โจวเสาจิ่นได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนมือเท้าเย็นเฉียบไปหมด
ชาติก่อนนางก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า มีคนที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวเนื่องด้วยร่วมทุนทำการค้าทางเรือแล้วเรืออับปาง
โจวเสาจิ่นออกมาจากผ้าห่มโดยไม่ต้องคิด เอ่ยถามขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “จะ…จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นางมองเขาอย่างร้อนใจ ในดวงตากลมโตนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
เฉิงฉือรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ลูบเส้นผมของนางอย่างอ่อนโยน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เงินที่ร่วมลงทุนไปนั้นไม่มาก ยังไม่ถึงขั้นเลี้ยงดูเจ้าไม่ไหว”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ทำหน้าตึง
ในเมื่อเขายังมีอารมณ์มาหลอกให้นางตกใจกลัว ก็แสดงว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายนัก
ตนเป็นห่วงเขาไปโดยเปล่าประโยชน์ ยังถูกเขาหลอกให้กลัวจนเกือบจะยกโทษให้เขาไปเสียแล้ว
นางร้อง “ฮึ” เบาๆ เสียงหนึ่ง กระเถิบไปนั่งอยู่ไกลๆ ที่มุมเตียง ยังเอาผ้าห่มมากองขวางเอาไว้ตรงกลางระหว่างตนและเฉิงฉือ ประหนึ่งก่อป้อมปราการขึ้นมาหนึ่งป้อม ท่าทางไม่อยากเสวนาปราศรัยด้วยไปตลอดชีวิต
เฉิงฉืออดไม่ได้หัวเราะฮ่าออกมาดังลั่น
โจวเสาจิ่นเม้มปาก เบิกดวงตาโพลงจ้องมองเขา
เฉิงฉือรีบหยุดหัวเราะ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “หลายวันนี้ข้ายุ่งมากจริงๆ หากไม่เชื่อเจ้าไปถึงซอยอวี๋เฉียนก็จะรู้เอง ข้าไม่มีเวลาว่างแม้แต่จะช่วยจัดเตรียมเรือนเอาไว้ให้เจ้าด้วยซ้ำ ทางด้านนั้นยังคงอยู่ในสภาพเดิม ข้ายังหวังให้เจ้าช่วยไปตกแต่งบ้านหลังนั้นให้ข้าใหม่”
นางไม่สนใจเขาหรอก!
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงไม่พูดไม่มา บิดมุมผ้าห่มไปด้วย
เฉิงฉือกล่าว “…ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิพอดี ทุกอย่างกำลังเจริญเติบโต เป็นฤดูกาลที่เหมาะสำหรับการปลูกต้นไม้ดอกไม้พอดี ร้านขายต้นไม้ดอกไม้ที่เฟิงไถทุกร้านต่างก็มีสินค้าใหม่ออกมากันเต็มไปหมด เมื่อเจ้าย้ายเข้าไปแล้ว จะได้ไปดูที่เฟิงไถดูสักหน่อย หาต้นไม้ดอกไม้มาปลูกทั้งเรือนหน้าเรือนหลังของซอยอวี๋เฉียนที่ละสองสามต้น รอให้ถึงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ซอยอวี๋เฉียนจะต้องดูเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน”
ไม่ต้องรอให้ถึงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ อย่างดอกซ่อนกลิ่นเอย ดอกว่านผักบุ้งเอย และดอกแพงพวยเอย…หว่านเมล็ดตั้งแต่ฤดูกาลนี้พอถึงฤดูร้อนดอกไม้ก็เบ่งบานแล้ว ถ้าหากเขาอนุญาตให้นางปลูกได้ตามใจชอบ นางจะปลูกดอกไม้เหล่านี้ให้ทั่วทุกมุมไปเลย
โจวเสาจิ่นนึกถึงความเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังของเรือนหานปี้ซาน แล้วก็คิดถึงซอยอวี๋เฉียนที่เต็มไปด้วยดอกไม้สวยงามสะพรั่งเต็มไปหมดหลังจากที่ปลูกต้นหญ้าดอกไม้ที่ธรรมดาสามัญที่สุดอย่างพวกดอกแพงพวย ดอกลิ้นมังกรและว่านน้ำทองขึ้นมา…นี่ต้องทำให้คนที่ใช้น้ำหอมดั่งที่ได้ยินมาอย่างท่านน้าฉือมีสีหน้ามืดครึ้มดั่งก้นหม้อเป็นแน่…แค่คิดนางก็เกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว
แต่รอยยิ้มนั้นกลับยังคงฉายอยู่บนดวงหน้าและในดวงตาของนางอย่างปิดไม่มิด
เฉิงฉือรู้อยู่แล้วว่า ต่อให้เสาจิ่นจะโกรธเขาอย่างไร แต่ก็จะยกโทษให้เขาอย่างรวดเร็วอยู่ดี
เฉิงฉือมองแล้วรู้สึกหัวใจอ่อนยวบ เหมือนกับบ่อน้ำที่มีน้ำเอ่อขึ้นมา เต็มตื้นจนคล้ายกับจะเอ่อล้นออกมาแล้วก็ไม่ปาน
น้ำเสียงของเขาจึงยิ่งบางเบาและนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น “ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะได้เอานกขมิ้นของเจ้าไปแขวนเอาไว้ที่ใต้ชายคาโถงทางเดิน เสวี่ยฉิวเองก็จะมีพื้นที่ให้วิ่งเล่นแล้ว ลูกสุนัขล้วนชอบเกลือกกลิ้งไปทั่วทุกที่อยู่ในสวนดอกไม้ เจ้าดูอย่างตอนนี้ที่ในบ้านมีทารกอยู่ด้วย เจ้าก็เลยจำเป็นต้องทิ้งเสวี่ยฉิวเอาไว้ที่เมืองเป่าติ้ง!…
…วันไหนให้ซางมามาพาเจ้าไปดูที่ตรอกจินอวี๋สักหน่อย ไปซื้อปลาทองกลับมาเลี้ยงในอ่างสักสองสามตัว เวลาเจ้าฝึกคัดอักษรอยู่ในห้องหนังสือเปิดหน้าต่างออกก็จะได้มองเห็นภาพทิวทัศน์ของทั้งลานบ้านได้ คงดีไม่น้อย! เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงที่ดอกกุ้ยฮวาเบ่งบาน เจ้าก็จะได้หมักสุราจากดอกกุ้ยฮวา และยังได้มอบให้ญาติสนิทมิตรสหายได้ลิ้มลองอีกด้วย…”
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก!
จะทำอย่างไรดี
นางกัดริมฝีปาก
เฉิงฉือมองแล้วรอยยิ้มเอ่อล้นออกมาจากดวงตา แม้แต่น้ำเสียงก็ยังเบาลงอีกหลายส่วน “จี๋อิ๋งกลับชังโจวไปแล้ว ข้าเตรียมจะไปสู่ขอนางให้ฉินจื่อผิง ถึงเวลานั้นนางก็อาจจะมาที่จิงเฉิง น่าจะอาศัยอยู่ใกล้ๆ แถวนี้เช่นกัน หากเจ้าอยู่บ้านแล้วรู้สึกเบื่อ ก็ไปเที่ยวหานางได้…”
นี่ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงจริงๆ
โจวเสาจิ่นนั่งนิ่งไม่ได้อีกต่อไป รีบเอ่ยถามว่า “ท่านน้าฉือ จี๋อิ๋งแต่งให้ฉินจื่อผิงได้อย่างไรหรือเจ้าคะ”
ฉินจื่อผิงเป็นบ่าวในบ้าน จี๋อิ๋งเป็นบุตรสาวของครอบครัวที่เป็นที่นับหน้าถือตา ปกติแล้วนี่…นี่ทำไม่ได้นี่นา!
หัวสมองของนางยุ่งเหยิง กระเถิบตัวเข้าไปยังทิศทางที่เฉิงฉือนั่งอยู่อย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีอะไรที่ไม่ถูกต้องกัน! แม้นตระกูลฉินจะช่วยทำเรื่องต่างๆ ให้ตระกูลเฉิง ทว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยลงนามในสัญญาซื้อขายตัวมาก่อน ที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้น้อย’ นั่นก็เป็นเพราะให้ความเคารพบรรพบุรุษของข้าที่เคยช่วยชีวิตคนทั้งตระกูลของตระกูลฉินของพวกเขาเอาไว้ ทำไมจะเทียบเคียงกับจี๋อิ๋งไม่ได้”
ในหัวสมองของโจวเสาจิ่นยุ่งวุ่นวายไปหมด เอ่ยขึ้นว่า “แต่จี๋อิ๋งดูเหมือนจะปฏิบัติตัวกับฉินจื่อผิงอย่างธรรมดาสามัญยิ่ง…นางไม่มีท่าทีเหมือนจะชอบพอฉินจื่อผิงเลย…”
“นางชอบพอฉินจื่อผิงหรือไม่ เจ้าไปสอบถามนางเองก็ได้รู้แล้วมิใช่หรือ” เฉิงฉือกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นเดินสองสามก้าว หยุดลงในตำแหน่งที่เว้นระยะห่างกันไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป กล่าวขึ้นว่า “อีกสองวันนางก็จะกลับมาที่จิงเฉิงแล้ว หากนางจัดข้าวของเสร็จแล้วจะต้องมาเยี่ยมเยียนเจ้าอย่างแน่นอน”
“จริงหรือเจ้าคะ!” ดวงตาของโจวเสาจิ่นเป็นประกายขึ้นมา อีกทั้งเฉิงฉือยังรักษาระยะห่างอย่างชัดเจน ทำให้อารมณ์ความรู้สึกที่ตึงเครียดมาตลอดของนางผ่อนคลายลงไม่น้อย
ยังคงเป็นเพียงเด็กผู้หนึ่งอยู่จริงๆ!
