ตอนที่ 387 หว่านล้อม

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวชูจิ่นกล่าวมามากมายขนาดนี้ อย่างอื่นโจวเสาจิ่นล้วนจำไม่ได้ จำได้แค่ว่าเฉิงฉือจะย้ายออกไปอยู่บ้านอีกหลังที่ประตูเฉาหยางหลังจากที่พวกนางย้ายเข้าไปแล้ว นางกล่าวขึ้นว่า “เหตุใดต้องรอให้พวกข้าย้ายเข้าไปแล้วท่านน้าฉือถึงจะย้ายออกไปหรือเจ้าคะ ในเมื่อตัดสินใจว่าจะย้ายออกไปอยู่ที่ประตูเฉาหยางแล้ว เหตุใดถึงไม่ย้ายออกไปก่อนที่พวกข้าจะเข้าไปอยู่ จะได้หลีกเลี่ยงข้อกังหาที่อาจเกิดขึ้นในสวนแตงใต้ต้นลูกไหนนั้นได้”

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวชูจิ่นได้เห็นน้องสาวหัวรั้นขนาดนี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือนางไม่ได้รู้สึกโกรธหรือขุ่นเคือง ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าน่ารักน่าชื่นชม กล่าวยิ้มๆ ว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้มากเรื่องขนาดนี้ ท่านน้าฉือเป็นเจ้าบ้าน เขารอให้พวกเจ้าย้ายเข้าไปแล้วค่อยย้ายออก นั่นก็เป็นเพราะต้องรับรองแขก เป็นการให้เกียรติพวกเจ้า แต่เจ้ากลับปลุกปั่นให้เป็นปัญหาขึ้นมาได้ ระยะนี้เจ้าติดตามอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัว กฎระเบียบปฏิบัติที่เรียนมาเหล่านั้นเอาไปทิ้งที่ไหนหมดแล้วหรือ” จากนั้นกล่าวกับนางอย่างจริงจังและจริงใจว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือโปรดปรานเจ้า ดีกับเจ้า แต่เจ้าก็ต้องรู้จักความเหมาะสมรู้ว่าควรหยุดตรงไหนด้วยถึงจะถูก”

มิใช่ว่านางไม่รู้จักความเหมาะสม เป็นท่านน้าฉือต่างหากที่ไม่รู้จักความเหมาะสม!

แต่ถ้อยคำนี้นางจะกล้าพูดกับพี่สาวได้อย่างไร

นั่นต้องเป็นเหตุให้นำมาซึ่งคลื่นร้ายทะเลเดือดอย่างแน่นอน

ถึงเวลาท่านน้าฉือจะเสียหน้าได้

โจวเสาจิ่นได้แต่ยู่ปาก ไม่กล่าวอะไรอีก ทว่ากลับวางแผนอยู่ในใจว่า อย่างไรเสียกว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวจะมาถึงจิงเฉิงก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง นางจะรอให้ฮูหยินและน้องสาวย้ายเข้าไปอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน และท่านน้าฉือย้ายออกไปอยู่ที่ประตูเฉาหยางก่อน แล้วนางค่อยย้ายเข้าไปอยู่ก็ยังไม่สาย

เมื่อคิดเช่นนี้ ก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยากอะไรแล้ว จึงช่วยกันจัดเก็บหีบสัมภาระพร้อมกับชุนหว่านและคนอื่นๆ

สิ่งที่ดีที่สุดในบ้านย่อมต้องมอบให้ผู้ใหญ่ก่อน

โจวชูจิ่นตั้งใจเอาไว้ว่ารอให้หลี่ซื่อและคนอื่นๆ ย้ายไปอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนแล้ว นางจะย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนปีกตะวันออกแทน จัดเรือนหลักให้ว่างเอาไว้สำหรับให้ฟางซื่อผู้เป็นแม่สามีเข้าไปพักอาศัย ทุกวันทั้งต้องดูแลลูกน้อยเกิดใหม่และต้องยุ่งวุ่นวายกับการกำกับสั่งการบ่าวรับใช้เติมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด จากนั้นหาเวลาว่างไปดูที่เรือนด้านหลัง เห็นว่าโจวเสาจิ่นเริ่มจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ ลงหีบสัมภาระบ้างแล้ว จึงคิดว่าวันนั้นเป็นเพียงอาการเอาแต่ใจของน้องสาวเท่านั้น ก็เลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

กระทั่งถึงวันที่ต้องย้ายบ้าน โจวเสาจิ่นกลับบอกว่าต้องการจะรั้งอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน

โจวชูจิ่นขมวดคิ้วมุ่น กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้ารับปากข้าแล้ว! การที่เจ้าตามไปด้วย ก็เท่ากับทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านแทนข้า”

ความหมายโดยนัยก็คือ หลี่ซื่อเป็นแขก

โจวเสาจิ่นกลับยืนกรานเด็ดเดี่ยวอย่างน้อยครั้งนักที่จะได้เห็น แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจกล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าท่านน้าฉือยังอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนหรอกหรือ มีท่านน้าฉือช่วยให้การรับรองฮูหยินก็ได้แล้ว ข้าอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันแล้วค่อยย้ายออกไปเจ้าค่ะ!”

