ตอนที่ 472 หวนคืนสำนักศึกษา โดย ProjectZyphon

เหล่าคนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรอยู่ไม่นานก็จากไปภายใต้การนำของหลินไหวเหริน ราวกับพวกเขารู้ว่าอยู่ต่อก็ไม่มีความหมายอันใดอีกต่อไปแล้ว

หลินสวินไม่ได้รั้งเอาไว้ มองพวกเขาจากไปแล้วจึงพูดว่า “ลุงจง หลังจากนี้ท่านจับตาดูคนเหล่านี้ให้ดี หากเจอความผิดปกติอันใดก็คุมตัวพวกเขาเอาไว้ทันที!”

หลินจงพยักหน้า

เขาเองก็รู้ดีว่ายามนี้สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตอันตรายอย่างยิ่ง หากภายในยังไม่สามารถรักษาความมั่นคงได้อีก ผลที่ตามมาจะต้องร้ายแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เป็นแน่

“หลินสวิน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

พญาแร้งถาม

“นับตั้งแต่วันนี้ให้ปิดภูเขาชำระจิต ทุกท่านรั้งอยู่ที่นี่ชั่วคราว ใช้ชีวิตที่ตัดขาดจากโลกภายนอกสักระยะ สำหรับเรื่องภายนอก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าคนเดียวก็พอแล้ว”

หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าผ่านการใคร่ครวญมาอย่างรอบคอบแล้ว นัยน์ตาดำขลับสงบมั่นคง น้ำเสียงราบเรียบ

“เจ้าคนเดียวงั้นหรือ”

พญาแร้ง เสี่ยวเคอและหลินจงต่างตะลึง แม้แต่จูเหล่าซานที่นิ่งขรึมพูดน้อยมาโดยตลอดยังอดมองหลินสวินไม่ได้

พวกเขาต่างรู้ดีว่า หากหลินสวินทำเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาจะไปรับมือกับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉิน รวมทั้งตระกูลรองที่เหลืออย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุเพียงลำพัง!

หลินสวินจะทำได้หรือ

แม้แต่พญาแร้งยังอดสงสัยไม่ได้ นี่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดนะ

สุดท้ายหลินสวินไม่ได้เปิดเผยเหตุผลที่ตัดสินใจเช่นนี้ เพราะไม่อยากให้พวกเขาเป็นห่วง

ส่วนพวกพญาแร้ง แม้จะแปลกใจ แต่พอเห็นความแน่วแน่ของหลินสวินสุดท้ายก็จำต้องยอมรับ

……

ในวันเดียวกัน หลินสวินได้ออกจากภูเขาชำระจิตโดยมีจูเหล่าซานและหลินจงติดตามไปด้วย

และในวันนั้นเองที่ภูเขาชำระจิตปิดเขาอย่างสิ้นเชิง ตัดขาดจากโลกภายนอก

ในฐานะหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจ บนภูเขาชำระจิตเองก็มีการวางค่ายกลป้องกันใหญ่อันลึกลับ แม้ราชันระดับสังสารวัฏมา ก็ยากจะบุกรุกเข้าไปได้

ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงไม่กังวลว่าตระกูลจั่วและฉินจะบุกเข้ามาแก้แค้นไล่ล่าสังหารบนภูเขาชำระจิต

ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้จั่วหยางและฉินซิงถูกคุมตัวอยู่บนภูเขาชำระจิต ตระกูลจั่วและฉินอยากจะแก้แค้น ก็ต้องใคร่ครวญถึงผลกระทบที่จะตามมาด้วย

“นายน้อย นี่ท่านจะไปขอความช่วยเหลือที่สำนักศึกษามฤคมรกตหรือขอรับ”

ตอนที่นั่งอยู่บนเกี้ยวสมบัติ จู่ๆ หลินจงก็ถามขึ้น

“พึ่งคนอื่น ไม่สู้พึ่งตัวเอง”

หลินสวินส่ายหน้า สายตาลึกล้ำ เอ่ยพูดราบเรียบ “ลุงจง ท่านเชื่อหรือไม่ว่า อีกไม่นานจะมีคนมากมายเข้ามาให้ความช่วยเหลือข้าเอง”

หลินจงหัวใจสะท้าน จ้องมองโครงหน้าคมสันสุภาพหล่อเหลาของหลินสวิน ครู่ใหญ่จึงพูดอย่างแน่วแน่ “เชื่อ”

หลินสวินอึ้ง “ลุงจงไม่สงสัยอะไรหน่อยเลยหรือ”

หลินจงยิ้มซื่อๆ พูด “การตัดสินใจของนายน้อยไม่เคยผิดมาแต่ไหนแต่ไร”

พูดถึงตรงนี้เขาลังเลอยู่ครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “นายน้อย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้ว่า…แม้ว่าสุดท้ายจะต้องเสียภูเขาชำระจิตไป ท่านก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อ!”

