ตอนที่ 389 ย้ายเข้าบ้าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

รู้สึกยากที่จะควบคุมตัวเองเอาไว้ได้หมายความว่าอะไร

กระทั่งเกี้ยวหยุดลงตรงหน้าประตูชั้นในของซอยอวี๋เฉียน ปล่อยให้ชุนหว่านประคองตัวลงจากเกี้ยว มองเห็นภายในลานบ้านที่ดูเปล่าเปลี่ยวไร้ชีวิตชีวานั้นแล้ว โจวเสาจิ่นถึงได้กดเก็บความคิดดังกล่าวเอาไว้ในใจอย่างยากเย็น เดินเรียงแถวหน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่งเข้าไปในเรือนหลักพร้อมกับหลี่ซื่อ

หลี่ซื่อประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง มองไปรอบๆ กระซิบกล่าวกับโจวเสาจิ่นเสียงค่อยว่า “เหตุใดดูแล้วผนังนี้เหมือนกับเพิ่งจะทาสีใหม่ น้ำมันเคลือบเงาก็เหมือนเพิ่งจะทาใหม่เช่นกัน…” ภายในตัวบ้านกลับไม่มีเครื่องเรือนอะไรเลย

กลัวก็แต่ว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวจะมาเยี่ยมเยียนแล้วต้องเสียหน้าเท่านั้น

โจวเสาจิ่นยังคงอยู่ในอาการใจลอยเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นจึงฟังไม่เข้าใจในสิ่งที่หลี่ซื่อกล่าวมา เป็นซางมามาผู้ที่เดินตามหลังโจวเสาจิ่นมาตั้งแต่เข้าประตูมาได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรียนให้ฮูหยินทราบ เดิมทีนี่เป็นบ้านที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งใจจะมอบเป็นสินเจ้าสาวให้คุณหนูรอง จึงปล่อยว่างมาโดยตลอด เนื่องจากนายท่านสี่มีธุระ ดังนั้นจึงมาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว และเนื่องด้วยฮูหยินจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ถึงได้เชิญช่างฝีมือมาช่วยปรับปรุงให้ เพิ่งเสร็จเมื่อสองวันก่อนนี้เองเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นต่างตกตะลึงงันไปหมด

ท่านน้าฉือบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นของเขามิใช่หรือ เหตุใดถึงกลายเป็นว่ามอบให้นางในนามของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปได้

นี่เขา…กลัวว่าผู้อื่นจะรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอย่างนั้นหรือ

โจวเสาจิ่นหน้าแดงซ่าน

แล้วเหตุใดเขาถึงมอบของขวัญล้ำค่าขนาดนี้ให้ตนด้วย หากบิดาและพี่สาวทราบเรื่อง นางจะอธิบายอย่างไร

นางบ่นพึมพำอยู่ในใจ โดยคิดไม่ถึงสักนิดเลยว่าต่อให้นางและเฉิงฉือไม่มีความสัมพันธ์ระดับนี้ต่อกัน ด้วยความที่ก่อนนางจะออกเรือนเคยได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเคยได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาก่อน ฉะนั้นการที่จวนหลักจะช่วยเติมหีบสินเจ้าสาวให้นางอย่างใจกว้างก็เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญยิ่ง

โจวเสาจิ่นมีชนักติดหลังทำให้หวาดกลัวไปเอง ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนคิดมากคิดลึกไปหมด

ทว่าหลี่ซื่อกลับรู้สึกเลื่อมใสมากกว่าแปลกใจ นางมองท่าทางของโจวเสาจิ่นแล้วก็อดไม่ได้ถามนางยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่รู้เรื่องเลยหรือ”

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะโดยสัญชาตญาณ แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ตนจะไม่รู้ การตอบไปเช่นนั้นมีแต่จะยิ่งสร้างความสงสัย จึงรีบกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ท่านน้าฉือเคยพูดกับข้ามาก่อน แต่ข้าคิดว่าเป็นการล้อเล่น คิดไม่ถึงว่าเขา…เอ่อ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะยกบ้านหลังนี้ให้ข้าจริงๆ!”

