ครึ่งเค่อต่อมา จิ่งเหิงปัวก็ออกจากวังกษัตริย์แคว้นเซียงแล้ว
นางมองเห็นเหยียลี่ว์ฉียืนอยู่บนหลังคาคุกด้วยผมที่ไหม้ร่วงไปกระจุกหนึ่ง ก่อนจะชะงักงันชั่วครู่ คนที่ประลองฝีมือสามกระบวนท่ากับเจ้าคนที่อยู่ภายในอุโมงค์คนนั้นเป็นเขาอย่างที่คิดไว้จริงๆ
เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่ทันได้ถามให้แน่ชัด คนขบวนหนึ่งก็รีบออกจากวังเป็นลำดับแรก เหยียลี่ว์ฉี เจ็ดสังหารและเทียนชี่บุกเข้าคุกย่อมดึงดูดให้องครักษ์แคว้นเซียงกลุ่มใหญ่ไล่ล่าสังหาร โชคดีที่คนเหล่านี้มีวรยุทธ์สูงส่ง เพียงพอเหลือล้นสำหรับป้องกันตนเองและหลบหนี ส่วนจิ่งเหิงปัว ขอเพียงพิษของนางไม่กำเริบ เรื่องหลบหนีก็เป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า
ยิ่งกว่านั้นไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายหรือไม่ ขณะนี้การควบคุมความสามารถและความยาวนานในการหายตัวของนางก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยตลอด เรื่องสำคัญคือกล่าวกันตามจริงแล้ว ความสามารถพิเศษล้วนมีขีดจำกัด เมื่อก่อนตอนอยู่สถาบันวิจัยยังมีขีดจำกัดอยู่ แต่หลังจากมาถึงที่นี่ นางค่อยๆ ไม่รู้สึกถึงขีดจำกัดและกำแพงแบบนั้นแล้ว นางมีความรู้สึกคล้ายว่าขอแค่ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอต่อไป นางอาจจะหายตัวจากตี้เกอไปยังแคว้นเซียงได้
คิดแบบนี้แล้วก็หวาดกลัวอยู่บ้าง ถ้าทำได้นั่นก็ไม่ใช่เทพเซียนที่เดินทางชั่วครู่พันลี้หรอกหรือ?
แต่เรื่องนี้เป็นเพียงความรู้สึก ตอนนี้หนทางยังอีกยาวไกล
องครักษ์แคว้นเซียงไล่ล่ามาถึงขอบเขตพระราชวังแล้วถอยกลับ คนเหล่านี้ไม่อาจเข้าออกประตูพระราชวังได้ตามใจชอบ อีกทั้งคืนนี้ฉงอานอยู่ในภาวะฉุกเฉิน บรรยากาศเข้มงวด สามก้าวเฝ้ารักษาการณ์ครั้งหนึ่ง ห้าก้าวลาดตระเวนครั้งหนึ่ง คนหนึ่งขบวนแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ใช้เวลาชั่วครู่กว่าที่แต่ละคนจะกลับถึงโรงเตี๊ยม
เจ็ดสังหารกับเหยียลี่ว์ฉีกังวลเรื่องพิษของเฮยชือที่นางได้รับยิ่งนัก ทว่าหลังจากพวกเขาหมุนเวียนจับชีพจรให้จิ่งเหิงปัวแล้ว ทุกคนต่างก็ผุดเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา…พิษของเฮยชือถูกกำจัดแล้ว หลังจากความกลัดกลุ้มผ่านพ้น ทุกคนต่างดีอกดีใจ ทยอยแสดงความยินดีกับนาง ด้วยเพราะยามเฮยชือทำร้ายคนส่วนใหญ่มักถึงแก่ความตาย ทว่าหากรอดชีวิตมาได้ นับแต่นี้ไปย่อมไม่ต้องหวาดกลัวพิษนี้อีก ความอันตรายของบึงโคลนเฮยสุ่ยที่มีต่อจิ่งเหิงปัวน้อยลงไปมากโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวรู้ว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดสารต้านทานพิษ แต่คราวนี้นางขจัดพิษอย่างพิลึกพิลั่น ทุกคนถามนางว่าแก้พิษอย่างไร นางเองก็ไม่อาจตอบได้เช่นกัน…จะบอกทุกคนว่าแค่คุยเล่นนอนหลับแบบไม่ห่มผ้ากับหัวขโมยที่ขุดอุโมงค์ใต้ดินคนหนึ่ง สภาพขณะนอนหลับของเขาน่าเกลียด นอนดิ้นทับตนเองไปรอบหนึ่งเลยอาการดีขึ้นหรือ? ถ้ากล่าวแบบนี้แล้วอีชีจะโวยวายอยากฆ่าตัวตายหรือไม่? เจ็ดสังหารจะเกิดอาการอยากรู้อยากเห็นโวยวายอยากนอนกับนางนับแต่นั้นเพื่อจะได้แก้พิษของนางหรือไม่? เหยียลี่ว์ฉีจะสังหารหัวขโมยขุดโพรงทุกคนทั่วทั้งแคว้นหรือไม่?
นางรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก ได้แต่บอกทุกคนว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเพราะว่าภายในร่างกายนางมีพิษอยู่แล้ว ซ้ำยังเป็นพิษของกษัตริย์ พิษของเฮยชือไม่ค่อยร้ายแรงเมื่ออยู่ต่อหน้าพิษนั้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดการใช้พิษโจมตีพิษ
ไม่รู้ว่าเจ้าพวกที่เฮฮาบางครั้งเฉลียวฉลาดบางคราวพวกนี้จะเชื่อหรือเปล่า ไม่ว่าพวกเขาเชื่อหรือไม่ แต่นางไม่เชื่อแน่นอน
อู่ซานตามกลับมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก หน้าตาของเขามอมแมมเล็กน้อย แม้จะเอ่ยว่ายามที่ทุกคนออกจากวังก็ได้ดึงดูดพลไล่ล่าส่วนใหญ่ไปแล้ว ทว่าเขารับมือผู้ล้อมโจมตีที่เหลืออยู่เหล่านั้นเพียงคนเดียว ก็ได้รับความลำบากไปไม่มากก็น้อย แน่นอนว่าเขาแสดงออกว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เป็นไร หากข้าไม่ลงนรกแล้วผู้ใดจะลงนรก? ส่วนเรื่องแอบมองหน้าอกของจิ่งเหิงปัวนั้น เขากะพริบตา แล้วถามว่า “อา? มีเรื่องนี้ด้วยหรือ?”
จิ่งเหิงปัวกลับมาถึงโรงเตี๊ยมแล้วถึงเพิ่งรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากตนเองสลบไสลไป ชะงักงันไปเนิ่นนาน นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะพัฒนาไปเป็นแบบนี้ได้ อยากช่วยไกล่เกลี่ยแต่ไม่ได้ช่วยไกล่เกลี่ย สุดท้ายก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เด็กสาวนามเหอหว่านคนนั้นสามารถสยบแคว้นเซียงที่ยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรืองที่สุดในหกแคว้นแปดชนเผ่าไว้ได้หรือ?
นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกันที่กงอิ้นเลือกเหอหว่าน หกแคว้นแปดชนเผ่ามีองค์ประกันอยู่ตี้เกอทั้งนั้น ด้วยเพราะแคว้นเซียงมีซื่อจื่อเพียงคนเดียวและอายุยังน้อย ฉะนั้นคนที่ส่งไปจึงไม่ใช่องค์ประกัน แต่เป็นหลานชายของกษัตริย์แคว้นเซียง ก่อนหน้านี้กษัตริย์แคว้นเซียงยังไม่มีบุตรชาย หลายชายกษัตริย์คนนี้ได้รับเสียงเรียกร้องให้เป็นบุตรชายบุญธรรมของกษัตริย์แคว้นเซียงมากที่สุดท่ามกลางลูกหลานในราชวงศ์ กล่าวกันตามจริงแล้ว หากกงอิ้นต้องการอาศัยอำนาจมาควบคุมแคว้นเซียง ใช้องค์ประกันคนนี้เป็นหุ่นเชิดน่าจะสะดวกมากยิ่งกว่า
จากนั้นนางก็ส่ายหน้า ความคิดของกงอิ้นลึกล้ำเหมือนทะเล ทำไมต้องคาดคะเนล่ะ? ตอนนี้ยังไม่ถึงคราวนางให้คาดคะเนด้วย ขอแค่นางทำเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว
นางถามเหยียลี่ว์ฉีว่าผู้ใดประลองฝีมือใต้อุโมงค์ภายในคุกกับเขา เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าแปลกประหลาดยิ่งนัก เอ่ยว่ามองเห็นไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก คราแรกเขาก็แค่อยากช่วยจิ่งเหิงปัวออกโดยตรงๆ ทว่ากลับพบเจออุโมงค์แห่งหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ แท้จริงแล้วทางเข้าอุโมงค์นั้นซ่อนเร้นยิ่งนัก ยอดฝีมือธรรมดาไม่อาจพบเจอได้เป็นแน่ อีกทั้งวิธีการขุดอุโมงค์ค่อนข้างพิเศษเช่นกัน สำหรับเรื่องนี้เขาก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนักถึงได้เข้าไปในอุโมงค์เพื่อหวังสืบเสาะหาความจริง ทว่าผลสุดท้ายถูกไล่ถอยกลับมา
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเขายังมีเรื่องปิดบังอำพรางจึงซักถามครั้งแล้วครั้งเล่า เหยียลี่ว์ฉีเพียงแค่หัวเราะไม่เอ่ยวาจา พอถามมากเข้าจึงเอ่ยว่า “เพียงคนมาก่อนได้ก่อนเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้เสมอ ขอเพียงแน่ใจว่าเจ้าอยู่รอดปลอดภัยก็พอแล้ว”
จิ่งเหิงปัวฟังแล้วคิดว่าวาจานี้ผิดปกติ ในใจพลันกระตุกวูบ ทว่าเหยียลี่ว์ฉีเอ่ยสืบต่อว่า “พวกเราควรจากไปแล้วเช่นกัน ข้าทิ้งจดหมายไว้ให้เหอหว่านแล้ว บอกเรื่องราวที่เจ้ากระทำเพื่อนาง กระทำเรื่องราวดีงามไม่ทิ้งนามไว้ มิใช่เท่ากับสวมชุดแพรท่องราตรีหรือ? ไม่ว่านางจะจดจำไมตรีจิตครั้งนี้ได้มากน้อยเพียงใด ภายภาคหน้าย่อมมีเรื่องราวให้เอ่ยอ้างได้” เขาชี้มายังภายในห้อง เอ่ยว่า “นางไม่ได้เอ่ยวาจาใดทั้งนั้น ทว่าส่งของเหล่านี้มาให้”