หลินสวินขานรับว่าอื้มคำหนึ่ง แล้วหลับตาจมสู่ห้วงความคิด

ตั้งแต่ในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน จ้าวไท่ไหลเจ้าของหลังม่านของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ได้เข้ามาพูดเรื่องราวที่ลึกลับยิ่งกับเขาโดยเฉพาะ

ห้าปี!

ภายในห้าปีนี้ บุคคลยิ่งใหญ่ลึกลับในวังหลวงท่านนั้นรับรองได้ว่า อวิ๋นชิ่งไป๋แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าจะไม่ปรากฏตัว

จวบจนกระทั่งยามนี้หลินสวินยังจำคำพูดของจ้าวไท่ไหลในตอนนั้นได้แม่น… ‘เจ้าก่อเรื่องได้ตามสบาย ยิ่งสร้างความฮือฮาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี โดยเฉพาะที่สำนักศึกษามฤคมรกต ก่อเรื่องจนเหล่าหัวหน้าสาขาต่างเริ่มหันมาสนใจเจ้าด้วยจะดีที่สุด แบบนั้นมีแต่จะเป็นผลดีต่อสถานการณ์ของเจ้า’

‘จักรวรรดิไม่มีทางนิ่งดูดาย มองดูยอดฝีมือตัวจริงเผชิญปัญหาเพียงลำพังโดยไม่สนใจแน่ แต่ทั้งหมดนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เจ้ามีกำลังและความสามารถที่ควรค่าแก่การได้รับความสนใจจากจักรวรรดิ สำหรับจักรวรรดิแล้ว เจ้ายิ่งเก่งกาจเท่าไหร่ก็ยิ่งมีค่าเท่านั้น หากวันหนึ่งมีเรื่องเดือดร้อน จักรวรรดิจะต้องเตรียมทางหนีทีไล่ให้เจ้าไว้แน่!!’

คำพูดนี้เข้าใจง่ายมาก และนี่ก็เป็นที่มาที่ทำให้หลินสวินกล้าไปเผชิญหน้ากับอันตรายทั้งหมดเพียงลำพังในครั้งนี้

ทว่าหลินสวินไม่มีทางฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่คนอื่น เขามีการจัดการและการวางแผนของตน

เหมือนอย่างที่เขาพูดกับหลินจงก่อนหน้านี้ พึ่งคนอื่นไม่สู้พึ่งตัวเอง!

เมื่อตนยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมากพอ ใครที่ไหนจะยังกล้ามาหาเรื่อง

หลังจากได้ไปเยือนแดนวิญญาณโบราณ ทำให้หลินสวินได้เปิดโลกทัศน์ มองเห็นอีกด้านของโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อเทียบกับดินแดนรกร้างโบราณ จักรวรรดิจื่อเย่าที่กว้างใหญ่นี้ก็เป็นเพียงแค่เขตพื้นที่บริวารเท่านั้น

หากแม้แต่ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้ยังจัดการไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปดินแดนรกร้างโบราณและแก้แค้นให้กับญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วเลย

จู่ๆ หลินสวินก็ลืมตาขึ้นเอ่ยว่า “ลุงจง อย่าลืมส่งสารไปถึงตระกูลรองทั้งสาม ธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุ ว่าข้อตกลงสามปีที่ข้ารับปากพวกเขาเอาไว้ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในเมื่อพวกเขาเลือกจะหักหลังภูเขาชำระจิต ร่วมมือกับตระกูลจั่วและฉิน ก็ต้องชดใช้อย่างสาสมกว่าเดิม”

พูดถึงตรงนี้ความเย็นเยียบพลันวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของหลินสวิน “บอกพวกเขาว่า ภายในครึ่งปีนี้ให้ตัดขาดจากตระกูลจั่วและฉินซะ มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเขารู้ว่าผลของการหักหลังนั้นรุนแรงเพียงใด!”

หลินจงตัวสะท้าน พยักหน้าอย่างเคารพ

……

ณ สำนักศึกษามฤคมรกต

เป็นเวลาเที่ยงวัน เหล่าศิษย์ต่างเลิกเรียนกันแล้ว ภายในสำนักศึกษาที่เงียบสงบและเก่าแก่มีหนุ่มสาวที่ดูสดใสมีชีวิตชีวาเต็มไปหมด

พวกเขาสวมเครื่องแบบศิษย์แบบเดียวกัน ดูหนุ่มสาว ฮึกเหิมและเต็มไปด้วยพลัง ราวกับพระอาทิตย์ที่เพิ่งทะยานสู่ฟ้า อนาคตที่ไร้ขีดจำกัด

เกี้ยวสมบัติคันหนึ่งหยุดลง หลินสวินเดินลงมาและโบกมือบอกลาหลินจงกับจูเหล่าซาน ก่อนหันกลับมาหายใจเข้าลึกๆ ก้าวเท้าเข้าไปในสำนักศึกษามฤคมรกตที่ไม่ได้มาเยือนเกือบสองเดือน

“หืม คนๆ นั้นดูคุ้นๆ”

“หลินสวิน! ไม่สิ อาจารย์เสี่ยวหลิน ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวแล้ว!”