โจวชูจิ่นนึกถึงคนที่เฉิงฉือส่งมาเพื่อช่วยพวกนางย้ายบ้านแล้วก็ร้อนใจจนปากจะเป็นร้อนในอยู่แล้ว

แต่ไม่นานเฉิงฉือที่อยู่ทางด้านโน้นก็ได้รับจดหมายแล้วเช่นกัน

เขาอดไม่ได้หลุดหัวเราะออกมา

เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ กลายเป็นคนมีนิสัยเหมือนแมวตัวหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนที่ผู้อื่นรังแกนางนางเดินหนีไปโดยไม่ตะโกนร้องอะไรเลยสักคำ พอมาถึงคราวของเขากลับง้างกรงเล็บต้องการจะตะปบเขา

คอยดูว่าเขาจะจัดการกับนางอย่างไร!

เฉิงฉือไปที่ซอยอวี๋ซู่

โจวชูจิ่นยังคงเคร่งเครียดอยู่กับโจวเสาจิ่น เป็นหลี่ซื่อที่เห็นเฉิงฉือแล้วใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ รีบกล่าวอธิบายยิ้มๆ ว่า “เป็นเพราะคุณหนูรองไม่อยากไปจากต้ากูไหน่ไนและกวนเกอ!”

เฉิงฉือไม่ได้ใส่ใจนัก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะหว่านล้อมนางเอง!” จากนั้นเดินไปที่เรือนด้านหลัง

ซางมามาและคนอื่นๆ ที่รับใช้โจวเสาจิ่นต่างยืนสำรวมอยู่ในลานบ้าน

โจวชูจิ่นกำลังยืนเกลี้ยกล่อมน้องสาวอย่างจริงจังและเอาใจใส่อยู่ข้างกรอบหน้าต่างอย่างไร้ทางเลือกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่นั่นมิใช่ว่าเป็นบ้านของท่านน้าฉือหรอกหรือ ตอนอยู่ที่เรือนหานปี้ซานมิใช่ว่าเจ้าก็เคยคลุกคลีกับท่านน้าฉือมาแล้วหรอกหรือ ท่านน้าฉือออกจะดีกับเจ้ายิ่งนัก! บอกว่าวันที่แปดเดือนสี่เจ้าจะต้องไปจุดธูปไหว้พระ ถึงได้ตั้งใจกำหนดวันย้ายบ้านเป็นวันนี้ เจ้ามีอะไรให้ต้องกลัวกัน? ถ้าหากเจ้าไม่อยากย้ายออกไปจริงๆ วันนี้เจ้าก็เพียงทำเป็นพิธีไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปรับเจ้ากลับมาตั้งแต่เช้าตรู่เลยดีหรือไม่”

นางเพียงไปดูที่ลานหลักมาครู่เดียวเท่านั้น เมื่อกลับมาโจวเสาจิ่นก็ไล่บ่าวรับใช้ของตัวเองออกไปแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องเสียแล้ว

เฉิงฉือเห็นเช่นนั้น ก็โมโหจนหัวเราะออกมา เอ่ยขึ้นว่า “ต้ากูไหน่ไหนหลบออกมาสักครู่หนึ่งก่อน ข้าจะลองหว่านล้อมนางดู!”

ซางมามาที่ยืนอยู่อย่างสัตย์ซื่อท่ามกลางบ่าวรับใช้นั้นเห็นเฉิงฉือแล้วดวงตาเป็นประกาย

โจวชูจิ่นกลับหลบไปอยู่ข้างๆ อย่างกระดากอาย

ท่านน้าฉือมีน้ำใจให้พวกนางย้ายไปอยู่ด้วย ทว่าน้องสาวกลับไม่รู้สำนึก

ไม่รู้ว่าถ้อยคำของตนที่กล่าวไปเมื่อครู่นี้ท่านน้าฉือจะได้ยินไปกี่มากน้อย

เฉิงฉือยืนอยู่ตรงทางเดินเอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่น ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยิน จงเปิดประตูเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นข้าจะเข้าไปด้วยตัวเอง!”

