ตอนที่ 250 กฎระเบียบ

นายน้อยเจ้าสำราญ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสองวันที่ห้า

แม้จะเริ่มฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศก็ยังคงหนาวเหน็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเช่นนี้

รถม้าของต่งชูหลาน 2 คันได้จอดลงที่หน้าจวนฟู่ นางมีเพียงแค่สาวรับใช้นามเสี่ยวฉีติดตามมาด้วย ของใช้ก็เพียง 4 กระเป๋า

กระเป๋าหนึ่งบรรจุเสื้อผ้า กระเป๋าหนึ่งบรรจุน้ำหอม กระเป๋าหนึ่งบรรจุสบู่และอีกกระเป๋าหนึ่งบรรจุชุดชั้นใน

ของเหล่านี้คือสินค้าล็อตแรกที่จะนำไปราชวงศ์อู่ เพื่อลองค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมและวางขาย

ฟู่เสี่ยวกวนก็แสนเรียบง่าย นอกจากพี่น้องซูทั้งสามคนแล้ว เขานำไปเพียงชุนซิ่ว แน่นอนว่ากล่องสีดำนั้นได้ใส่ไว้ในรถม้าเรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน มีรถม้าทั้งสิ้น 6 คัน ท่ามกลางแสงไฟสลัวจากข้างถนน มุ่งตรงไปยังหงหลูซื่อ

ด้านหน้าประตูใหญ่ของหงหลูซื่อ มีบัณฑิตจำนวน 100 คนยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ พวกเขากำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าท่าทางชื่นชมยินดี ผู้ที่คุ้นเคยกับราชวงศ์อู่ได้เอ่ยถึงที่นั่น ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินว่า “พวกเจ้าไปถึงก็จะรู้เอง เมืองกวนหยุนที่มีชื่อเรียกว่ากวนหยุนนั้น มันมีความหมายว่าชมเมฆา เนื่องจากมันตั้งอยู่สูง มีเมฆลอยอยู่ท่ามกลางเมือง ทิวทัศน์งดงามยิ่ง ดังนั้น…”

เสียงนั้นเบาลง แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับได้ยินอย่างชัดเจน “ดังนั้นสตรีที่เมืองกวนหยุนผิวพรรณจึงผุดผ่องราวเมฆา ! ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่า ที่เมืองกวนหยุนนั้นมีจุดชมทิวทัศน์อยู่ 3 จุด จุดที่หนึ่งก็คือกวนหยุนถาย ที่นั่นเกรงว่าพวกเราคงไปมิได้ จุดที่สองคือจายซิงถาย ที่นั่นก็สูงมาก เกรงว่าพวกเราคงไปมิได้เช่นกัน ส่วนจุดที่สามนั้นก็คือหลิวหยุนถายตั้งอยู่ที่ทะเลสาบสือหลี่ ! ”

“ที่หลิวหยุนถาย เพียงแค่มีเงินก็ไปได้ สตรีที่นั่น หึ ๆ ๆ งดงามพอ ๆ กับหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาว พวกเจ้าไปเห็นด้วยตาตนเองแล้วจะรู้ แต่กฎระเบียบของหลิวหยุนถายกับหอนางโลมที่เมืองจินหลิงของเรามิเหมือนกัน เพียงเข้าไปก็ต้องจ่าย 10 ตำลึงเป็นค่าผ่านประตู ส่วนจะมีสตรีนางใดสนใจพวกเจ้าและร่วมดื่มด่ำค่ำคืนอันน่าอบอุ่นด้วยหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าแล้ว”

ดังนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น หลาย ๆ คนกระซิบกระซาบกันไปมา ฟู่เสี่ยวกวนเพียงยิ้มแล้วคิดว่าเจ้านี่หน้าเนื้อใจเสือเสียจริง !

บรรดาปัญญาชนมักชื่นชอบเรื่องนี้ นี่คือวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง มิใช่เรื่องผิดกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว

เขาลงจากรถ และพบว่าด้านนอกมีรถม้า 4 คันจอดอยู่ แต่ละคันช่างหรูหราโอ่อ่า !

หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ภายใน นางโบกมือมายังฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลาน

ทั้งสองเดินตรงเข้าไป หยูเวิ่นหวินยิ้มขึ้น “เราทั้งสามนั่งคันนี้เถิด นั่งสบายดี เสด็จแม่ทรงสั่งทำเมื่อครั้นเดินทางกลับไปยังเมืองฉีโจวเมื่อปีกลาย บัดนี้นางได้มอบให้แก่ข้าแล้ว”

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องดี ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างมีเลศนัย ต่งชูหลานเข้าใจในความคิดของเขาจึงหันไปชายตามองเขาด้วยใบหน้าร้อนผ่าว

แต่การเดินทางมาของฉินปิ่งจงเหนือความคาดหมายของเขา

ฉินปิ่งจงเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าฟู่เสี่ยวกวนพร้อมกับเอ่ยว่า “อย่าลืมไปถามเหวินสิงโจว หากเขามีหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีการศึกษาใหม่ ฝากนำกลับมาให้ข้าด้วย”

“ท่านพี่ฉินวางใจได้ ข้าจำได้ขึ้นใจ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยด้วยท่าทางเขินอายว่า “ช่วงนี้ข้ามีเรื่องให้จัดการมากทีเดียว มิได้เดินทางไปเยี่ยมท่านที่จวน อย่าได้ใส่ใจไป”

ฉินปิ่งจงโบกไม้โบกมือขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้ามิว่าง อีกทั้ง…ข้ากำลังวุ่นอยู่กับการเรียบเรียงตำรา เกรงว่าไม่มีเวลามากนัก หากเจ้าเดินทางไปที่จวน คาดว่าคงไม่มีเวลามากพอจะต้อนรับเจ้า”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ แล้วนึกถึงประโยคที่ชางกวนเหวินซิ่วเอ่ยกับเขา “ท่านอายุไม่น้อยแล้ว ข้าอยากจะนั่งดื่มชากับท่านเมื่อมีเวลาและประลองหมากรุกกับท่าน เรื่องตำรานั้นท่านจงทำเป็นงานฆ่าเวลาเถิด ข้าคิดว่าหากท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจไปทั้งหมด…ท่านพี่ โปรดฟังข้าสักประโยค ตำราเหล่านั้นจะต้องถูกเมินเฉยเข้าสักวัน”

ฉินปิ่งจงตกตะลึง “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ ?”

“ไม่ว่าจะเป็นสังคม ประวัติศาสตร์หรือว่าวัฒนธรรม ล้วนกำลังพัฒนาก้าวไปข้างหน้า เช่นเหวินสิงโจวที่ท่านกล่าวถึง จากการคิดการอ่านของเขา หากพบผู้ทรงปัญญา ก็อาจจะร่วมกันเริ่มลบล้างตำราไปได้ นี่คือการพัฒนาและเป็นส่วนหนึ่งที่ประวัติศาสตร์จำเป็นต้องมี แน่นอนว่าการปรับปรุงทางกฎหมายของเขายังไม่สมบูรณ์ แต่หากได้พัฒนาต่อไปตำราที่ร่ำเรียนกันมาช้านานจะได้รับการเติมเต็มและดียิ่งขึ้น”

ฉินปิ่งจงเผยท่าทีอันเหลือเชื่อออกมา ลึกลงในใจของเขาเชื่อคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง แต่ตำราเหล่านี้ได้ถูกฝังลึกในจิตใจเขาแล้ว และคิดว่าใต้หล้านี้ล้วนมีตำราสูงสุดเพียงเล่มเดียว

มันช่างขัดแย้งกันเสียจริง การปะทะกันของแนวคิดทั้งสองยากเกินกว่าจะตัดสินใจได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด

“ส่วนเรื่องทฤษฎีการศึกษาใหม่ ท่านพี่อย่าได้เป็นกังวลใจไป เนื่องจากมิใช่เรื่องที่ทำได้ในวันสองวัน รูปแบบการศึกษาทั้งสองจะปะทะกันแน่นอน และข้ามิอาจรู้ได้ถึงผลที่ออกมา แต่สิ่งเหล่านี้หาได้สำคัญไม่ ข้าเพียงหวังว่าท่านจะดูแลสุขภาพของตนให้ดี และดำรงชีวิตอย่างมีความสุขก็เพียงพอแล้ว”

ฉินปิ่งจงส่ายหัวแล้วเอ่ยอย่างตั้งใจว่า “หาได้ไม่ สิ่งนี้สำคัญยิ่ง ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จะเอ่ยอย่างไร ผู้ยึดมั่นในการศึกษาแบบเก่าอย่างเขามิได้เปลี่ยนความคิดไปแม้แต่น้อย

ฉินปิ่งจงยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าอยากจะเห็นการปะทะกันเช่นนี้…คาดว่า คงจะงดงามราวดอกไม้ไฟ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าชายชราผู้นี้เข้าใจสิ่งใดเกี่ยวกับดอกไม้ไฟผิดไปหรือไม่

นั่นคือการต่อสู้ถึงความเป็นตาย !

