โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้อย่างเชื่อฟังแล้วเดินออกไป ในใจยังคงรู้สึกเศร้าหมองเป็นอย่างมากอยู่
กระทั่งตอนที่เดินใกล้จะถึงปากประตูแล้วนั้น ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าตนยังไม่ได้ถามอีกหนึ่งเรื่อง จึงหมุนกายกลับมาอีกครั้ง เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ท่านน้าฉือ แล้วเรือของสิบสามห้างนั่น เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
สองแสนเหลี่ยง…นั่นเป็นเงินจำนวนเท่าไรกันนะ
นางจำได้ว่าชาติก่อนติ้งกั๋วกงเคยได้รับราชโองการให้ออกเดินทางไกลไปเกาลี่[1] ใช้เวลาสามปี เสียค่าใช้จ่ายไปหนึ่งแสนเหลี่ยง
ซึ่งก็หมายความว่า เงินที่ท่านน้าฉือสูญเสียไป จะออกเดินทางไกลไปเกาลี่ได้ถึงสองครั้ง
ต่อให้ตระกูลเฉิงจะไม่ถึงขั้นล้มละลาย แต่เกรงว่าก็อาจจะเป็นการลดทอนอำนาจของตัวเองลงได้
แต่นี่ล้วนเป็นเรื่องรอง
สิ่งที่นางเป็นกังวลใจมากที่สุดก็คือเฉิงซวี่ผู้เป็นท่านผู้นำตระกูลจวนรองจะกระโดดออกมาสร้างความลำบากให้ท่านน้าฉือ ไม่แน่ว่าอาจจะใช้อำนาจไปควบคุมร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่อีกด้วย
ชาติก่อนเฉิงเจียเคยพูดเอาไว้ว่า เฉิงเจิ้งพี่ชายของนางริษยาอยากได้ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่เป็นอย่างมาก
เพียงแต่ว่าตอนนั้นนางไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร
ชาตินี้นางจะยืนดูท่านน้าฉือพบกับหายนะไปเฉยๆ ได้อย่างไร
เฉิงฉือเห็นนางเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง คิดว่านางคงไปได้ยินข่าวลืออะไรมาเป็นแน่ กลัวว่านางจะตื่นตระหนก จึงอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดว่า “กองเรือของสิบสามห้างที่ออกทะเลไป ตอนนี้มีเพียงหนึ่งลำที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ถึงแม้จะกระทบต่อผลกำไร แต่ขอเพียงเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยได้ ก็ยังคงมีกำไรอยู่ ตอนนี้ด้านนอกพูดกันไปต่างๆ นานา บ้างก็เป็นคำพูดที่เกิดจากความกังวลของเหล่าพ่อค้าที่ร่วมทุนด้วยเหล่านั้น แต่ก็มีคำพูดบางส่วนที่ถูกปล่อยออกมาจากคู่แข่งของสิบสามห้างเพื่อโจมตีคนที่ร่วมทุนกับสิบสามห้างเหล่านั้น การเดินเรือในครั้งนี้เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีนี้และของรัชสมัยนี้ หากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น สิบสามห้างก็อาจจะสูญเสียตำแหน่งเจ้าผู้ครองการค้าของทางใต้ไป แต่ทำนองเดียวกัน ถ้าหากประสบความสำเร็จ สิบสามห้างก็จะปีนได้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น กระทบถึงการค้าของทางเหนือ ซึ่งอาจจะช่วงชิงกำไรมาได้เป็นจำนวนมหาศาล”
โจวเสาจิ่นเข้าใจแล้ว
นางไม่สนใจว่าการค้าของสิบสามห้างจะใหญ่โตไปได้ไกลถึงเพียงใด นางกลัวเพียงว่าท่านน้าฉือจะได้เงินกลับมาหรือไม่เท่านั้น
สาเหตุที่การค้าทางทะเลทำเงินได้มากขนาดนั้นก็เพราะมันมีความเสี่ยงสูง คนธรรมดาทั่วไปจึงไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ตอนนี้มีเรืออับปางเพียงหนึ่งลำก็จริง แต่ถ้าเรืออับปางลงอีกหนึ่งลำเล่า?