ภายในห้องยังคงเงียบเชียบไร้ซึ่งสรรพเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ

เฉิงฉือถอยออกมาหนึ่งก้าว ตะโกนเรียกฉินจื่อผิงเข้ามา

ฉินจื่อผิงหยิบของบางอย่างคล้ายแผ่นเหล็กชิ้นหนึ่งสอดเข้าไปตรงช่องระหว่างบานประตูแล้วดึงดาลประตูเล็กน้อย

โจชูจิ่นเบิกดวงตากว้าง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเปิดดาลประตูเช่นนี้ได้ด้วย ฉับพลันนั้นนางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่ามีครั้งหนึ่งนางได้ยินเฉิงสือเอ่ยถึงเฉิงฉือเป็นการส่วนตัวโดยไม่ตั้งใจ เป็นการเอ่ยถึงที่แฝงความอิจฉาแต่ก็เจือความชื่นชมอยู่ด้วย ดูเหมือนเป็นการกล่าวล้อเล่น ทว่าความจริงแล้วในน้ำคำกลับเปี่ยมไปด้วยการประชดประชันแดกดัน บอกว่าแม้เฉิงฉือจะเป็นคนร่ำเรียนหนังสือ แต่สิ่งที่ทำกลับเป็นเรื่องค้าขาย แต่อย่างไรก็ตามด้วยเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี กลับทำเงินได้เป็นจำนวนมาก หากบอกว่าไม่มีฝีมือสักนิดเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าท่าทางที่ดูสูงส่งทรงคุณธรรมนั้น ในที่ลับตาคนอาจจะทั้งสังหารคนวางเพลิงมาหมดแล้วก็เป็นได้…

นางมองฝีมือของฉินจื่อผิงแล้ว รู้สึกว่าแม้เฉิงสือจะกล่าวเกินจริงไปบ้าง แต่เกรงว่าเฉิงฉือก็คงมิใช่คนขาวสะอาดขนาดนั้นเช่นกัน

โจวชูจิ่นกลัวว่าน้องสาวจะทำให้เฉิงฉือเดือดดาล ถึงเวลานั้นจะเจอดีได้ จึงก้าวออกไปตบบานหน้าต่างของโจวเสาจิ่นสองสามครั้งอย่างอดไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าจงเชื่อฟัง รีบเปิดประตูเสีย”

โจวเสาจิ่นนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง ตัดสินใจแน่แล้วว่าจะไม่เปิดประตู

พอได้ยินเสียงของเฉิงฉือ นางคำรามเสียงเย็นอยู่ในใจว่า เพราะไม่ว่านางจะพูดอย่างไรพี่สาวล้วนไม่คล้อยตาม นางจึงจำต้องใช้วิธีโง่เง่าเช่นนี้ ท่านน้าฉือจะลากตัวนางไปที่ซอยอวี๋เฉียนต่อหน้าพี่สาวของนางได้หรือ ต่อให้เขาคิดจะทำเช่นนั้น พี่สาวก็ไม่ยอมอย่างแน่นอน!

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจเล็กน้อย

ดูว่าท่านน้าฉือจะทำอย่างไร

เพราะฉะนั้นตอนที่โจวชูจิ่นเอ่ยโน้มน้าวนางนั้น นางจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

แต่ไม่นาน นางก็หัวเราะไม่ออกเล็กน้อย

ชั่วขณะนั้นด้านนอกก็เงียบเชียบขึ้นมาในทันใด ไม่มีเสียงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

พี่สาวคงไม่ยอมแพ้อย่างรวดเร็วขนาดนี้กระมัง และท่านน้าฉือเองก็คงไม่เดินจากไปดื้อๆ เช่นนี้กระมัง…หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

นางลังเลใจอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายยังคงแอบลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ สวมรองเท้าแล้วเดินออกมาจากห้องชั้นใน คิดว่าจะแอบมองความเคลื่อนไหวของลานด้านนอกจากบานประตูห้องโถงที่ติดกระจกหลากสีเอาไว้นั้น

แต่ผู้ใดจะรู้ว่านางเพิ่งออกมาจากห้องชั้นใน ทันใดนั้นบานประตูห้องโถงก็ดัง ปัง เสียงหนึ่งแล้วประตูก็ถูกผลักเปิดออก

แสงแดดสว่างไสวยามเช้าก็สาดส่องเข้ามา

โจวเสาจิ่นราวกับวิญญาณร้ายที่ถูกส่องด้วยกระจกขับไล่ผีสางก็ไม่ปาน กรีดร้องพร้อมกับวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องชั้นใน

เฉิงฉือหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เดินตามเข้าไปโดยไม่ต้องคิด

โจวชูจิ่นกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะตกใจกลัว ยกกระโปรงขึ้นหมายจะตามเฉิงฉือเข้าไป

ทว่าซางมามาที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใดเข้ามาขวางหน้านางเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ อย่างนอบน้อมว่า “ต้ากูไหน่ไน ท่านอย่าเข้าไปเลยจะดีกว่าเจ้าค่ะ เมื่อก่อนข้าเคยปรนนิบัติรับใช้นายท่านสี่มาก่อน มองออกว่าครั้งนี้เขาโกรธไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยนิสัยของนายท่านสี่แล้ว คงไม่พ้นต้องตำหนิคุณหนูรองสักคำรบหนึ่งเป็นแน่ ข้ารับใช้คุณหนูรอง ความจริงแล้วไม่ควรกล่าวประโยคนี้ แต่ว่าครั้งนี้คุณหนูรองทำไม่ค่อยถูกต้องจริงๆ ก็ไม่แปลกที่นายท่านสี่จะโมโห เพียงแต่ว่าคุณหนูรองเป็นคนหน้าบาง ท่านพุ่งเข้าไปเช่นนี้ หากเข้าไปพบตอนที่นายท่านสี่กำลังต่อว่าคุณหนูรองพอดี คุณหนูรองจะเอาหน้าไปวางที่ไหนเจ้าคะ มิสู้ท่านรออยู่ด้านนอกนี้ก่อน ดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากันอีกที ไม่แน่ว่านายท่านสี่ของพวกข้าอาจจะหว่านล้อมคุณหนูรองสำเร็จก็เป็นได้!”

โจวชูจิ่นรู้สึกว่าคำพูดนี้ของซางมามามีเหตุผลนัก จึงพยักหน้าน้อยๆ ยืนอยู่ข้างหน้าต่างอย่างช่วยอะไรไม่ได้ คอยฟังความเคลื่อนไหวของภายในห้อง

โจวเสาจิ่นวิ่งกลับเข้ามาในห้องชั้นในแล้วปีนขึ้นไปอยู่บนเตียง หลบไปอยู่ตรงมุมเตียงใช้ผ้าห่มคลุมตัวเอาไว้ มีเพียงดวงตาโตสีดำระยิบระยับคู่นั้นที่โผล่ออกมามองสำรวจเฉิงฉืออย่างระแวดระวัง

นี่จะมีประโยชน์อะไร

เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะให้กับการกระทำเยี่ยงคนที่ปิดหูขณะขโมยระฆังของโจวเสาจิ่น เดินเข้าไปนั่งข้างเตียง

โจวเสาจิ่นกระถดตัวเข้าไปด้านในอีก

เฉิงฉือมองแล้วรู้สึกช่างน่าขัน กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “เสาจิ่น เหตุใดเจ้าถึงไม่อยากย้ายออกไปหรือ”

โจวเสาจิ่นไม่กล่าวอะไร

เฉิงฉือนั่งรอให้นางเอ่ยปากพูดอย่างใจเย็นอยู่ข้างเตียง

ท่วงท่านั้น ดูแล้วช่างสง่างามเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็เผยความแน่นิ่งดั่งขุนเขาไม่ไหวติงออกมาด้วย ราวกับว่าหากนางไม่เอ่ยปากพูด เขาก็จะนั่งรออยู่ตรงนั้นตลอดไปไม่ไปไหนทั้งนั้น

โจวเสาจิ่นรู้ความเก่งกาจของเฉิงฉือดี

นางไม่สงสัยในความเด็ดเดี่ยวมั่นคงของเฉิงฉือเลยแม้แต่นิดเดียว

โจวเสาจิ่นก้มหน้าก้มตาลง พึมพำกล่าวอย่างกระวนกระวายใจว่า “ข้า…ข้าไม่อยากไปอยู่ด้วยกันกับท่านน้าฉือ…”

เขาคงทำให้เด็กน้อยตกใจกลัวจนเสียคนไปแล้วกระมัง

เฉิงฉือเสียใจเล็กน้อย

เขารู้ว่าในใจของนางมีหลุมหนึ่งอยู่ แต่เขาไม่คาดคิดว่าหลุมนี้จะลึกถึงเพียงนี้

แต่ก็ไม่เสียใจที่ตนสูญเสียการควบคุมไป

เด็กน้อยช่างหอมหวานยิ่งนัก

แค่คิดก็ทำให้เขาใจสั่นแล้ว

เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ต้องพูดเรื่องแผนการแล้วถึงจะถูก