ยิ่งสตรีมีสินเจ้าสาวมาก ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อการทาบทามคู่ครอง

เดิมทีหลี่ซื่อคิดว่าตระกูลโจวเป็นตระกูลธรรมดาทั่วไป การที่โจวเสาจิ่นถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับไปเลี้ยงดูนั้น เรื่องแต่งงานจะดูด้อยไม่ได้ เช่นนั้นตอนโจวเสาจิ่นออกเรือนควรจะเตรียมอะไรให้ดี ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ปัญหาใหญ่นี้ให้นางแล้ว…นางเอ่ยขึ้นอย่างยินดีว่า “ในเมื่อเป็นสินเจ้าสาวของเจ้า ข้าวของภายในบ้านก็ต้องเป็นของเจ้าไปด้วย เช่นนั้นข้าจะออกเงินช่วยตกแต่งบ้านหลังนี้ให้เจ้า พวกเราเข้ามาอยู่ก็จะได้สะดวกขึ้นด้วย”

แม้นสิ่งที่นางทำจะเป็นการเติมดอกไม้ลงไปบนผ้าทออันหรูหรา แต่เมื่อพูดออกไปก็ชวนน่าฟังขึ้นเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นจะให้หลี่ซื่อออกเงินให้ได้อย่างไร แต่นางก็ไม่มีเงิน จำต้องกล่าวว่า “เรื่องนี้สอบถามท่านพ่อก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีจะดีกว่า บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ คงไม่อาจรับไปเฉยๆ เช่นนี้หรอกกระมัง”

หลี่ซื่อพยักหน้ายิ้มๆ คิดว่าในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยปากออกมาแล้ว เรื่องนี้จะต้องกำหนดแน่ชัดแล้วอย่างแน่นอน แต่บอกให้โจวเจิ้นทราบสักคำก็ดีเหมือนกัน เงินส่วนตัวของนางเอาไปทำอะไรบ้าง อย่างไรก็ต้องบอกให้เขารู้กระมัง

นางไม่ได้เก็บเอาคำพูดของโจวเสาจิ่นมาใส่ใจ ถือโอกาสตอนที่บ่าวรับใช้ขนย้ายหีบสัมภาระกัน นางดึงโจวเสาจิ่นเข้าไปเดินภายในบ้านหนึ่งรอบ

แม้จะสะอาดสะอ้าน ทว่าก็ว่างเปล่า นอกจากต้นไม้ใหญ่ขนาดคนโอบรอบสองสามต้นแล้ว แม้แต่เครื่องเรือนบางส่วนที่โจวเสาจิ่นเคยเห็นตอนมาเยี่ยมเมื่อคราวก่อนเหล่านั้นก็ไม่มีให้เห็นแล้ว

ทว่าโจวโย่วจิ่นที่อายุครบสองขวบแล้วกลับชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก

นางหัวเราะร่าขณะวิ่งเล่นไปทั่วลานบ้านขนาดใหญ่ เป็นเหตุให้แม่นมและสาวใช้ต้องวิ่งวนไปวนมาไล่ตามหลังนางไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

ซางมามาเข้ามาหา เอ่ยขึ้นมาว่า “พ่อบ้านเซี่ยงมาขอพบเจ้าค่ะ!”