พอหลินสวินปรากฏตัว ไม่นานก็มีคนจำได้และสร้างความฮือฮาขึ้นทันที

ข่าวนี้แพร่สะพัดเข้าไปในสาขามังกรเร้น สาขายุทธ์วิถี สาขายอดยุทธศาสตร์ สาขาสลักวิญญาณและสาขากลยุทธ์เทพด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ

“อะไรนะ หลินสวินยังจะกล้าปรากฏตัวอีกหรือ หรือเขาไม่รู้ว่ายามนี้มีคนมากมายอยากเอาชนะเขา เพื่อล้างความอับอายให้กับราชวงศ์”

“ข้าจำได้ว่ายามนี้ภูเขาชำระจิตถูกตระกูลจั่วและฉินปิดล้อมเอาไว้แล้ว สถานการณ์อันตรายยิ่ง เหตุใดหลินสวินจึงมาที่สำนักศึกษามฤคมรกต เขามาขอความช่วยเหลืองั้นหรือ”

การกลับมาของหลินสวินทำให้สำนักศึกษามฤคมรกตคึกคักขึ้นมา เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทุกแห่งหน

ช่วยไม่ได้ ชื่อเสียงของหลินสวินโด่งดังมากจริงๆ เป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่เป็นดั่งตำนานก็ไม่ปาน สร้างเรื่องฮือฮาอย่างที่สุดในนครต้องห้ามเรื่องแล้วเรื่องเล่า แต่ละเรื่องล้วนนำพามาซึ่งปั่นป่วนโกลาหล เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน

ดูตำแหน่งของเขาเสียก่อน เด็กหนุ่มปรมาจารย์สลักวิญญาณที่ได้รับคำเชิญเป็นพิเศษจากสำนักศึกษามฤคมรกต สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและภาคีนักสลักวิญญาณ ผู้ครอบครองภูเขาชำระจิต ผู้นำตระกูลหลิน!

ใครจะจินตนาการได้ว่า ภายใต้เกียรติยศอันรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบหกเท่านั้น

ถ้านับความฮือฮาที่เขาเคยสร้างขึ้นอย่างละเอียดก็ยิ่งน่าทึ่ง

เขาสยบฮวาอู๋โยว ซัดลูกหลานตระกูลซ่งจนร่วง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ‘เสียงร้องแห่งเก้ามังกร’ ซ่อมแซม ‘กระบี่เบิกฟ้า’ ของจักรพรรดินีพระองค์ปัจจุบัน…

ฉู่ไห่ตงซึ่งอยู่ในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ เพราะล่วงเกินเขาจึงถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ไอ้โง่’ กลายเป็นตัวตลกในนครต้องห้าม

ผู้อาวุโสของฉู่ไห่ตง ฉู่ซานเหอรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณหมายจะลงมือเล่นงานหลินสวิน สุดท้ายก็พลาดท่าเสียหน้าจนจำต้องเก็บตัวชั่วคราว ไม่มีหน้าออกมาอีก

แม้แต่ต้นกำเนิดของ ‘ลำนำผู้กล้า’ ที่ยามนี้เป็นที่กล่าวขานไปทั่วหล้า ก็ได้ยินมาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับหลินสวินอย่างมาก!

เรียกได้ว่าก่อนหน้านี้หลินสวินเป็นตัวประหลาดที่โดดเด่น นำพาความฮือฮาและความสั่นสะเทือนมาให้นครต้องห้ามมากเหลือเกิน

แต่ช่วงเวลาดีๆ มักอยู่ไม่นาน ก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี เขาทำอะไรตามอำเภอใจ เอาชนะฉือฉางเฟิง ยิ่งไปกว่านั้นคือบังคับให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า ล่วงเกินราชวงศ์และบุคคลชั้นสูงของจักรวรรดิ หาเรื่องใส่ตัวจนได้

สุดท้ายทำให้เขาพลาดโอกาสหนึ่งเดียวที่จะได้ไปฝึกยุทธ์ในดินแดนลี้ลับ

และก็เพราะเรื่องนี้ทำให้นครต้องห้ามตกอยู่ท่ามกลางความสั่นสะเทือน หลายคนต่างคิดว่าดาวอสูรอย่างหลินสวินจะต้องร่วงหล่นแน่ จุดจบนั้นน่าเป็นห่วง