เมื่อความคิดวาบผ่าน นางก็ร้อง ‘เพ้ย’ กับตัวเองครั้งหนึ่ง ลอบสวดในใจประโยคหนึ่งว่า สิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นโมฆะเหลือเพียงสิ่งดีไว้ จากนั้นถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ แล้วของที่ซื้อกลับมาในวันนี้เหล่านั้นจะนำไปคืนสักส่วนหนึ่งได้หรือไม่ มันมากเกินไป และก็มีของจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้ อย่างเช่นถ้วยชามเหล่านั้น ข้าดูแล้วมีถึงสิบสองชุด พวกข้าอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ค่อยได้เชิญแขกมา จะต้องใช้ถ้วยชามจำนวนมากถึงเพียงนั้นไปเพื่ออันใด ต่อให้ได้เชิญแขกมา ก็ไม่อาจเชิญแขกมาที่บ้านติดๆ กันถึงสิบสองครั้งได้! ข้าว่าเหลือเอาไว้เพียงสองถึงสามชุดก็พอแล้วเจ้าค่ะ อย่างมากพวกเราก็คงจะเชิญฮูหยินใหญ่เลี่ยวมากินข้าวด้วยกันสักมื้อตอนที่นางมาถึงแล้วเท่านั้น แล้วก็แจกันนั่นอีก มีทั้งที่เป็นลายภาพทิวทัศน์หิมะและลายดอกเหมยเหมันตฤดู ข้าว่าเก็บเอาไว้เพียงหนึ่งคู่ก็พอแล้ว ปีหน้ามีลายใหม่ออกมาค่อยซื้อมาอีกก็ยังไม่สาย…”
การตกแต่งเรือนนั้นต้องปรับเปลี่ยนไปตามสี่ฤดูกาลที่แตกต่างกันไป แจกันลายภาพทิวทัศน์หิมะและลายดอกเหมยเหมันตฤดูนี้ล้วนเป็นของที่ใช้ตกแต่งในฤดูหนาว ถ้าเป็นบ้านของคนที่พิถีพิถันสักหน่อยก็อาจจะประดับแจกันลายดอกเหมยเหมันตฤดูในช่วงที่อากาศหนาวเย็นที่สุดอย่างวันซานจิ่ว แล้วก็เปลี่ยนไปประดับแจกันลายภาพทิวทัศน์หิมะในวันหิมะตก แต่ถ้าไม่เปลี่ยนก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทอะไร ก็เป็นที่ยอมรับได้
เพียงคิดตามคำพูดตั้งแต่ต้นจนจบของโจวเสาจิ่นเฉิงฉือก็เข้าใจแล้ว
เด็กน้อยกำลังลอบช่วยเขาประหยัดเงินอย่างลับๆ อยู่!
ถ้าหากเขามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เงินค่าถ้วยชามและแจกันเพียงไม่เท่าไรพวกนั้นจะช่วยประหยัดได้สักกี่มากน้อยกันเชียว แต่ความปรารถนาดีของเด็กน้อยกลับทำให้เขารู้สึกมีความสุข
เฉิงฉือครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าช่วยข้าเก็บเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน บ้านที่ซอยอวี๋เฉียนนี้มอบให้เจ้าแล้วก็เท่ากับว่าเป็นของเจ้าแล้ว ซึ่งรวมถึงข้าวของภายในบ้านด้วย ข้ายังตั้งใจเอาไว้ว่าอีกสักสองสามวันจะส่งภาพวาดและอักษรภาพมาให้ชุดหนึ่ง ล้วนเป็นผลงานจริงของปรมาจารย์ในรัชสมัยก่อนหน้าทั้งสิ้น เจ้าก็ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีด้วย…”
นี่ท่านน้าฉือต้องการจะ?