“พ่อบ้านเซี่ยง?” หลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นมองหน้ากันอย่างงุนงง

ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “เห็นบอกว่ามีชื่ออักษรตัวเดียวว่า ‘อี้’ เดิมทีเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายนายท่านสี่ เนื่องจากอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงมาเป็นเวลานาน นายท่านสี่จึงให้เขามาเป็นพ่อบ้านของซอยอวี๋เฉียน เขาบอกว่าได้รับคำสั่งจากนายท่านสี่ให้มาคารวะท่านและฮูหยินเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นกะพริบตาปริบๆ

นางนึกถึงตอนที่เฉิงฉือมอบลูกนกขมิ้นให้นางหนึ่งคู่เมื่อคราวก่อน ก็มอบบ่าวชายผู้หนึ่งนามว่า ‘เสี่ยวเชวี่ย’ มาให้เพื่อช่วยเลี้ยงนกให้นางพร้อมกันด้วยเช่นกัน…ต่อมานางให้เสี่ยวเชวี่ยช่วยนางดูแลเสวี่ยฉิวด้วย ปลดเปลื้องชุนหว่านและอีกหลายคนให้พ้นจากหน้าที่นั้นมาได้…

หลี่ซื่อเห็นโจวเสาจิ่นมีอาการใจลอยเล็กน้อย จึงกล่าวกับซางมามายิ้มๆ ว่า “ในเมื่อคนก็มาถึงแล้ว เช่นนั้นก็เชิญเขาไปที่ห้องโถงเถิด!”

นางเห็นว่าที่ห้องโถงแขวนมู่ลี่ไม้ไผ่เซียงเฟยเอาไว้ จะได้ใช้มู่ลี่นั้นกั้นสำหรับทำการพบปะคารวะกันได้พอดี

ซางมามารู้สึกว่าการจัดเตรียมนี้ดียิ่ง รอให้หลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นเข้าไปในห้องโถงแล้ว นางเดินนำพ่อบ้านเซี่ยงเข้ามา

พ่อบ้านเซี่ยงอายุประมาณสี่สิบปี ร่างสูงปานกลาง ดูเจ้าเนื้อเล็กน้อย หน้าตาธรรมดาสามัญยิ่ง ทว่าอากัปกิริยาดูเด็ดเดี่ยวมั่นคง แววตาสุกใส น่าจะเป็นคนระมัดระวังและไม่ขาดความฉลาดเฉลียวผู้หนึ่ง ไม่เหมือนคนเป็นพ่อบ้านแต่เหมือนเป็นหลงจู๊ในร้านค้ามากกว่า

ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหลงจู๊ผู้หนึ่งจริงๆ ก็เป็นได้

โจวเสาจิ่นคาดเดาอยู่ในใจ

พ่อบ้านเซี่ยงผู้นั้นล้วงกระดาษสองสามแผ่นออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้ซางมามาที่อยู่ข้างๆ กล่าวกับโจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อมว่า “นี่คือรายการสิ่งของที่จำเป็นต้องตกแต่งเพิ่มเติมของบ้านหลังนี้ ขอให้คุณหนูรองลองดูก่อน ดูว่ามีอะไรต้องการให้เพิ่มหรือลดหรือไม่ ข้าจะได้ไปหาซื้อมาให้ขอรับ”

ซางมามายื่นกระดาษรายการของไปให้

หลี่ซื่อขยับเข้ามาดูด้วยครั้งหนึ่ง

ทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องเรือนทาน้ำมันเคลือบเงาสีดำเข้าชุดกัน นานๆ ทีจะมีตู้เก็บของ ตั่งและของต่างๆ ลงน้ำมันเคลือบเงาสีดำวาดลวดลายดอกไม้ปรากฏออกมาให้เห็น ไม่ต้องดูก็รู้แล้วว่าเมื่อตกแต่งออกมาแล้วจะงดงามมากเพียงใด

เมื่อดูลงไปอีก กล่องแกะสลักลงน้ำมันเคลือบสีแดงขนาดเล็ก ชุดน้ำชาหลากสี กระถางธูปลวดลายงดงาม ชุดถ้วยชามสีสดใส…แม้แต่รายการสิ่งของมงคลก็มาเป็นคู่ด้วย