คราวนี้จิ่งเหิงปัวถึงมองเห็น**บห่อภายในห้อง เมื่อเปิดออกดูแวบหนึ่ง ทุกสิ่งก็เป็นของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการเดินทาง ส่วนใหญ่เป็นเงินทอง ซ้ำยังมีหน้ากากหลายชิ้น เสื้อผ้าหลายรูปแบบ อีกทั้งมีใบผ่านทางจากแคว้นเซียงไปยังชนเผ่าและแคว้นสถาปนาที่อยู่ใกล้เคียง พอมีของสิ่งนี้แล้ว คราวหลังเข้าสู่ทุกแคว้นทุกชนเผ่าจะค่อนข้างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
จิ่งเหิงปัวรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย คิดว่าความทุกข์ยากคือสิ่งที่บังคับให้คนเจริญเติบโตได้เป็นที่สุดจริงด้วย แม่นางน้อยที่ซื่อสัตย์ไร้เดียงสาคนนั้นเติบโตภายในค่ำคืนเดียว ถ้านางยังเป็นเหอหว่านคนเดิมคงจะมาพบเจอนางด้วยตนเองสักครั้ง จะขอบคุณนางจะอาลัยอาวรณ์นาง แต่คงจะไม่คิดส่งสิ่งของเหล่านี้มาให้นาง ใช้วิธีการที่คล่องแคล่วแต่แลดูเย็นชาเล็กน้อยมาจัดการเรื่องนี้เสียเลย
ไม่รู้ว่าตอนนี้นางยังมีความรู้สึกรักแท้บริสุทธิ์อย่างในตอนแรกหรืออยู่หรือไม่ จุดจบระหว่างนางกับยงซีเจิ้งและจี้อีฝานจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเพราะเหตุนี้หรือเปล่า
นั่นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับนาง
ทุกคนกำลังเดินไปข้างหน้า ทุกคนกำลังเปลี่ยนแปลง ทุกคนกำลังเติบโตอย่างไร้ทางหลีกเลี่ยงหรือด้วยความเจ็บปวด มวลผกานับมิถ้วนร่วงหล่นสูญหายตลอดเส้นทาง จากนั้นคว้าดาบคว้ากระบี่เปรอะเปื้อนโลหิตขึ้นมา เดินไปข้างหน้าต่อไป
เป็นเช่นนี้เอง
…
วันรุ่งขึ้น นางเดินทางออกจากแคว้นเซียง เส้นทางข้างหน้าผ่านแคว้นเซียง จุดหมายปลายทางถัดไปคือเผ่าหวงจิน
เล่ากันว่าเป็นชนเผ่าที่เคยเข้าร่วมเหตุการณ์กบฏตี้เกอในยามนั้น เล่ากันว่าเป็นชนเผ่าที่กระด้างกระเดื่องเป็นที่สุด ก่อกบฏมากมายหลายครั้งในประวัติศาสตร์ต้าฮวง ซ้ำยังเป็นชนเผ่าที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตระกูลของซังต้งเป็นที่สุด
ก่อนเดินทางออกจากฉงอาน นางพบเจอคนส่งเดินทางที่นางนึกไม่ถึงคนหนึ่ง
ยงซีเจิ้ง
มหาเสนาบดีคนใหม่ของแคว้นเซียงนั่งอยู่บนเกี้ยวหรูหรา รอคอยอยู่ตรงเส้นทางที่นางต้องเดินทางผ่าน
แรกเริ่มจิ่งเหิงปัวนึกว่าเหอหว่านจะฝากเขามาส่งนางเดินทาง สุดท้ายแล้วเขากลับเอ่ยวาจาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผู้ต่ำต้อยเดินทางมาส่งแม่นางครั้งนี้ องค์หญิงทรงไม่รู้เรื่องราว”
จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้วขึ้น นางไม่มีความรู้สึกดีอะไรกับคนคนนี้ นางไม่ประหลาดใจเลยว่าคนคนนี้สืบหาความเคลื่อนไหวและฐานะของนางได้อย่างไร เขาถึงเป็นมหาเสนาบดีของแคว้นแคว้นหนึ่ง อาณาบริเวณของตนเองจะไม่มีสายสืบหลายคนคอยเป็นหูเป็นตาให้เลยหรือ?