จะรับมือกับเด็กก็ต้องใช้วิธีการของเด็ก
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ ยืนอยู่ตรงนั้นรอให้โจวเสาจิ่นลงจากเตียง
โจวเสาจิ่นกลับบิดนิ้วอย่างลังเลอยู่ตรงนั้นกว่าครู่ใหญ่
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ อย่างมีความอดทนว่า “เป็นอะไรอีกหรือ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าบางอย่างพูดให้ชัดเจนไปเลยจะดีกว่า
ดวงหน้าของนางแดงก่ำจนคล้ายกับจะหลั่งโลหิตออกมาได้ ก้มหน้าก้มตาลงพึมพำกล่าวขึ้นว่า “ท่าน…ท่านต้องรับปากข้า ว่าจะไม่ทำกับข้าเช่นวันนั้นอีก…”
เฉิงฉือมองนางที่ขวยเขินจนอ่อนปวกเปียกประหนึ่งว่าเมื่อเข้าปากแล้วจะละลายหายไปทันทีนั้นแล้ว ในใจก็สั่นระรัวไปชั่วขณะ คิดจะหยอกเย้านางสักสองประโยค แต่เมื่อความคิดวาบผ่าน เขาก็นึกถึงร่างแข็งเกร็งของนางตอนที่เขากอดนางขึ้นมา จึงฝืนกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงปลายลิ้นลงไปเสีย แสร้งทำท่าทางกระวนกระวายพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่น ข้ารู้สึกยากที่จะควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ไปชั่วขณะ จึงไม่อาจควบคุมตัวเองเอาไว้ได้…ข้าพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เอ่ยถึงแล้ว เจ้าช่วยทำเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรือไม่ ต่อไปพวกเราจะยังคงเป็นเหมือนกับเมื่อก่อนไม่เปลี่ยน…”
“เอ๋!” โจวเสาจิ่นรู้สึกใบหน้าร้อนผะผ่าว อยากจะหายตัวไปจากตรงหน้าของเฉิงฉือยิ่งนัก
นางช่าง…ไม่มีแววเอาเสียเลย…ไม่แปลกที่ชาติก่อนพี่สาวมักจะพูดกับนางบ่อยๆ ว่า ‘น้ำใสเกินไปไร้มัจฉา คนคิดถี่เกินไปไร้สหาย’ เรื่องบางอย่างก็ต้องทำเป็นงุนงงไม่เข้าใจให้ถูกที่ถูกเวลา…ก็เหมือนกับตอนที่พวกป้ารับใช้ในโรงครัวเหล่านั้นเอาชิ้นเนื้อเล็กๆ น้อยๆ กลับไปก็ต้องทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งบ้าง…ท่านน้าฉือดีต่อนางขนาดนี้ ทำผิดพลาดเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ก็รู้สึกลำบากใจจนไม่กล้าเอ่ยถึงแล้ว นางกลับยังยึดมั่นถือมั่นเรื่องนี้ไว้ไม่ยอมปล่อย…
“ข้า…ข้า…ข้า…” โจวเสาจิ่นกระอึกกระอักพูดไม่ออก
เฉิงฉือจึงลองเดินเข้าไปตรงหน้านาง
โจวเสาจิ่นไม่ได้หลบเลี่ยง แต่ทั้งดวงหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย มองเขาอย่างน่าสงสาร ราวกับลูกแมวตัวหนึ่งที่พยายามจะประจบเขาอย่างกระตือรือร้น
เฉิงฉือมองแล้วรู้สึกปวดหัวใจไปหมด อยากจะกอดเจ้าตัวเล็กนี้เอาไว้ในอ้อมกอดแล้วคลอเคลียอย่างรักใคร่สักคำรบหนึ่ง แต่มือที่ไพล่อยู่ด้านหลังกำแล้วก็ปล่อย ปล่อยก็แล้วกำอีกครั้ง สุดท้ายทำเพียงลูบศีรษะของนางเบาๆ เท่านั้น เอ่ยขึ้นว่า “เอาละๆ ไม่ต้องแง่งอนแล้ว รีบไปเปลี่ยนชุดเสีย ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่!”