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตึกไม่หยุด กว่าครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ บ้านที่ประตูเฉาหยางนั้นเป็นของส่วนรวมหรือเจ้าคะ”
ในตระกูลใหญ่นั้น หากไม่แยกครอบครัวออกไปไม่อนุญาตให้สะสมสมบัติพัสถานส่วนตัว
ดังนั้นอย่ามองว่าท่านน้าฉือเป็นคนดูแลกิจการของซอยจิ่วหรู เพราะเกรงว่าของที่เป็นของส่วนตัวของเขาอาจจะมีไม่มากเท่าเงินส่วนตัวของตนด้วยซ้ำ
เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ ดูไม่ออกเลยว่าในยามสำคัญจะเป็นคนที่เฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้!
เฉิงฉือเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เป็นของจวนหลัก”
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนได้รู้ความจริงแล้ว
ฉับพลันนั้นนางรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาเล็กน้อย
ทำการค้าก็ต้องมีช่วงเวลาได้กำไรและขาดทุนกันบ้างอยู่แล้ว!
ถึงแม้การยุยงท่านน้าฉือในช่วงเวลาที่ตระกูลเฉิงอาจจะพบกับหายนะเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก แต่ท่านน้าฉือช่วยทำเงินให้ตระกูลเฉิงมาตั้งมากมายขนาดนั้น คงไม่อาจริบเอาสิทธิ์ในการดูแลกิจการของเขาคืนเพียงเพราะเขาสูญเสียเงินหรอกกระมัง
เช่นนั้นต่อไปท่านน้าฉือจะทำอย่างไร
หรือว่าจะทำอะไรก็ต้องให้เขาดูสีหน้าของผู้อื่นเพราะเงินไม่กี่เหลี่ยงนั้นอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปาก กล่าวกับเฉิงฉืออย่างขลาดอายเล็กน้อยว่า “หากท่านน้าฉือยังมีของอะไรที่อยากจะมอบให้ข้าอีกก็ส่งมาเลยเจ้าค่ะ! ท่านช่วยจัดคนมีฝีมือดีสักหน่อยมาคุ้มครองบ้านเอาไว้สักสองสามคน ข้ารับประกันว่าจะไม่ทำของล้ำค่าเหล่านั้นหายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ นี่กำลังยุยงให้เขาสะสมสมบัติพัสถานส่วนตัวอยู่ใช่หรือไม่
ชั่วขณะนั้นเฉิงฉือบังเกิดความรู้สึกประเภทที่ว่าเขาสังหารคนแล้วนางช่วยยื่นมีดส่งมาให้เขา
แต่ความรู้สึกนี้…ช่างถูกใจเขายิ่งนัก
คนที่เขาเกลียดที่สุดคือคนที่ยกธงบอกว่าเจตนาดีต่อเขาทว่ากลับให้เขาทำเรื่องต่างๆ ให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการเหล่านั้นเป็นที่สุด
เฉิงฉือจึงกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ในอ้อมกอด วางคางเอาไว้บนศีรษะของนางถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยเสียงหนึ่งว่า “เสาจิ่น”
โจวเสาจิ่นตัวสั่นไม่หยุด
รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเล็กน้อย
ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าควรจะผลักเขาออกดีหรือไม่อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเสียงนั้นของเขาเสียก่อน
เป็นเสียงถอนหายใจที่ลึกและยาว ผิดหวังและขมขื่น
ท่านน้าฉือคงกำลังรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากอยู่กระมัง
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแต่กลับไม่มีใครที่ให้ความช่วยเหลือเขาได้สักคน
ชาติก่อนที่เขาออกจากตระกูลไป จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่นะ
ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นรู้สึกใจเหลวเป็นน้ำ
เวลาที่นางเสียใจก็อยากจะมีใครสักคนโอบกอดนางเอาไว้เช่นกัน
ถึงแม้ท่านน้าฉือจะเป็นบุรุษ แต่ความรู้สึกเสียใจก็ไม่ได้ต่างกัน
เขาอยากกอดนางจึงเป็นอะไรที่ให้อภัยได้
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ทั้งร่างของโจวเสาจิ่นก็ลดความแข็งเกร็งลงมา
ชั่วขณะนั้นเฉิงฉือเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนโบราณถึงกล่าวว่าความคะนึงหานับพันหลี่ไม่สู้มีร่างของคนรักอันนุ่มนวลและหอมหวานอยู่ในอ้อมกอด
เสาจิ่น…เป็นคนที่ทำขึ้นมาจากน้ำตาลจริงๆ
ทั้งนุ่มนวลและหอมหวาน…
เฉิงฉือได้ความคิดหนึ่งขึ้นมา
นับตั้งแต่ที่ตัดสินใจให้โจวเสาจิ่นย้ายเข้ามาเป็นต้นมา ปัญหาหนึ่งข้อที่ทำให้เขากลุ้มใจมาตลอดก็ได้รับการแก้ไขแล้ว
เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย ก้มต่ำลงมากระซิบที่ข้างหูของนางว่า “เสาจิ่น ประเดี๋ยวบอกให้ฮูหยินไปพักอยู่ที่เรือนปีกตะวันออก”
“เพราะอะไรเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
หลี่ซื่อเป็นมารดาเลี้ยงของนาง ต่อให้บ้านหลังนี้จะเป็นสินเจ้าสาวของนาง แต่ตามหลักแล้วนางก็ควรจะจัดให้หลื่ซื่อพักอยู่ที่เรือนหลัก
ก็เหมือนกับที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกำลังจะเดินทางมาที่เมืองหลวง พี่สาวก็ต้องเตรียมเรือนหลักให้ว่างเพื่อให้นางเข้าไปอยู่เช่นกัน
เฉิงฉือกระซิบกล่าวที่ข้างหูของนางต่อไปว่า “เดิมทีไม่อยากให้เจ้ารู้ กล่าวคือ ที่ข้านัดเจ้าออกมาเล่นหมากล้อมนั้น เป็นเพราะกลางคืนข้าอยากจะเอาของบางอย่างไปเก็บที่เรือนหลัก ถ้าหากฮูหยินพักอยู่ที่นั่น ก็คงจะไม่สะดวกเป็นอย่างมาก”
ในที่สุดตนก็ช่วยเหลืออะไรท่านน้าฉือได้แล้ว!
ชั่วพริบตานั้นโจวเสาจิ่นรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
นางพยักหน้าหงึกติดๆ กัน กล่าวรับรองว่า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะให้ฮูหยินไปพักอยู่ที่เรือนตะวันออก”
แต่เฉิงฉือกลับไม่อยากให้โจวเสาจิ่นแบกรับคำตำหนิ จึงกล่าวเสียงนุ่มว่า “หากฮูหยินถามขึ้นมา เจ้าก็บอกไปว่าข้ายังมีของบางอย่างเหลืออยู่ที่เรือนหลัก นางย่อมไม่อาจโต้แย้งเจ้าอย่างแน่นอน แต่นางก็คงจะรู้สึกไม่สบายใจเป็นแน่ ฉะนั้นคืนนี้ตอนที่ข้านำของไปเก็บนั้น อาจจะให้นางได้รู้เห็นเหตุการณ์เป็นเงารางๆ บ้าง เช่นนี้นางจะได้ไม่คิดมากอีก”
ท่านน้าฉือช่างคิดได้รอบคอบยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้ารับ
ในที่สุดเฉิงฉือก็ลูบศีรษะนางอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาได้เสียที
โจวเสาจิ่นชอบที่เฉิงฉือลูบศีรษะของนางเป็นที่สุด เพราะเหมือนกับนางเป็นเด็กน้อยที่เฉิงฉือกำลังเอาอกเอาใจอยู่ก็ไม่ปาน แน่นอนว่านางไม่ได้มีความรู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด
เฉิงฉือจึงกอดนางแน่นๆ อีกครู่หนึ่ง ถึงได้คลายมือออกแล้วถอยออกมาสองสามก้าว ยืนนิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนางจนเกินไป กล่าวยิ้มๆ ว่า “หลังมื้อเย็นอย่าลืมมาเล่นหมากที่นี่ด้วย!”
