แบบนี้ก็ได้เหรอ?
นางทั้งขบขันทั้งซาบซึ้งใจ…เจ้าคนนิสัยแปลกประหลาดคนนี้ บางครั้งก็ครุ่นคิดละเอียดรอบคอบอย่างยิ่งจริงๆ เรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นคือภายในความละเอียดรอบคอบของเขายังแฝงด้วยความเคารพ ไม่ทำให้เจ้ารู้สึกอับอายขายหน้าแน่นอน
รู้ว่าอีกไม่นานเขาจะกลับมา นางก็หน้าแดงพลางรีบปัสสาวะอย่างรวดเร็ว เมื่อเสร็จแล้วกำลังจะผูกเชือกกางเกงก็ได้ยินว่าหน้าต่างบนหลังคาที่อยู่ข้างบนนั้นคล้ายมีเสียงดังขึ้น นางตกใจจนลืมว่าขาของตนเองยังไร้เรี่ยวแรง รีบลุกขึ้นยืนดังฟึ่บ แต่ยืนได้ครึ่งหนึ่งขาก็พลันอ่อนยวบ
นางล้มลงบนพื้นเสียงดังพลั่ก กางเกงยังไม่ทันได้ดึงขึ้นมา…
บนศีรษะมีการเคลื่อนไหวแล้ว ข้างห้องมีเสียงฝีเท้าประชิดใกล้อย่างรวดเร็ว จิ่งเหิงปัวอยากจะร้องไห้ออกมา…ก้นของนางยังเปลือยเปล่าอยู่เลยนะ! คราวนี้ก็จบกัน ถ้าไม่ถูกคนบนหน้าต่างหลังคาที่อยู่ข้างบนมองเห็นหมดแล้วก็ต้องถูกไอ้ติ๊งต๊องปล้นสุสานที่อยู่ข้างล่างมองเห็นหมดแล้ว จะทำอย่างไรดี?
รีบดึงสิ ออกแรงดึง นางพยายามดิ้นรนสุดกำลังเฉกเช่นแมลงขาวราวหิมะตัวหนึ่ง…
เสียงฝีเท้าประชิดเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยุดลงในทันใดประหนึ่งได้รับความกระทบกระเทือน
จิ่งเหิงปัวยังดึงไม่ทันเสร็จสิ้น ทันได้แค่คว้าฟางข้าวมัดหนึ่งมาอย่างรุนแรง ปกคลุมเบาบางบนร่างกายของตนเอง
นางหันหน้าไป รู้สึกแค่ว่าทั้งขวยเขินทั้งหงุดหงิด อยากจะต่อยคนข้างบนคนข้างล่างสักหมัดเหลือเกิน
ข้างบนมีการเคลื่อนไหวเลือนราง คล้ายมีเสียงลากหน้าต่าง จากนั้นเสียง เพียะ! ก็ดังขึ้นแผ่วเบาโดยพลัน ลมจากนิ้วพุ่งขึ้นไป หน้าต่างบนหลังคาพังทลายจนเกิดเสียง พลั่ก!
ครู่ต่อมาเสียงลมก็เฉียดผ่านประคองนางลุกขึ้น ยามที่ประคองนางนั้นนิ้วมือก็ลูบอย่างแผ่วเบา กางเกงของนางจึงกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมอย่างปลอดภัย
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมายืดยาวเฮือกหนึ่ง ก่อนรีบคว้าเข็มขัดไว้แน่น พอเอียงศีรษะมองก็เห็นเจ้าคนผู้นั้นเบนหน้าอยู่ตลอดเช่นกัน ท่วงท่าเฉกเช่นผู้มีศีลธรรมที่ไม่มองเรื่องผิดจริยา
นางสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็มองเห็นเขาสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้ง ผลักถังชักโครกคืนสู่หลังม่านด้วยความเอาใจใส่ยิ่งนัก ถอนหายใจยืดยาวอีกครั้งทันที แทบจะอยากขอบคุณเขาแล้ว
ความเก้อเขินบางอย่างยากจะกล่าวให้ชัดเจน พบเจอพวกสะเพร่าสักคนย่อมทำให้นางจนปัญญาเนิ่นนาน โชคดีที่เขาดูท่าทางซื่อตรงโง่เขลาแต่ตนเองมีความละเอียดอ่อนที่หาได้ยากยิ่งส่วนหนึ่ง
