ตอนที่ 249 ศาสตราเทพ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 249 ศาสตราเทพ

ณ วังหลวง

จวนองค์ชายสี่ ห้องอักษร

หยูเวิ่นชูร้อนรนและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ !

“เจ้าบ้า ! ”

“ฟู่เสี่ยวกวนมันเป็นคนบ้า ! ”

หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างยากที่จะสงบได้ สีหน้าทะมึนครึม

ฟู่เสี่ยวกวนยิงปืนใหญ่ใส่จวนฮุ่ยชินอ๋องถึง 5 นัด !

ยามที่ฮุ่ยชินอ๋องพาบุตรชาย 2 คนและครอบครัววิ่งออกมา เรียกได้ว่าน่าเวทนายิ่งนัก

ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด และเสื้อคลุมบนร่างยังคงมีประกายไฟติดอยู่ !

หยูฮวนบุตรคนรองของฮุ่ยชินอ๋องถูกระเบิดจนแขนขาด ท่อนล่างอนุผู้หนึ่งของฮุ่ยชินอ๋องได้หายไป หรือแม้แต่ตัวฮุ่ยชินอ๋อง ก็มีรอยเลือดอยู่หลายแห่ง คาดว่าน่าจะมาจากสะเก็ดระเบิด

ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะและเดินไปเบื้องหน้าฮุ่ยชินอ๋อง ทั้งยังเอ่ยอย่างขัดเขิน “ไอหยา ข้าต้องการเพียงระเบิดจวนชินอ๋องของท่าน ข้าควรจะส่งคนมาแจ้งให้พระองค์อพยพออกมาเสียก่อนจึงจะถูกต้อง ทำผิดไปแล้ว ๆ ขอไม่รบกวนแล้ว พวกข้าขอลา”

เขาโบกมือ และเรียกให้คนมามัดปืนใหญ่และลากออกไปอีกครั้ง

แต่มิได้กลับไปยังจวนฟู่ กลับตรงไปยังวังหลวง

ในตอนนี้ของสิ่งนั้นได้ถูกวางไว้ที่ลานด้านนอกภายในวังเตี๋ยอี๋

ฮองเฮาซั่งพาฮ่องเต้มาสำรวจ “นี่คือปืนใหญ่หงอีที่เจ้าเคยกล่าวไว้รึ ? ”

ฮองเฮาซั่งพยักหน้า

“เหตุใดจึงเป็นสีดำ ? ”

“หม่อมฉันเองก็เคยถามเขาเช่นกัน เขากล่าวว่า…เยี่ยงนั้นก็คลุมผ้าแพรสีแดงให้มัน มันก็จะเป็นปืนใหญ่หงอีแล้วมิใช่หรือ ? ”

ฮ่องเต้ตะลึงงันและส่ายหน้า “ไร้สาระยิ่ง…แต่เจ้าของสิ่งนี้ร้ายกาจอย่างที่เขาว่าเยี่ยงนั้นจริง ๆ รึ ? ”

“เขาบอกว่าเขาได้ทดสอบด้วยตนเองแล้ว กล่าวว่า…ฝ่าบาทโปรดอย่าทรงพิโรธ เพราะของสิ่งนี้มีพลังมากเกินไป เขามิสามารถหาสถานที่ที่ดีได้ในทันที คิดได้ว่าอีกไม่นานฮุ่ยชินอ๋องก็จะจากไปแล้ว สถานที่นั้นก็ใหญ่โต ดังนั้น…ดังนั้นเขาจึงยิงใส่จวนฮุ่ยชินอ๋องไป 5 นัด”

ฮ่องเต้ตกตะลึง ผ่านไปชั่วครู่ ก็หัวเราะเสียงดัง

“ไปไป ไปดูด้วยกันกับข้า”

……

……

เย็นวันนี้ได้กินอาหารเย็นที่จวนต่ง

นอกจากฟู่เสี่ยวกวนและศิษย์ทั้งสามจากสำนักเต๋า ก็ได้มีหยูเวิ่นหวินเพิ่มมาอีกคน

นางเองก็ต้องไปราชวงศ์อู่เช่นกัน

อาหารบนโต๊ะย่อมมีหงเซาซือจึโถว่ที่ฟู่เสี่ยวกวนชอบกิน เขากินอย่างเต็มที่ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย กินเกลี้ยงโดยแทบจะไม่ต้องล้างจาน ซึ่งทำให้ฮูหยินต่งยิ้มจนปากจะฉีกถึงหู