ต่อให้เป็นการแต่งบุตรสาว ก็ยังไม่เอาใจใส่ละเอียดลออขนาดนี้เลย

โจวเสาจิ่นมองแล้วตาลายไปหมด

มีเพียงของที่นางนึกไม่ถึงเท่านั้น ไม่มีของอะไรที่บนรายการนี้จะไม่มี

ให้นางดูก่อนว่ามีอะไรต้องการเพิ่มหรือลดหรือไม่นั้น ก็เป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น

โจวเสาจิ่นยื่นกระดาษแผ่นนั้นส่งให้ซางมามา กล่าวขึ้นว่า “พ่อบ้านเซี่ยงคิดได้ถี่ถ้วนครบทุกอย่าง ลำบากท่านแล้ว ท่านตกแต่งตามของที่อยู่ในรายการนี้ได้เลย”

พ่อบ้านเซี่ยงยิ้มน้อยๆ พร้อมกับขาน “ขอรับ” แล้วถอยออกไป

หลี่ซื่อร้อนใจยิ่งนัก แต่ก็ไม่อาจกล่าวโต้แย้งโจวเสาจิ่นได้ จำต้องรอให้พ่อบ้านเซี่ยงเดินออกไปก่อน ถึงได้กระซิบบอกนางว่า “สิ่งของบนรายการแผ่นนั้นอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีมูลค่าสามถึงสี่พันเหลี่ยง คุณหนูรองน่าจะตัดออกสักสองสามอย่างถึงจะถูก”

“หา!” โจวเสาจิ่นบื้อใบ้ไปเล็กน้อย

ทว่าชุนหว่านและอีกหลายคนต่างพากันเม้มปากกลั้นหัวเราะ เสี่ยวถานยิ่งแล้วใหญ่เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินท่านไม่ทราบอะไร เวลานายท่านสี่ของพวกข้ามอบของอะไรให้คุณหนูรอง ล้วนเป็นการให้แบบครบชุดมีทุกอย่างพร้อมอยู่ในนั้นทั้งหมดแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยถึงเรื่องที่เฉิงฉือมอบลูกนกให้โจวเสาจิ่นขึ้นมา

ทำเอาหลี่ซื่อหน้าแดงซ่านไปทั้งหน้า ยังเข้าใจไปว่าเวลาคนที่ซอยจิ่วหรูมอบของให้ผู้อื่นล้วนยึดถือระเบียบปฏิบัติเช่นนี้ ดังนั้นตอนที่คนนำของมาส่งให้ในช่วงบ่าย นางจึงเตรียมตกเงินรางวัลให้เท่านั้น จากนั้นก็เริ่มจัดเก็บบ้านพร้อมกับพวกบ่าวรับใช้

ส่วนโจวเสาจิ่นนั่งแน่นิ่งอยู่ตรงบ่อน้ำท้ายลานบ้าน

ซางมามาถือจานซิ่งจื่อ[1]และหลีจื่อ[2]เข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “พ่อบ้านเซี่ยงได้ไปทิ้งนามไว้ที่ร้านผลไม้สดเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ทางด้านนั้นจะส่งเถาจื่อ[3]และอิงเถา[4]เข้ามาให้ คุณหนูรองลองชิมดูก่อนเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นหยิบหลีจื่อมาชิ้นหนึ่ง เอ่ยถามว่า “ท่านน้าฉือยังไม่กลับมาอีกหรือ”

มื้อเที่ยงเป็นอาหารที่ส่งมาจากภัตตาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล กระทั่งพวกนางรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ซางมามาก็พาพวกนางไปพักผ่อนที่เรือนหน้า

ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นรู้สึกไม่สบายไปทั่งร่าง

บ้านที่คนจิงเฉิงอาศัยอยู่กันนั้นเป็นเรือนสี่ประสาน เป็นลานบ้านสี่เหลี่ยม ปกติแล้วเรือนที่ต้องเดินอ้อมผ่านกำแพงมาก็คือเรือนหน้า นอกจากนี้เรือนหน้ายังตั้งอยู่ทางทิศใต้หันหน้าไปทางทิศเหนือและอยู่ตรงข้ามกับเรือนหลักเรียกว่าเรือนใต้