นางพิงบนผืนฟาง ผ่านไปสักพักหัวใจก็เต้นดังตึกตัก ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าตอนทำเรื่องชั่วร้าย
ผ่านไปนานครู่ใหญ่จึงเงียบสงบลง นางมองดูหลังคาคุกที่มีน้ำไหลซึมออกมา สีหน้าเลื่อนลอย
คล้ายว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเคยมีเรื่องราวคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นด้วย…ความเก้อเขินในยามที่ความต้องการทางกายภาพเรียกร้องเร่งด่วน คนคนหนึ่งกลับแก้ไขปัญหาให้นางอย่างสงบเยือกเย็น…
ไม่ใช่ ไม่ใช่ก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นก่อนหน้านี้เนิ่นนานมากแล้ว เสมือนอยู่คนละยุคสมัย พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เป็นภพหน้าแล้ว
ภายในสมองเห็นใบไม้เขียวพลัดพลิ้ว ตาข่ายสีเงินลอยล่อง คล้ายยังได้ยินเสียงคลื่นยามนางดำผุดดำว่ายกลางสายน้ำ เสียงลิงเจ้าเล่ห์โลดแล่น ซ้ำยังมีเสียงกรีดร้องตกใจและเสียงหัวเราะดังลั่นของนาง
ห่างไกลขนาดนั้น ไกลโพ้นเพียงนั้น
นางนำข้อศอกทับบนใบหน้าอย่างเชื่องช้า ทับดวงตาไว้ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางทำท่าทางนี้บ่อยครั้ง
มีเพียงแบบนี้ ความทรงจำและความแจ่มชัดประหนึ่งน้ำพุที่คล้ายไม่ได้รับเชิญเหล่านั้นถึงจะถูกสยบไว้ได้อย่างแน่นหนา
ข้างกายมีการเคลื่อนไหว มีคนกำลังจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง นางรู้สึกได้ถึงลมหายใจ แต่ไม่ได้ขยับแขนออก
เขาไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองรูปร่างหน้าตาที่ถูกบดบังไว้ครึ่งหนึ่งของนางอย่างเงียบเชียบ
ครู่หนึ่งนั้นเมื่อครู่นี้ แท้จริงแล้วยังคงมองเห็น…
นางหมอบอยู่บนพื้นท่ามกลางความมืดมิด เสื้อคลุมยาวเลิกออกครึ่งหนึ่งเบี่ยงเบนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ร่างกายตรงกลางช่วงหนึ่งขาวราวหิมะดุจจันทร์กระจ่าง สว่างเรืองรองกลางลำแสงเลือนรางมืดสลัว ซ้ำยังคล้ายหยกแกะสลักท่อนหนึ่ง ถูกแสงจันทร์ที่เล็ดลอดเข้ามาจากซอกหน้าต่างสาดส่องให้สว่างไสว เปล่งประกายระยิบระยับอ่อนโยนเกลี้ยงเกลา พาให้คนพลันนึกถึงความงดงามประณีตทุกสิ่งในโลกนี้ การดำรงอยู่ที่ทำให้สายตาอาลัยอาวรณ์เหล่านั้น
ซ้ำยังมีความงดงามประณีตเช่นเดียวกันเหล่านั้นกลางความทรงจำ เค้าโครงของสรรพสิ่งที่ทำให้คนไม่อาจลืมเลือน
…
นางไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย
ทว่าเขาคล้ายมองอยู่นานเหลือเกิน จนทำให้ในใจของนางรู้สึกกดดันขึ้นมากะทันหัน อดที่จะลืมตาขึ้นไม่ได้
พอลืมตาขึ้นกลับมองเห็นเขานั่งขัดสมาธิลงตรงฝั่งตรงข้ามพลางหลุบดวงตาลงแล้ว คล้ายการจ้องมองเมื่อครู่เป็นแค่ความรู้สึกไปเองของนางเท่านั้น