โจวเสาจิ่นรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว หน้าแดงอย่างขัดเขิน
เนื่องจากอยู่ใกล้และมองมาจากด้านบน เฉิงฉือค้นพบว่ามิได้มีเพียงใบหน้าของนางที่แดงเรื่อ ใบหูก็แดงก่ำ แม้แต่คางและลำคอก็กลายเป็นสีชมพูไปหมด…อดคิดถึงนวลเนื้อนุ่มละมุนเนียนละเอียดที่เขาสอดมือเข้าไปสัมผัสในสาบเสื้อของนางในวันนั้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้…
ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นสีชมพูเหมือนกันหรือไม่
ปลายนิ้วของเขาราวกับว่ายังมีความทรงจำของวันนั้นหลงเหลืออยู่ รู้สึกร้อนแผดเผาขึ้นมาดั่งไฟลามเลีย…
เฉิงฉือโน้มกายเข้าไปอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่
เป็นกลิ่นหอมของสตรีที่ให้ความอบอุ่น
เขาใจสั่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้ขยับเข้าใกล้นางต่อไป แต่กล่าวขึ้นที่ข้างหูของนางแทนว่า “เสาจิ่น ในวันสรงน้ำองค์พระโพธิสัตว์ ข้าจะไปเดินเล่นที่วัดต้าเซียงกั๋วเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน”
ในใจของโจวเสาจิ่นพันกันยุ่งเหยิงจนคล้ายกับก้อนด้ายก้อนหนึ่งไปแล้ว อีกทั้งยังคงจมอยู่ในความรู้สึกผิดที่มีต่อเฉิงฉือ จึงเป็นธรรมดาที่ไม่ว่าเฉิงฉือจะกล่าวอะไรก็ล้วนดีไปหมดทุกอย่าง
เฉิงฉือผ่อนลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
เดิมทีแล้วเขาคิดจะฉลองเทศกาลวันสารทจีนเป็นเพื่อนนาง
เวลาสามเดือนน่าจะเพียงพอให้เสาจิ่นวางความหวาดระแวงที่มีต่อเขาลงได้
ทว่าเมื่อครู่กลับไม่อาจควบคุมตัวเองอย่างคาดไม่ถึง
เมื่อออกปากเอ่ยไปแล้วเขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย กลัวว่าจะไปทำลายสถานการณ์ที่อุตส่าห์กู้กลับมาได้อย่างยากเย็นนั้นไป แล้วทำให้สถานการณ์ย้อนกลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ขึ้นมาอีกครั้ง
โชคดีที่เสาจิ่นชอบเขามากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก
เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ขึ้นมา หัวใจของเฉิงฉือก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีปรีดาขึ้นมา
เขาจึงยิ่งไม่อยากให้ระหว่างเขาและโจวเสาจิ่นมีเรื่องขุ่นเคืองใจอะไรขึ้นมาอีก
เฉิงฉือยืดตัวขึ้น เดินไปอยู่ในจุดที่ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกสบายใจตำแหน่งนั้น แล้วตำหนินางด้วยน้ำเสียงบางเบาเหมือนยามปกติว่า “รีบลุกขึ้นมาให้ไว ข้ามีนัดกินมื้อเที่ยงกับคนของสิบสามห้าง”
“อ้อ!” โจวเสาจิ่นรีบปีนลงมาจากเตียง จัดเสื้อและกระโปรงอย่างเงอะๆ งะๆ ประหนึ่งเด็กน้อยที่เพิ่งหัดสวมเสื้อผ้าและหัดเดินผู้หนึ่ง ดูไร้เดียงสาน่ารักน่าเอ็นดูเป็นพิเศษ
เฉิงฉือไม่กล้ามองมาก หมุนกายออกจากห้องชั้นในไป
***
โจวชูจิ่นยืดลำคอยืนเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ เห็นเฉิงฉือเดินออกมาด้วยสีหน้าเบิกบาน นางสงบใจให้นิ่ง ลอบสวด ‘อมิตาภพุทธ’ เสียงหนึ่ง แล้วก้าวออกไปต้อนรับ
เฉิงฉือเองก็ไม่เสียเวลากล่าวอะไรกับนางให้ยืดยาว เอ่ยขึ้นว่า “รอให้เสาจิ่นจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางได้เลย”
โจวชูจิ่นหันไปย่อกายให้เฉิงฉืออย่างซาบซึ้งใจ เดินนำบ่าวรับใช้ของโจวเสาจิ่นเข้าไปในห้องชั้นในอย่างรวดเร็ว
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นยังคงแดงก่ำ แต่ก็ไม่มีความดื้อดึงของก่อนหน้านี้ให้เห็นแล้ว
โจวชูจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า “ยังคงเป็นท่านน้าฉือที่รู้วิธีจัดการ!”