“เจ้านะ การไปราชวงศ์อู่ครานี้ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น อย่างไรเสียที่นั่นก็คือต่างบ้านต่างเมือง…มาทานให้เยอะ ข้าได้ยินมาว่าอาหารของราชวงศ์อู่หยาบเป็นอย่างมาก เจ้าไปครานี้ อีกหลายเดือนกว่าจะได้กลับมา”

กล่าวจบฮูหยินต่งก็คีบหงเซาซือจึโถว่หนึ่งชิ้นให้ฟู่เสี่ยวกวนด้วยตนเอง ต่งซิวเต๋อเฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ ยากที่กลืนอาหารในปากยิ่ง

เขารู้สึกไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก แต่ก็มิมีที่ให้ระบาย นั่นทำให้เขาที่เป็นบุตรชายเจ็บปวดยิ่งนัก

“พวกท่านสบายใจเถิด ฝ่าบาทได้ส่งทหารม้าดำ 500 นายตามไปด้วย และข้างกายก็ยังมีผู้มีฝีมือระดับสูงจากสำนักเต๋าทั้งสาม ความปลอดภัยของพวกข้าย่อมมิมีปัญหา”

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเยี่ยงนั้น ก็เพื่อให้ใจของฮูหยินต่งคลายความกังวล ดังนั้นฮูหยินต่งจึงได้คีบอาหารให้กับซูเจวี๋ย ซูโหรวและซูซู พร้อมกับกล่าวว่า “คงต้องไหว้วานพวกท่านทั้งสามแล้ว เสี่ยวกวนเป็นพวกชอบหาเรื่อง มีพวกเจ้าคอยคุ้มกันอยู่ ข้าก็วางใจ”

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังสงสัยว่าท่านแม่ยายได้เข้าใจตนเองผิดไปหรือไม่ ?

มันมีแต่ผู้อื่นมายั่วแหย่เขามิใช่หรือไง ?

ซูเจวี๋ยกล่าวขอบคุณ “พวกท่านสบายใจเถิด ขอเพียงแค่พวกเราทั้งสามยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะมิได้แตะแม้แต่ปลายเส้นผมของคุณชายฟู่”

สำหรับชาวยุทธ ฮูหยินต่งเคยมิชอบมาก่อน แต่ในตอนนี้นางกลับชอบอย่างมาก เพราะนางเคยได้ยินมาว่าคนทั้งสามจากสำนักเต๋าเก่งกาจยิ่ง

มีพวกเขาอยู่ จิตใจของนางก็รู้สึกโล่งลงไปไม่น้อย

หลังจากที่ทานอาหารอย่างครึกครื้น ต่งคังผิงก็พาฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ มานั่งข้าง ๆ โต๊ะน้ำชา

ต่งชูหลานต้มชา ต่งคังผิงหันมองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยถาม “เรื่องนั้นในวันนี้ เจ้าทำไปเพราะเหตุใด ? ”

“ทำให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรขอรับ… ท่านพ่อ อ่า ท่านลุง…”

ต่งชูหลานหน้าแดงด้วยความเขินอาย และลอบหยิกฟู่เสี่ยวกวนอยู่ใต้โต๊ะ

ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ท่านลุง เป้าหมายของข้าคือเพื่อให้ฝ่าบาททราบถึงความร้ายกาจของปืนใหญ่ นี่คือผลลัพธ์ของสิ่งนี้ เหตุใดปืนใหญ่ในอดีตจึงมิมีความหมายในทางปฏิบัติ นั้นมิใช่ปัญหาของปืนใหญ่ แต่เหตุมาจากด้านกลวิธีเฉพาะ หากฝ่าบาทได้เห็นผลของปืนใหญ่นี้ในการรบ คาดว่าคงเห็นความสำคัญของมัน มีเพียงแค่การเห็นความสำคัญของสิ่งนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ราชวงศ์หยูเป็นอันดับต้น ๆ ของทั้งใต้หล้านี้ได้”