และการที่หลินสวินเก็บตัวอยู่ในภูเขาชำระจิต ก็ทำให้คนภายนอกส่วนใหญ่คิดว่าหลินสวินรู้ว่าภัยมาถึงตัวแล้ว จึงจำต้องหดหัวกลับไป

ยามนี้หลังจากผ่านไปสองเดือน หลินสวินผู้เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มอิ่มจู่ๆ ก็ปรากฏตัวในสำนักศึกษามฤคมรกต แน่นอนว่าต้องดึงดูดความสนใจจากทุกสายตา

“หมอนี่ยังจะกล้าปรากฏตัวอีก คราวนี้มีเรื่องสนุกๆ ให้ดูแล้ว ข้าจำได้ว่าช่วงก่อนจั่วอวี้จิงที่ติดอันดับสามบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณของสำนักศึกษาเรา ได้ประกาศกร้าวว่าหากหลินสวินปรากฏตัว จะเล่นงานหลินสวินอย่างสาสมใช่หรือไม่”

“ไม่เพียงแค่จั่วอวี้จิง ข้าได้ยินมาว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งอัจฉริยะในสาขายุทธ์วิถีต่างรอสั่งสอนหลินสวิน เพื่อล้างความอายให้กับราชวงศ์”

“เฮ้อ เสียดายหลินสวิน ผู้กล้าที่โดดเด่นเช่นนี้เหตุใดจึงสร้างปัญหามากมายเพียงนี้”

สำนักศึกษามฤคมรกตในวันนี้เกิดมรสุมขึ้นเพราะการปรากฏตัวของหลินสวิน!

ส่วนหลินสวินในยามนี้กำลังสนทนากับเสิ่นทั่วอยู่

“หลินสวินเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ที่นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกต ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าบุกรุกเข้ามา เจ้ากลับมาคราวนี้ตั้งใจสอนอย่างสบายใจก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจความวุ่นวายภายนอก”

เสิ่นทั่วพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ปลื้มปิติยิ่งที่เห็นหลินสวินกลับมา

หลินสวินอดรู้สึกอุ่นใจไม่ได้ เดิมคิดว่าเพราะเรื่องราวในโลกภายนอกพวกนั้นจะทำให้เสิ่นทั่วไม่พอใจตน

เห็นได้ชัดว่าเขาคิดมากเกินไป

ถึงขั้นที่ว่า แม้รู้ดีว่าเขาหลินสวินล่วงเกินราชวงศ์และบุคคลชั้นสูง เสิ่นทั่วก็ยังกล้ารับรองความปลอดภัยของเขา จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่ารากฐานของสำนักศึกษามฤคมรกตแข็งแกร่งมากจริงๆ

ทว่าครั้งนี้หลินสวินไม่ได้มาลี้ภัยที่สำนักศึกษามฤคมรกตแต่อย่างไร

“ข้าอยากยืมใช้ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณสักระยะขอรับ”

หลินสวินบอกจุดประสงค์ของตน

“ได้”

เสิ่นทั่วรับปากโดยไม่หยุดคิด แต่ทันใดนั้นราวกับฉุกคิดอะไรขึ้นได้ ดวงตาพลันเบิกโพลง พูดอย่างตะลึง “เมื่อครู่นี้เจ้าว่าอย่างไรนะ ยืมใช้ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณงั้นหรือ”

หลินสวินพยักหน้า

เสิ่นทั่วมองหลินสวินอย่างไม่อยากเชื่อ เอ่ยว่า “เจ้า…เจ้าคงไม่ได้จะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณหรอกนะ”

ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณ เตรียมเอาไว้เพื่อหลอมชุดศึกสลักวิญญาณโดยเฉพาะ!

นี่เป็นเรื่องที่รู้กันดีในสำนักศึกษามฤคมรกต ดังนั้นเมื่อหลินสวินเอ่ยปากขอยืมใช้ชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณ แน่นอนว่าจะต้องทำให้เสิ่นทั่วตะลึงเป็นพิเศษ

“ใช่แล้ว”

หลินสวินเองก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง จึงพยักหน้าเรียบๆ

หลังจากได้รับคำยืนยัน ปรมาจารย์สลักวิญญาณอาวุโสอย่างเสิ่นทั่วนิ่งไม่อยู่แล้วจริงๆ แม้แต่ริมฝีปากยังสั่นไปด้วย

หากเขาจำไม่ผิด ปีนี้หลินสวินเหมือนจะอายุเพียงสิบหกเท่านั้น และเพิ่งเลื่อนขึ้นเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณไม่ถึงครึ่งปี

แต่ตอนนี้เขากลับบอกว่าจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ นี่มัน…

เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

…………………