โจวเสาจิ่นไม่กล้ามองพี่สาว กระซิบบอกให้ชุนหว่านช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า
โจวชูจิ่นสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง เอ่ยถามนางว่า “ท่านน้าฉือกล่าวอะไรกับเจ้าบ้างหรือ”
แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นไม่กล้าพูดความจริงกับพี่สาว พึมพำกล่าวคล้ายเสียงยุงว่า “ก็แค่…ก็แค่อบรมสั่งสอนข้าไปคำรบหนึ่ง”
“สมควรแล้ว!” โจวชูจิ่นจิ้มที่หน้าผากของนาง กล่าวต่อว่า “ดูว่าต่อจากนี้ไปเจ้ายังจะกล้าเอาแต่ใจเช่นนี้อีกหรือไม่”
“ไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะๆ!” โจวเสาจิ่นกล่าวให้คำมั่นซ้ำๆ
โจวชูจิ่นจึงช่วยม้วนผมให้นางด้วยตัวเอง ด้านหนึ่งก็จัดแต่งไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็กล่าวย้ำกำชับนางไม่หยุดไปด้วยว่า “ไปอยู่กับท่านน้าฉือทางด้านโน้นแล้วเจ้าต้องดูแลตัวเอง ต้องเชื่อฟังท่านน้าฉือ อย่าทำให้เขาเคืองโกรธ อย่าได้คิดว่าไม่มีคนคอยควบคุมดูแลแล้วจะวิ่งพล่านไปทั่วทุกที่ มีเรื่องอะไรให้รีบส่งคนมาบอกพี่สาว วันนั้นข้าตั้งใจเดินกลับมาจากซอยอวี๋เฉียนเป็นการเฉพาะ บ้านของท่านน้าฉือห่างจากที่นี่เพียงสามก้านธูปเท่านั้น ใกล้กันยิ่งนัก ยามนอนหลับตอนกลางคืนก็ต้องระวังตะเกียงไฟ จะให้ดีที่สุดคือให้ฝานมามาอยู่ในห้องกับเจ้าด้วย นางอายุมากแล้วจึงหลับไม่ลึก หากมีความเคลื่อนไหวอะไรก็รู้สึกตัวตื่นง่าย…”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจยังคงคิดถึงคำพูดของเฉิงฉือเมื่อครู่นี้อยู่
ให้จี๋อิ๋งแต่งงานกับฉินจื่อผิง…นางรู้สึกน่าประหลาดใจยิ่งนัก!
ฉินจื่ออันเป็นพี่ชาย ถ้าหากจี๋อิ๋งอยากแต่งเข้าตระกูลฉิน มิใช่ว่าควรจะแต่งกับฉินจื่ออันหรอกหรือ
ถึงเวลาเมื่อจี๋อิ๋งมาถึงแล้ว นางจะต้องสอบถามจี๋อิ๋งให้ดีๆ สักครั้งถึงจะถูก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็อดรู้สึกดีใจที่เฉิงฉือให้นางย้ายไปอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนอย่างช่วยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นด้วยอากัปกิริยาไม่สำรวมของจี๋อิ๋งแล้ว พี่สาวจะต้องไม่ยอมให้นางไปมาหาสู่กับจี๋อิ๋งบ่อยๆ เป็นแน่ แต่ด้วยนิสัยของจี๋อิ๋งแล้ว นางจะต้องลากตนวิ่งไปทั่วทุกที่อย่างแน่นอน เหมือนกับตอนที่พวกนางไปดูเรือที่สะพานเจียงตงในวันส่งท้ายปีวันที่สามสิบของปีนั้น
นางไม่อาจไปสืบหาความลับของท่านน้าฉือได้แล้ว
ไม่รู้ว่าเซียวเจิ้นไห่เป็นอย่างไรบ้าง
ท่านน้าฉือบอกว่าในวันนั้นที่เขาทำกับนางเช่นนั้นเป็นเพราะเขารู้สึกยากที่จะควบคุมตัวเองเอาไว้ได้…นี่ท่านน้าฉือ…ท่านน้าฉือชอบนางใช่หรือไม่
โจวเสาจิ่นอ้าปากค้าง ในหัวสมองขาวโพลนว่างเปล่าไปหมด
……………………………………………………………………………