นางหัวเราะอย่างเกียจคร้านให้หลังคาคุกเล็กน้อย รู้สึกว่ากระแสปราณภายในร่างกายค่อยๆ หายเป็นปกติแล้ว อีกไม่นาน นางน่าจะออกไปได้โดยไม่ต้องให้คนช่วยเหลือ
ขณะที่คิดแบบนี้ ความก็ง่วงมาเยือนอีกครั้ง นางหลับตาลงอย่างไม่มีแรงต้านทาน ก่อนเข้าสู่ห้วงหลับใหล ได้ยินข้างนอกคล้ายมีเสียงจ้อกแจ้กจอแจรำไร นางครุ่นคิดด้วยความวิงเวียนเลอะเลือน เสียงเอะอะขนาดนี้เพราะพวกเฮฮามาถึงแล้วหรือ? เมื่อครู่หน้าต่างบนหลังคาถูกทุบจนพังแล้ว ทำไมไม่มีใครกระโดดลงมาเลยล่ะ…
คล้ายนอนหลับไปนานเหลือเกิน ซ้ำยังคล้ายไม่ได้นอนหลับด้วยซ้ำ รู้สึกไปชั่วขณะหนึ่งว่าโลกทั้งใบว่างเปล่าขาวโพลน เมื่อนางลืมตาขึ้นอย่างกะทันหันอีกครั้ง ตรงหน้ายังคงเป็นลำแสงมืดสลัวเช่นเดิมกับเขาที่อยู่ข้างกาย
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เจ้าคนนี้มานอนข้างกายนางอีกครั้งแล้ว
ขณะนี้ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก จิ่งเหิงปัวมองเห็นความเขียวคล้ำใต้ตาเขาแวบหนึ่ง นางขมวดคิ้วขึ้น ประหลาดใจว่าตั้งแต่เจ้าคนนี้เข้าคุกมาใช้ช่วงเวลาส่วนใหญ่ในการนอนหลับ แล้วทำไมยังมีท่าทางคล้ายคนนอนหลับไม่เพียงพอ
ยามที่เขาหลับตาท่วงท่าเงียบสงัด นางครุ่นคิดว่าทุกคนอาจจะนอนหลับด้วยท่วงท่าเงียบสงบแบบนี้ไปพลางพร้อมยื่นมือออกไปอย่างเงียบเชียบ
อยากทำสิ่งหนึ่งมาตั้งนานแล้ว
นิ้วมือประชิดขอบผ้าคลุมหน้า หากถลกออกย่อมมองเห็น
เขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ลมหายใจหนักหน่วง
จิ่งเหิงปัวไม่ลังเลแม้แต่น้อย นิ้วมือออกแรง…
พลั่ก! เสียงหนึ่งพลันระเบิดขึ้นข้างบนศีรษะ ดังสะท้านจนทั่วทั้งคุกส่งเสียงกังวานหวึ่งๆ เขาลืมตาขึ้นโดยพลัน จิ่งเหิงปัวชะงักแต่ไม่ได้ชักมือกลับมา ซ้ำยังกระชากออกทันที
นางต้องรู้ให้ได้!
เขาเงยหน้าขึ้นมา
ภายใต้ผ้าคลุมหน้าคือใบหน้าอ่อนวัยและธรรมดาของคนคนหนึ่ง สีหน้าบนใบหน้านั้นดูงงงวยและประหลาดใจ สอดคล้องกับสถานการณ์ในยามนี้
มือของจิ่งเหิงปัวร่วงลงไปแล้ว ในใจว่างเปล่า ไม่รู้ว่าผิดหวัง ดีใจหรือโกรธแค้น
“เจ้า…” เขาคล้ายโกรธเคืองเล็กน้อย
“ขอโทษนะ เปิดผิดแล้ว” นางตบใบหน้าของเขาอย่างไร้ซึ่งความละอาย ฉวยมือสวมผ้าคลุมหน้าคืนให้เขาอีกครั้ง ด้วยกลัวว่าเขาจะลงมือ จึงพลิกตัวครั้งหนึ่งรีบลงจากผืนฟาง
พอเท้าร่วงลงพื้นนางชะงักอีกครั้ง…ตนเองขยับได้แล้วเหรอ?
บนศีรษะพลันมีแสงสว่าง พอเงยหน้าถึงพบว่าหน้าต่างบนหลังคาแหลกละเอียดแล้ว ข้างบนมีเสียงรองเท้าหุ้มข้อหลายคู่กำลังกระโดดโลดเต้น
“ข้ามาก่อน!”
“ข้าเอง ข้ารูปร่างดี!”
“ก้นเจ้าใหญ่เกินไป จะติดหน้าต่าง!”
“ให้เจ้าเจ็ดใช้หน้าลองก่อน หนวดเคราผ่านไปได้ เรือนร่างย่อมผ่านไปได้!”
พลั่ก!