จะมีเลือดแปดเปื้อนทั่วประเทศ !

“เอาเถิด เจ้าจงไปทำธุระต่อ ข้าจะกลับแล้ว อย่าลืมนำหนังสือกลับมาให้ข้าด้วย ! ”

ฉินปิ่งจงโบกมือลาแล้วเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนมองดูแผ่นหลังอันง่อนแง่นและฝีเท้าที่หนักอึ้งของเขา แล้วคิดไปว่าตนช่างปากหนักเสียจริง การที่เอ่ยไปเช่นนั้น มีแต่จะทำให้เขาครุ่นคิดถึงความแตกต่างของการศึกษาทั้งสอง

ไม่นานต่อมา สวี่หวยซู่ชื่อหลางของกรมพิธีการและต่งเสียงฟางช่าวชิงแห่งหงหลูซื่อได้เดินออกมาจากด้านใน

ต่งเสียงฟางถือบัญชีรายชื่อไว้ในมือ จากนั้นได้ขานชื่อทีละคน สวี่หวยซู่ก้าวขึ้นมาข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า

“การเดินทางไปงานชุมนุมวรรณกรรม ณ ราชวงศ์อู่ครานี้ เป็นการประกาศความสามารถด้านวรรณกรรมของราชวงศ์หยู พวกเจ้าล้วนเป็นผู้มีความสามารถแห่งราชวงศ์หยู ข้าขอเอ่ยถึงกฎเกณฑ์ที่พวกเจ้าต้องจำสักเล็กน้อยว่า”

“ข้อที่หนึ่ง การเดินทางในครานี้ยาวไกลนัก ต้องทำตามที่กรมพิธีการกำหนดไว้ หากมีผู้ใดขัดขืน จะตัดสิทธิ์ทันที ทางสำนักศึกษาจะลบรายชื่อของผู้นั้นออกไป จงจำเอาไว้ให้มั่น ! ”

“ข้อที่สอง เมื่อเดินทางไปถึงยังเมืองกวนหยุนแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายจะพำนักที่สถานทูตแห่งราชวงศ์หยู หากมีผู้ใดออกนอกพื้นที่ จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการ หากเดินทางออกไปโดยพลการ จะตัดสิทธิ์ทันที ทางสำนักศึกษาจะลบรายชื่อของผู้นั้นออกไป จงจำเอาไว้ให้มั่นเช่นกัน ! ”

“ข้อที่สาม งานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ ฝ่าบาททรงคาดหวังไว้สูงว่าพวกเจ้าจะสร้างชื่อเสียงให้แก่ราชวงศ์หยู และประพันธ์กวีอันงดงามเป็นที่เลื่องชื่อได้ ผู้ใดที่ทำผลงานออกมาได้ดี หลังกลับไปยังเมืองหลวงแล้วมิต้องเข้าร่วมงานชิวเหวย ฝ่าบาทจะประทานตำแหน่งจิ้นซื่อให้ อีกทั้งตำแหน่งขุนนาง”

นี่จึงจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของบรรดาบัณฑิตทั้งหลายที่เดินทางมา คนกลุ่มนั้นฮือฮาขึ้น ต่างพากันคิดว่าหากสร้างผลงานได้เหมือนกับฟู่เสี่ยวกวน ได้รับตำแหน่งขุนนางระดับห้าในคราเดียว คงจะดีกว่าการรับหน้าที่เป็นนายอำเภอเขตไกลโพ้น และถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

“ขอทุกท่านอยู่ในความสงบ ! ” สวี่หวยซู่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เงียบเสียงลง เมื่อกลับสู่ความสงบอีกครั้ง เขาก็กล่าวขึ้นว่า

“ข้อสุดท้าย การเดินทางในครานี้ไม่ว่าที่ใด เวลาใด ทุกคนรวมถึงเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการ ให้ทำตามคำสั่งของไท่จงต้าฟู ฟู่เสี่ยวกวน หากผู้ใดขัดขืน…ประหาร ! ”