ชายคากำแพงของเรือนใต้ล้วนหันเข้าหาถนน โดยปกติจึงไม่เปิดหน้าต่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ประตูและหน้าต่างของเรือนจึงหันไปทางทิศเหนือเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้รับแสงดีๆ หากมิใช่ทำเป็นเรือนรับรองแขกก็เป็นเรือนพักสำหรับบ่าวรับใช้ทั้งหลาย

แต่สถานที่ที่ซางมามาพาพวกนางไปพักผ่อนนั้น คือห้องที่อยู่ติดฝั่งตะวันออกที่สุดของเรือนใต้ เป็นห้องหนังสือที่เฉิงฉือใช้สำหรับรับรองแขกนั่นเอง

เขาย้ายออกมาจากเรือนหลัก ก็แล้วย้ายห้องนอนไปอยู่ที่ห้องหนังสือ

ส่วนห้องที่อยู่ไม่ไกลจากเขาทางฝั่งตะวันตกที่สุดกลับเป็นเรือนพักของพวกบ่าวรับใช้ทั้งหลาย

ท่านน้าฉือจะพักอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

เวลานั้นกระบอกตาของโจวเสาจิ่นรื้นชื้นขึ้นมา ต้องการไปหาเฉิงฉือ

แต่เฉิงฉือไปที่สิบสามห้างยังไม่กลับมา

นางเอ่ยถามซางมามา “ท่านน้าฉือร่วมลงทุนกับสิบสามห้างไปเป็นจำนวนเงินเท่าไรหรือ”

ซางมามากล่าว “น่าจะประมาณสองแสนเหลี่ยงเจ้าค่ะ…”

ตอนนั้นโจวเสาจิ่นบื้อใบ้ไปชั่วขณะ

กระทั่งตอนที่พ่อบ้านเซี่ยงไปซื้อของกลับมาถึงนั้น นางอยากจะให้พ่อบ้านเซี่ยงนำของไปคืนให้หมดเหลือเกิน แต่นางก็ไม่กล้าพูด กลัวว่าจะทำให้เฉิงฉือเสียหน้า ทำได้เพียงหลบมานั่งรอเฉิงฉืออยู่ตรงนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นของพวกนั้นแล้ววุ่นวายใจ

ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า” ฝานฉีเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูแล้วนี่เจ้าคะ! ถ้านายท่านสี่กลับมาถึงจะต้องมารายงานให้ทราบอย่างแน่นอน…”

ภายในบ้านหลังนี้หากมิใช่คนของนางก็เป็นคนของเฉิงฉือ นอกจากนี้ยังเป็นคนของนางเสียเป็นส่วนใหญ่ โจวเสาจิ่นจึงรู้สึกวางใจเป็นอย่างยิ่ง จะใช้งานใครขึ้นมาก็ไม่ต้องเป็นกังวลเลย

โจวเสาจิ่นบีบเค้นหลีจื่อในมือ

มีบ่าวชายวิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่กลับมาแล้วขอรับ!”

โจวเสาจิ่นยกกระโปรงขึ้นวิ่งออกไป

หลี่ซื่อที่อยู่ในเรือนหลักเห็นแล้วรีบบอกให้สาวใช้ตามไปดูเหตุการณ์ด้วย

ลานชั้นนอกมีบุรุษสองสามคนที่โจวเสาจิ่นไม่รู้จักยืนอยู่ บ้างก็มีรูปร่างสูงใหญ่บ้างก็มีรูปร่างแข็งแกร่งกำยำ กำลังกระซิบพูดคุยกันอยู่ ทำให้ลานชั้นนอกดูแคบขึ้นมาในทันใด