โจวเสาจิ่นขานรับคำพร้อมกับยิ้มตาหยี ก้าวออกจากห้องหนังสือไปด้วยความเบิกบาน
ของชิ้นใหญ่ของเรือนชั้นในล้วนถูกโยกย้ายไปตั้งอยู่ในที่ที่กำหนดเอาไว้เรียบร้อย พวกบ่าวชายต่างถอยออกไปกันแล้ว หลี่ซื่อกำลังนั่งดื่มชาอยู่ตรงเฉลียงทางเดิน ส่วนซางมามาคอยกำกับสั่งการให้พวกป้ารับใช้ยกของไปเก็บที่เรือนด้านหลัง
พอเห็นโจวเสาจิ่นเข้ามา นางรีบก้าวออกมาต้อนรับ ยิ้มพลางหันไปค้อมกายให้โจวเสาจิ่น เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรองไม่อยู่ ข้าจึงถือวิสาสะนำเอาห้องทางฝั่งตะวันตกของเรือนด้านหลังสามห้องมาทำเป็นห้องเก็บของ ท่านลองดู”
“ท่านตัดสินใจได้เลยเจ้าค่ะ” คนทั่วไปล้วนจัดการกันเช่นนี้ โจวเสาจิ่นไม่มีอะไรคัดค้าน เพียงแต่ว่าเรื่องการจัดห้องหับสำหรับพักอาศัยนี้…ถึงแม้เมื่อครู่จะตกปากรับคำเฉิงฉือเสียดิบดี แต่พอมาเผชิญหน้ากับหลี่ซื่อ นางยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย พึมพำกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าอยากอยู่เรือนหลักเจ้าค่ะ…”
หลี่ซื่อตกตะลึงงัน จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างไม่ถือสา เอ่ยขึ้นว่า “ได้อยู่แล้ว! ใครอยู่เรือนหลักก็เหมือนกัน นอกจากนี้บ้านหลังนี้ก็เป็นสินเจ้าสาวของเจ้าด้วย”
หลี่มามาและคนปรนนิบัติรับใช้คนอื่นๆ ของหลี่ซื่อกลับเผยความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย
สุดท้ายแล้วมิใช่บุตรของตนก็คือมิใช่บุตรของตนอยู่ดี ฮูหยินดีต่อคุณหนูรองถึงเพียงนี้ คุณหนูรองกลับต้องการไล่ให้ฮูหยินไปอยู่ที่เรือนปีกตะวันออก ถ้าหากไม่มีคนนอกก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาเยี่ยมเยียนฮูหยิน ฮูหยินยังจะมีหน้าเหลือให้นับถืออยู่อีกหรือ แม้แต่ต้ากูไหน่ไนเองก็ต้องเสียหน้าต่อหน้าฮูหยินใหญ่เลี่ยวด้วยเช่นกัน!
