิมคิดว่าชอบนางเพียงผิวเผิน น่าจะปล่อยวางได้ เห็นการใหญ่เป็นสำคัญ ลงมือจนสำเร็จ

 

 

เซี่ยโหวเฉิน…ตอนนี้ชอบจงรั่วปิง เป้าหมายที่เข้าหานางก็ไม่ได้บริสุทธิ์นัก ทั้งยังจะแต่งงานกับนางด้วย จุดจบคงจะไม่ใช่…

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชิงเกอพลันรู้สึกคล้ายถูกน้ำเย็นราดไปทั้งถัง เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เช่นนั้นเรื่องนี้…”

 

 

เป่ยเฉินอี้ส่ายหน้าแล้วส่ายหน้าอีก หัวเราะเสียงขรึมว่า “วางใจเถอะ ต่อให้เขามีโอกาสชนะได้บ้าง แต่ว่ามีข้าอยู่ เซี่ยโหวเฉินไม่มีทางเดินมาถึงขั้นเดียวกับข้า อย่างน้อยเขาก็ทำร้ายเยี่ยเม่ยไม่ได้ ทั้งสังหารจงซานไม่ได้ นี่ถือว่าอาจารย์อย่างข้า ช่วยเขาสักหนก็แล้วกัน”

 

 

เซี่ยโหวเฉินมีความสามารถแค่ไหน ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว ระหว่างศิษย์อาจารย์ เป่ยเฉินอี้มีความมั่นใจว่าจะชนะ ต่อให้เซี่ยโหวเฉินได้เปรียบบ้าง แต่อย่างน้อยญาติของจงรั่วปิง ไป๋หลี่ซือซิวคือกุนซือคนสำคัญข้างกายของเยี่ยเม่ย เซี่ยโหวเฉินไม่อาจแตะต้องได้

 

 

ดังนั้นหลังจากที่เซี่ยโหวเฉินไม่อาจทำร้ายคนรอบกายจงรั่วปิง ก็ยังมีโอกาสได้รับการให้อภัย เช่นนั้น… เซี่ยโหวเฉินกับจงรั่วปิงก็ไม่มีทางเดินมาถึงจุดจบเดียวกับตัวเขาและจงเจิ้งซี

 

 

หากเป็นเช่นนี้ บางทีสุดท้ายเซี่ยโหวเฉินกับจงรั่วปิงยังสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้อีกกระมัง

 

 

ก็เหมือนเขาที่เอาแต่คิดว่าหากสูญเสียคนของราชสำนักจงเจิ้งไม่มาก เพียงชาวบ้านตายไม่เท่าไร หลังจากที่เขาส่งมอบราชโองการและกินยาพิษแล้วติดตามมาทัน สามารถใช้ชีวิตตัวเองแลกกับชีวิตจงเจิ้งซีเอาไว้ได้ เช่นนั้นระหว่างเขากับนางบางทีอาจยังมีจุดที่ถอยหลังกลับมาได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำว่าถ้าหาก และก็เพราะว่าระหว่างพวกเขาไม่มีคำว่าถ้าอีก ดังนั้นเขาจึงไม่มีคำตอบแล้ว

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คำตอบก็ต้องให้เซี่ยโหวเฉินและจงรั่วปิงมอบให้เขาแล้ว

 

 

ชิงเกอมองเขาทีหนึ่ง พลันถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าทำไมท่านอ๋องน้อยถึงเกลียดท่านเช่นนี้”

 

 

ชิงเกอจำได้ ในปีนั้นท่านอ๋องบอกว่าท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวมีคุณสมบัติใช้ได้ ตอนที่จะรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์ เซี่ยโหวเฉินดีใจเป็นอย่างยิ่ง เบิกบานอย่างถึงขีดสุด เขาเลื่อมใสเป่ยเฉินอี้เป็นอย่างมากถึงขั้นนอนไม่หลับเพราะความเบิกบานไปหลายคืน

 

 

แต่ว่าภายหลัง…

 

 

เป่ยเฉินอี้อึ้ง สุดท้ายก็หัวเราะออกมา เอามือไพล่หลังตอบว่า “ข้ากับเขาเพาะสิ่งนี้ขึ้นด้วยกัน นั่นคือผลแห่งความเกลียดชัง ดังนั้นเมื่อออกผลมาเช่นนี้ หากทำให้เขาพ่ายแพ้อีกครั้ง ทำลายแผนการของเขาก็เท่ากับช่วยเขากับจงรั่วปิงครั้งหนึ่ง ก็ถือว่าข้าผู้เป็นอาจารย์คืนสิ่งที่ติดค้างเขาอยู่เถอะ”

 

 

ชิงเกอพยักหน้าไม่พูดอีก