ต่งคังผิงคิ้วขมวดในขณะที่ฟัง สิ่งที่เรียกว่าการค้นคว้าในราชวงศ์หยู หรือทั้งใต้หล้านี้ก็มิมีสิ่งที่เรียกว่าการวิจัยอย่างเป็นรูปเป็นร่าง เป็นเพียงสิ่งที่สืบต่อกันมาเท่านั้น ดังนั้นแม้แต่เหล่าช่างในกรมอุตสาหกรรม ก็แทบจะรับสมัครเอาตามท้องตลาด

เมื่อมาได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเยี่ยงนี้ เขาอยากจะไปเห็นจวนฮุ่ยชินอ๋องยิ่งนัก หากร้ายกาจดังที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาจริง ๆ เยี่ยงนั้นก็ควรทูลถวายฮ่องเต้ ลองดูว่าจะสามารถสอนการวิจัยเยี่ยงนี้ขึ้นที่สำนักศึกษาได้หรือไม่

พวกเขาไม่ทราบว่าฮ่องเต้ได้พาฮองเฮาไปที่จวนฮุ่ยชินอ๋องแล้ว หลังจากที่ได้ไปเห็นสภาพ และหลังจากที่ฮ่องเต้และฮองเฮากลับไปยังวังหลวง ฮ่องเต้ก็ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้และจ้องมองปืนใหญ่หงอีอยู่นานสองนาน

“ข้าได้ยินมาว่าท่านอาวุโสหลี่ว่าจ้างให้เจ้าเป็นผู้ช่วยสอนงั้นรึ ? ”

“แท้จริงแล้วข้ามิได้อยากจะเป็น แต่เขาต้องการให้ข้าเป็น แต่ข้าคิดว่าก็แค่การเพิ่มตำแหน่ง ทั้งยังได้รับ 30 ตำลึงทุกเดือน จึงได้รับคำไปแล้ว”

“นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเจ้าอย่างยิ่ง หลังจากกลับมาจากราชวงศ์อู่ เจ้าควรเข้าสอนที่สำนักศึกษาให้บ่อยครั้ง”

ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจ จึงเอ่ยถามขึ้นมา “เพราะเหตุอันใด ? ”

“เพราะ… บัณฑิตเหล่านั้น ภายภาคหน้าพวกเขาจะได้ตีตราในนามของเจ้า พวกเขาก็คือลูกศิษย์ของเจ้า ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจแล้ว

โลกนี้ให้ความสำคัญกับต้นกำเนิด

ด้วยชื่อเสียงของเขา เหล่าบัณฑิตที่เขาได้ฝึกสอนย่อมเป็นการประกาศว่าตนนั้นเป็นลูกศิษย์ฟู่เสี่ยวกวนไปโดยธรรมชาติ ซึ่งก็คือตรา

ต่อจากนั้นไม่ว่าบัณฑิตเหล่านั้นจะเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก หรือจะกลับบ้านเกิดไปทำสิ่งอื่น แม้ว่าฟ้าจะแตกต่างกัน ตราตัวนั้นก็ยังคงอยู่ และติดตัวไปชั่วชีวิต

หากเขาต้องการมีอำนาจของตนเองในราชสำนัก เขาต้องมีผู้ติดตามของตนเอง และบัณฑิตเหล่านั้นก็เป็นผู้ติดตามที่ดีที่สุด

ฮ่องเต้จะได้ไม่คิดว่าเขานั้นจัดตั้งพรรคพวกเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง อีกสี่ตระกูลทรงอำนาจที่เหลืออยู่ก็จะไม่คิดว่าเขานั้นเข้าไปคุกคามผลประโยชน์ของพวกเขา

เป็นการเติบโตที่หล่อเลี้ยงไปทั่วทุกพื้นที่อย่างเงียบ ๆ ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องการความช่วยเหลือ เขาเพียงชูแขนและกวัดแกว่ง เหล่าบัณฑิตที่ตีตราของเขาก็จะตอบสนองโดยธรรมชาติ

ช่างเป็นขิงแก่ที่เผ็ดร้อนจริง ๆ !