โชคดีที่ท่านน้าฉือช่วยคิดคำพูดให้นางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
โจวเสาจิ่นสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเอง ขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของหลี่ซื่อสองสามประโยค
หลี่ซื่อประหลาดใจเป็นอย่างมาก สุดท้ายดูผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จแล้วก็ไปเดินหมากกับเฉิงฉือ
เดิมทีฝีมือการเล่นหมากของนางก็ต่างกับของเฉิงฉือราวฟ้ากับเหวอยู่แล้ว บวกกับความที่อยากรู้เหลือเกินว่าเฉิงฉือเอาของอะไรไปเก็บที่เรือนหลักแล้ว ก็เลยยิ่งใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงเดินหมากได้ย่ำแย่มาก ถึงขนาดที่ว่าเฉิงฉืออยากจะหลอกล่อให้นางเล่นก็ยังหลอกล่อต่อไปไม่ไหว
เขาจึงผลักกระดานหมากออกไป ดึงตัวโจวเสาจิ่นให้ลุกขึ้น พลางกล่าว “พวกเราไปดูว่าพวกเขาทำกันไปถึงไหนแล้วกันดีกว่า”
“เอ๋!” โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ ทว่าดวงหน้ากลับยากที่จะปิดความยินดีเอาไว้ “ข้าไปดูได้หรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือถูจมูกของนาง จับมือนางเดินนำออกไปด้านนอก ทว่าจังหวะที่ออกมาจากประตูแล้วก็ปล่อยมือของโจวเสาจิ่นออกแล้วเดินนำอยู่เบื้องหน้านาง
โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับตนได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ที่เรือนฝูชุ่ย
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องเป็นกังวลใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องคิด ท่านน้าฉือย่อมจะจัดการทุกอย่างเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว
นางยิ้มอย่างมีความสุข เดินตามหลังเฉิงฉืออยู่สองก้าว
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็วิ่งเหยาะๆ ตามไปสองก้าว จากนั้นเดินทิ้งระยะห่างตามหลังเฉิงฉือหนึ่งก้าวแทน
เฉิงฉือทำเป็นมองไม่เห็น ยิ้มพลางเดินเข้าประตูเรือนชั้นในไป
เวลานี้หลี่ซื่อควรจะเข้านอนได้แล้ว แต่เมื่อคิดถึงเรื่องของวันนี้แล้ว นางก็นอนไม่ค่อยหลับ
หลี่มามายิ่งแล้วใหญ่อยากจะกล่าวอะไรสักอย่างต่อหน้านางทว่าก็หยุดไป เดินกลับไปกลับมาอยู่เกือบจะหนึ่งชั่วยามแล้ว
หลี่ซื่อทั้งรู้สึกว่าน่าขบขันและรู้สึกซาบซึ้งใจไปด้วย กำลังคิดจะบอกเล่าคำพูดของโจวเสาจิ่นให้นางฟัง ก็มีเสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ดังเข้ามาจากด้านนอกเสียก่อน
นางอดไม่ได้ผลักหน้าต่างให้เปิดออกเป็นช่องเล็กๆ ช่องหนึ่ง แนบตัวกับผนังมองออกไปด้านนอก
เฉิงฉือและโจวเสาจิ่นเดินเรียงหน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่งเข้าไปในเรือนหลัก
บ้านที่ซอยอวี๋เฉียนนี้เป็นบ้านสามวงที่มีห้องขนาบข้างสองห้อง ตรงกลางของเรือนหลักเป็นห้องโถง ด้านตะวันออกเป็นห้องนอนของโจวเสาจิ่น ส่วนด้านตะวันตกเป็นห้องหนังสือ
เวลานี้พื้นกระเบื้องของห้องนอนล้วนถูกงัดออกมาจนหมด ชายร่างกำยำหลายคนกำลังนำทองคำแท่งไปวางปูลงไปตรงพื้นที่ที่ถูกงัดกระเบื้องออกนั้นทีละก้อนทีละก้อน
ไหวซานยืนกุมมือมองอยู่ข้างๆ
ในหีบข้างๆ เขาที่เปิดอ้าเอาไว้นั้นยังคงมีทองคำแท่งวางเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบอีกหนึ่งหีบ
………………………………………………………..
[1] เกาลี่ (高丽) ประเทศเกาหลี