ดวงหน้าของเขามีแววขออภัย น้ำเสียงยิ่งอบอุ่นมากขึ้น กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นข้าที่ทำไม่ถูก ข้าควรจะบอกเจ้าให้กระจ่าง เจ้ายังจำสือควนได้หรือไม่ ขันทีใหญ่ข้างกายองค์ชายสี่ผู้นั้น คนที่เจ้าบอกว่าเขาจะได้เป็นขันทีสนองพระโอษฐ์ผู้นั้น หลายวันก่อนข้าหาข้ออ้างไปเดินอยู่หน้าตำหนักขององค์ชายสี่สองครั้ง สุดท้ายก็ได้พบกับเขา ข้าสืบทราบมาว่าเขามีน้องชายอยู่ผู้หนึ่ง ปีนี้ยังไม่เกินเจ็ดขวบเท่านั้น ฝากให้คนครอบครัวแซ่เจิ้งครอบครัวหนึ่งช่วยเลี้ยงดูอยู่ที่ซอยอีเฉียนไม่ไกลจากซอยอวี๋เฉียนนัก เขามักจะไปหาน้องชายของเขาที่นั่นบ่อยๆ ข้าอยากจะเจอกับเขาอีกในสักวันใดสักหนึ่ง ก็เลยต้องอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนต่อไปอีกสักสองสามวัน…”

ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าวจนแดงก่ำ

นางลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปได้อย่างไร!

ยังเกือบจะทำให้ธุระสำคัญของท่านน้าฉือต้องสะดุดไปด้วยอีก

โชคดีที่ท่านน้าฉือเก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจอยู่ตลอด

นางโผล่ศีรษะออกมาด้วยความกระดากอาย

เฉิงฉือยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล กล่าวต่อไปว่า “เสาจิ่นรู้สึกว่าการไปอยู่บ้านข้าไม่ค่อยเหมาะสมใช่หรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจเอาไว้ว่าจะยกบ้านหลังนั้นให้เจ้า…”

นางจะอยากได้บ้านของเขาไปทำไม

โจวเสาจิ่นกำลังจะพูดว่า ‘ไม่ต้อง’ ก็ได้ยินเฉิงฉือกล่าวขึ้นก่อนว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอยากจะถือศีลอยู่ที่บ้านมิใช่หรือ หลังจากข้ากลับไปก็ได้พิจารณาดูแล้ว ถ้าหากรีบร้อนบอกบิดาของเจ้าไปเช่นนี้ จะมีบิดาที่รักและเอ็นดูบุตรสาวคนใดจะยอมอนุญาตให้บุตรสาวที่เพิ่งจะเป็นสาววัยแรกแย้มมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางการออกบวชได้ เขาไม่เพียงจะขัดขวางเจ้าเท่านั้น ยังอาจจะคิดหาวิธีให้เจ้าแต่งงานออกไปให้เร็วที่สุดอีกด้วย…”

นี่ก็เป็นเรื่องที่โจวเสาจิ่นเป็นกังวลเช่นกัน

นางนั่งยืดตัวตรง

ผ้าห่มที่คลุมตัวเอาไว้จึงหลุดร่วงลง

“ข้าคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าคือให้พี่สาวของเจ้าหาข้ออ้างให้เจ้าได้อยู่ยาวที่จิงเฉิง รอให้ผ่านไปสองปี เจ้าอายุมากขึ้นอีกสักหน่อย พวกเราค่อยไปคุยกับบิดาของเจ้า ถึงเวลานั้นบิดาของเจ้ามาเห็นการฝึกปฏิบัติถือศีลของเจ้าแล้วก็จะรู้ว่าเจ้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าค่อยช่วยเจ้าพูดด้วยอีกแรง บิดาของเจ้าก็น่าจะยอมรับได้ง่ายกว่า!”

อย่างไรก็ย่อมดีกว่าการวิ่งไปบอกบิดาเช่นนี้เลยอยู่บ้าง

โจวเสาจิ่นพยักหน้าน้อยๆ

เฉิงฉือเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “เช่นนั้นก็รีบไปเปลี่ยนชุดเสีย ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง ไม่รู้ว่าสือควนจะแวะมาทางนี้เมื่อใด อีกประเดี๋ยวข้ายังต้องไปสิบสามห้างสาขาที่จิงเฉิงสักครั้งหนึ่งด้วย ได้ยินว่าเรือขนสินค้าไห่ชังเฮ่าที่ร่วมทุนด้วยลำนั้นอับปาง ข้าต้องไปสอบถามดูสักหน่อย…”

……………………………………………………………………..