ฟู่เสี่ยวกวนละอายใจกับความคิดในแง่ลบของตนเองก่อนหน้านี้ยิ่ง แทบอดทนที่จะใช้เวลานี้ปรี่ไปหาเหล่าบัณฑิตที่อยู่ในสำนักศึกษานั่น…แล้วล้างสมองพวกเขาไว้

“ไปถึงราชวงศ์อู่ เจ้าย่อมพบกับเหวินสิงโจว ข้าคาดว่าบทกวีงานกวีเทศกาลโคมไฟของเจ้าเกรงว่าจะแพร่ไปถึงราชวงศ์อู่แล้ว ซึ่งนั่นมิใช่เรื่องดีนัก บทกวีของเหวินสิงโจวเป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือของงานกวีเทศกาลโคมไฟมาโดยตลอด นี่คือความภาคภูมิใจของราชวงศ์อู่ แต่เจ้ากลับไปเหยียบย่ำความภาคภูมิใจของพวกเขาเสีย ถึงแม้เหวินสิงโจวจะไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ลูกศิษย์ของเขากลับกระจายไปทั่วราชวงศ์อู่ ดังนั้นข้าคาดว่าคงมีคนมากมายมาท้าทายเจ้า ราชวงศ์อู่ให้ความสำคัญทางวิทยายุทธ์ พวกเขามิมีทางท้าทายเจ้าในเรื่องวรรณกรรมอย่างแน่นอน เจ้าจงระมัดระวังเอาไว้ ถึงจะยอมแพ้ก็ไม่ต้องกลัวเสียหน้าอันไร อย่างไรแล้วเจ้าก็เป็นนักวรรณกรรม”

ให้ตายเถอะ !

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าชายชราผู้นี้เก่งกาจ เขาแทบจะคาดการได้แล้วว่าตนจะเจออะไรที่ราชวงศ์อู่บ้าง แต่จนถึงวันนี้ตัวเขาก็ยังไม่รับรู้ถึงพลังแต่อย่างใด หรือกล่าวได้ว่าในทางวิทยายุทธ์ เขาเป็นกากเดนที่ไม่เข้าพวก

แล้วนี่จะเปรียบเทียบเยี่ยงไร ?

เยี่ยงนั้นก็ต้องหดหัวอย่างไรเล่า

ข้ามิแสดงตนออกไป พวกเจ้าก็ทำอันใดข้าไม่ได้ !

“ซ่อน ซ่อนอย่างไรก็ซ่อนมิมิด เพราะได้เกี่ยวข้องไปถึงหน้าตาของประเทศ แต่หากเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าพวกเขา ผู้อื่นก็จะมิคิดว่าเจ้านั้นแพ้อย่างแท้จริง รับรู้ถึงเหตุและผล แม้แต่ราชวงศ์หยูก็เข้าใจจุดนี้เช่นกัน ให้พวกเขากู้หน้ากลับมาในด้านการต่อสู้ก็มิเป็นไรนี่ สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คืองานวรรณกรรม เจ้าเพียงแต่ต้องชนะในงานวรรณกรรมเท่านั้น”

ฟู่เสี่ยวกวนรับฟังความคิดเห็นและข้อแนะนำของต่งคังผิงอย่างนอบน้อม หลังจากนั้นเขาจึงออกมาจากที่นั่น และเดินไปยังด้านหลังจวนกับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน

ด้านหลังจวนคือห้องของต่งชูหลาน

ย่อมมิมีอันใดเกิดขึ้นกับการไปที่นั่น เพียงแต่ไปดูตำราแผนการค้าของต่งชูหลานสำหรับการเดินทางไปราชวงศ์อู่

ความตั้งใจของต่งชูหลานนั้นชัดเจนยิ่ง คือต้องการสร้างสาขาถิงเหม่ยขึ้นในเมืองกวนหยุนของราชวงศ์อู่

ฟู่เสี่ยวกวนเคยได้กล่าวเกี่ยวกับสิ่งนี้ไปแล้ว จะทำกิจการต้องคิดการใหญ่ ต้องขยายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ นี่เป็นการขยายไปนอกประเทศคราแรก ต่งชูหลานต้องระมัดระวังและตั้งใจเป็นอย่างมาก