คนผู้หนึ่งร่วงดิ่งลงมา ดูจากท่วงท่านั้นน่าจะถูกถีบลงมาอย่างกะทันหัน พลิกกายครั้งหนึ่งกลางอากาศ ปรับปรุงท่วงท่าอย่างสง่างาม พลิกกายไปพลางซ้ำยังไม่ลืมทักทายข้างล่างว่า “อมิตพุทธ ปัวปัว ยามนี้อาตมามีท่วงท่าแห่งเทพพระพุทธไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?”
จิ่งเหิงปัวอยากหัวเราะ ซ้ำยังรู้สึกว่าเหนื่อยหน่าย
พวกเฮฮาเจ็ดคนมาแล้ว ว่าแต่ทำไมพวกเขาถึงมาค่อนข้างช้ากว่าทุกครั้งเลยล่ะ?
ส่วนใหญ่เพราะใช้เวลาถกเถียงกันมากเกินไป หากคนกลุ่มหนึ่งแค่ใครก้าวเท้าออกไปก่อนยังต้องทะเลาะกันครั้งหนึ่ง นึกดูแล้วพอจะรู้ว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
“โอ้ มาแล้วจงอย่าได้ออกไปเลย” นางตอบ
จากนั้นนางก็หันหลัง ตระเตรียมกล่าวลาเพื่อนร่วมห้องหนึ่งวันหนึ่งคืนของตนเอง
แต่ข้างหลังไม่มีคนแล้ว
นางชะงัก ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง มองเห็นแผ่นศิลาใต้ดินทางนั้นปิดสนิทแล้ว นางเอื้อมมือแงะแผ่นศิลาออก แต่แผ่นศิลานั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงเศษเสี้ยว
นางนั่งยองอยู่ตรงนั้นอย่างงงงวย มือสัมผัสกลุ่มฟางที่อยู่ใต้ร่างกายเขาก่อนหน้านี้โดยไม่ตั้งใจ กลุ่มฟางเย็นเยียบเช่นกัน คล้ายไม่มีใครเคยนั่งอยู่ด้วยซ้ำ คล้ายกับว่าการพบกันชั่วคราวที่ได้นอนร่วมห้องหนึ่งวันหนึ่งคืนนี้เป็นเพียงภาพลวงตาของนาง
เพราะว่ามองเห็นพรรคพวกของนางมาช่วยแล้ว กลัวถูกใครพบเข้าจึงจากไปแล้วหรือ?
นางลุกขึ้นยืน ในใจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย การพบกับคนบางคนใช้เวลาแสนสั้น คล้ายมีความหมายเพียงเล็กน้อย แต่สลักเสลาอยู่บนดวงใจอย่างแปลกประหลาด ยากจะลืมเลือน
เสมือนโจรขุดโพรงลึกลับคนนี้ในวันนี้ เสมือนขันทีชราที่แบกนางหลบหนีเอาชีวิตรอดในวันนั้น
รีบร้อนพบเจอ เตร็ดเตร่ไร้วาจา
“อมิตพุทธ” พระปลอมชะโงกหน้ามองนางอยู่ข้างหลังอย่างชั่วร้าย พยายามสูดกลิ่นหอมจากผมของนาง เอ่ยขึ้นว่า “สีกาหน้าตาของเจ้าโศกเศร้ายิ่งนัก สีกาเหตุใดเจ้าพบเจออาตมาแล้วไม่มีสีหน้าดีใจเล่า? สีกาเจ้าจ้องมองพื้นทำไมกัน พื้นงดงามกว่าข้าหรือ…”
จิ่งเหิงปัวสูญสลายหายไปจากเบื้องหน้าเขาดังฟิ้ว!
ล็อกกลอนประตูคุกดัง ตึง! คราหนึ่ง
จากนั้นสูญสลายหายไปจากภายในคุกดังฟิ้ว!
“สีกา!” อู่ซานพุ่งเข้าไป เกาะราวลูกกรงเหล็กไว้ เอ่ยว่า “อย่าทำเช่นนี้สิ คราวหน้าข้าจะไม่แอบดูหน้าอกเจ้าอีกแล้ว…”
“ไปตายซะไอ้พระลามก!” ข้างบนหัวเราะเฮฮาแปลกประหลาด จูงจิ่งเหิงปัวที่ขึ้นมาบนหลังคาคุกไว้ เอ่ยว่า “ไปๆ! ให้เขาเข้าคุกจนสาแก่ใจ!”
“ช่วย…ข้า…ด้วย…”
…