นางเองก็ไม่มีกะจิตกะใจสนใจอะไรมาก ก้มหน้าวิ่งเข้าไปที่ห้องหนังสือของเฉิงฉือ

ไหวซานยืนกุมมืออยู่ข้างๆ ส่วนชิงเฟิงกำลังเปลี่ยนชุดให้เฉิงฉืออยู่

เห็นโจวเสาจิ่นพุ่งเข้ามา เฉิงฉือรีบสวมเสื้ออย่างรีบร้อน แต่เพิ่งจะสวมเสื้อเสร็จ เขาก็เหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ มือชะงักลงครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ เริ่มคาดเข็มคัดผ้าอย่างช้าๆ

แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นย่อมไม่ได้สังเกตเห็นอากัปกิริยาเหล่านั้น นางยังไม่ทันได้กล่าวอะไร น้ำตาก็ไหลรินลงมาก่อนแล้ว

เฉิงฉือยังไม่ทันจะได้ส่งสายตาให้ไหวซาน ไหวซานก็ถลึงตาใส่ชิงเฟิงครั้งหนึ่ง แล้วเดินออกไปด้านนอก

ชิงเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองโจวเสาจิ่นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจหนึ่งครั้ง ถึงได้ตามไหวซานถอยออกไป

เฉิงฉือครุ่นคิด เดินเข้ามาวางมือลงบนหัวไหล่ของโจวเสาจิ่น กระซิบถามเสียงนุ่มว่า “เป็นอะไรไปหรือ”

โจวเสาจิ่นเจ็บปวดหัวใจเหลือคณา สะอื้นไห้กล่าวว่า “ท่าน…ท่านอยู่ที่นี่ไม่ได้นะเจ้าคะ! ท่านไปพักอยู่ที่เรือนหลักเถิด ข้าจะอยู่ที่นี่เอง…”

“กล่าววาจาไร้สาระ!” เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับตำหนินางเบาๆ “เจ้าและฮูหยินอยู่ที่นี่ ข้าจะพักอยู่ในเรือนชั้นในได้อย่างไร”

ทำไมโจวเสาจิ่นจะไม่รู้ แต่เพียงนางนึกถึงว่าคนที่ใช้น้ำหอมดั่งที่ได้ยินมาอย่างท่านน้าฉือจะต้องมาอยู่ติดกับเรือนของบ่าวรับใช้แล้ว นางก็รู้สึกราวกับนั่งอยู่บนเบาะเข็มก็ไม่ปาน

“เช่นนั้นท่านก็ไปพักอยู่ที่เรือนด้านหลัง” นางกล่าวอย่างร้อนรนคล้ายคนป่วยที่รีบร้อนไปหาหมอ “แล้วเข้าออกจากประตูหลัง”

ให้เขาเข้าออกจากประตูหลัง จะกลายเป็นคนเช่นไรไปแล้ว?

เฉิงฉือรู้สึกหัวใจอ่อนยวบ

เด็กน้อยร้อนใจแล้วจริงๆ ทนเห็นเขาได้รับความลำบากไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

เฉิงฉือกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้เบาๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “กล่าววาจาไร้สาระอีกแล้ว ข้าพักอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวเท่านั้น รอให้ข้าจัดการธุระจนเหลือไม่มาก ก็จะย้ายไปอยู่ที่ประตูเฉาหยางแล้ว…ไม่เป็นไรเลย! ว่าอย่างไร หืม?”

จริงด้วย!

นางลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นเช็ดน้ำตาด้วยความอับอาย รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลายิ่งนัก

เฉิงฉือจึงกอดนางอีกครั้ง กล่าวขึ้นว่า “กลับไปก่อน! แล้วกลางคืนมาเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนข้า!”

………………………………………………………………..

[1] ซิ่งจื่อ ลูก apricot

[2] หลีจื่อ ลูกสาลี่

[3] เถาจื่อ ลูกท้อ

[4] อิงเถา ลูกเชอร์รี่