เมื่อมาถึงห้องส่วนตัว ฟู่เสี่ยวกวนก็ประหลาดใจกับห้องส่วนนี้อย่างมาก

นี่คือสถานที่ของสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน ตามที่เคยได้ดูละครมา ห้องสตรีมักจะมีสิ่งของหัตถกรรม แต่หลังจากที่เขาได้สำรวจห้องของต่งชูหลานมาชั่วครู่…เอาเถอะ ที่นี่มิมีสิ่งของในแบบสตรีสักอย่าง

หลังจากนั้นสายตาของเขาก็จดจ้องไปที่มุมห้อง !

สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง แม้แต่ใจก็เต้นแรงขึ้นกว่าเดิม !

หยูเวิ่นหวินที่สังเกตเห็นท่าทางของฟู่เสี่ยวกวน จึงได้เอ่ยถาม “เป็นอันใดกัน ? ”

ต่งชูหลานมองตามสายตาของฟู่เสี่ยวกวน ตรงมุมนั้นมีกล่องสีดำที่นางนำกลับมาจากหลินเจียงเมื่อปีที่แล้ว

“มิทราบว่าเป็นของสิ่งใด เปิดไม่ออก”

แต่เหมือนฟู่เสี่ยวกวนจะมิได้ยิน เขาปรี่เข้าไปอย่างรวดเร็ว และยกกล่องดำนั้นมา แล้ววางไว้บนโต๊ะอักษร

เพราะไม่ได้สนใจมาเนิ่นนาน กล่องดำนั้นจึงเต็มไปด้วยฝุ่น

ต่งชูหลานที่เห็นฟู่เสี่ยวกวนให้ความสำคัญถึงเพียงนั้น ก็หยิบผ้าเช็ดมือมาเช็ดฝุ่น และจึงเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้จักของสิ่งนี้รึ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนลูบกล่องดำนั้นอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่คุ้นเคยจากฝ่ามือ ทำให้เขาหัวเราะ

“ข้าคิดว่า ข้าน่าจะรู้จักมัน”

ต่งชูหลานชะงัก “เปิดได้เยี่ยงไร ? เป็นสิ่งใดกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ลายนิ้วมือ ร่างกายได้เปลี่ยนไปแล้ว ลายนิ้วมือจะยังใช้ได้ผลหรือไม่ ?

แต่วิญญาณของตนข้ามภพมา ตามหลักเหตุผลแล้ว ของสิ่งนี้มิควรจะตามเขามาด้วยจึงจะถูก

เขากลืนน้ำลาย ถูมือไปมา และกดนิ้วชี้ลงไปตรงตำแหน่งแสกนลายนิ้วมือของกล่องดำนั้นอย่างระมัดระวัง

เสียง แคร่ก ! ดังขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนตื่นเต้นอย่างมาก และมิมีเหตุผลอื่นใดที่จะกล่าวได้

กลอนล็อคของกล่องดำถูกเปิดออก

เขาเปิดกล่องดำนั้นออก สิ่งที่อยู่ด้านในคืออาวุธสามชิ้นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี !

บาร์เร็ตต์ปืนไรเฟิลต่อต้านอาวุธ !

ปืนพกเหยี่ยวทะเลทราย !

ทั้งยังมีดาบปลายกระบอกปืนอีกหนึ่งด้าม!

ชั้นที่สองคือลูกกระสุน กระสุนปืน .50BMG ห้านัด กระสุนปืนพก .44 สามสิบนัด !

มือของฟู่เสี่ยวกวนแตะที่บาร์เร็ตต์ เขาหยิบมันขึ้นมา พาดกับบ่าเล็งไปทางท้องฟ้าสีดำด้านนอกและเปิดกล้องส่องยามค่ำคืน เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่ง !

นี่ต่างหากที่เป็นรากฐานของข้าในโลกใบนี้ !

มีมันอยู่ในมือ หึหึ หากจงใจส่งเป่ยหวังฉวนมาให้เขา…เทพบู๊ก็แค่ผายลม

“นี่คือสิ่งใดกัน ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถาม

“ศาสตราเทพ ! ”