“ขอบใจนะ แล้วเจอกัน” แสดงความเคารพตามใจชอบเสร็จสิ้น นางจึงจะอ้อมผ่านไป
“ข้าน้อยมาเพื่อขอบคุณวาจาเมื่อวานของแม่นาง” ยงซีเจิ้งเอ่ยขึ้นข้างหลังนางว่า “หากไม่ใช่เพราะวาจานั้นของแม่นาง เกรงว่าข้ากับองค์หญิงคงยากจะรอดพ้นแล้ว”
จิ่งเหิงปัวรู้ว่าเขาหมายถึงประโยคนั้นที่นางตะโกนหลังพุ่งออกมาจากตำหนัก ด้วยเพราะนางเตือนเหอหว่าน เหอหว่านถึงปฏิเสธว่าไม่ได้ลงมือจัดการยงซีเจิ้งได้ทันเวลา มิฉะนั้นหากเรื่องราวถูกเปิดเผยออกมาโจ่งแจ้งแบบนั้นแล้ว ภายหลังเหอหว่านจะเผชิญหน้ากับยงซีเจิ้งได้อย่างไร? เพียงแค่ความผิดโทษฐานลอบสังหารขุนนางใหญ่ก็ยากจะหลุดพ้นแล้ว
แน่นอนว่าเหอหว่านรู้ความจริง นางรู้ความจริง คนเฉลียวฉลาดต่างรู้ความจริง ยงซีเจิ้งย่อมรู้ลึกซึ้งมากกว่าใคร
จิ่งเหิงปัวหันหลัง มองดูหน้าตาสุภาพเคร่งขรึมของยงซีเจิ้งแล้วรู้สึกปวดร้าวใจแทนเขาอยู่บ้าง
ความรู้สึกภายในใจของเขาคงยากจะรับไหวเหมือนกันสินะ แต่เขาก็ยังคงซาบซึ้งในการลงมือของนางที่ไม่ได้เปิดโปงความจริงขั้นนั้น ทำให้เขายังมีโอกาสได้สร้างความสัมพันธ์กับเหอหว่านต่อไป
ฉะนั้นเขาแค่มาเพื่อขอบคุณประโยคนี้ของนางโดยเฉพาะ
จิ่งเหิงปัวรู้สึกดีใจแทนเหอหว่านอีกครั้ง…ไม่ว่ายงซีเจิ้งคนนี้จะเป็นคนเช่นไร แต่จิตใจที่เขามีต่อนางนั้นเป็นความจริงใจ
แค่นี้ก็พอแล้ว
ในใจของนางผนึกแน่นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เจือด้วยความปวดร้าวใจ เจือด้วยความดีใจ เจือด้วยความสะเทือนใจ ไม่อยากกล่าวอะไรมากยิ่งขึ้น เพียงหัวเราะฮ่าๆ โบกไม้โบกมือ ท่าทางจะจากไปอีกครั้ง ยงซีเจิ้งก็เอ่ยว่า “ใบผ่านทางและหน้ากากในของขวัญคือน้ำใจเล็กน้อยจากข้า หวังว่าแม่นางจะได้ใช้มัน”
“เป็นฝีมือของเจ้าเองหรือ?” จิ่งเหิงปัวประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าไม่รู้ว่าแม่นางมีฐานะใด เดินทางผ่านเส้นทางนี้ด้วยเพราะเหตุใด และไม่รู้ว่าลงมือช่วยเหลือเหอหว่านด้วยเพราะเหตุใด” ยงซีเจิ้งเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ทว่าข้ารู้ว่าการบังเอิญพบกันของโลกใบนี้ย่อมเป็นโชคชะตา สาเหตุของวันนี้ก่อเกิดผลลัพธ์ของวันหน้า วันนี้เหอหว่านติดค้างน้ำใจไมตรีของแม่นาง ภายภาคหน้าย่อมต้องชดใช้ ข้าหวังจะพยายามช่วยนางชดใช้บ้างเสียก่อน”
“วาจานี้ของเจ้าเอ่ยได้อย่างประหลาดนัก” จิ่งเหิงปัวหลุดหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ข้าช่วยนางด้วยเพราะข้าอยากช่วยนาง ผู้ใดต้องการให้นางชดใช้กัน?”
“ผู้ใดจะเอ่ยเรื่องราวในอนาคตได้ชัดเจนเล่า เหอหว่านเป็นผู้มีคุณธรรมน้ำมิตร วันนี้ท่านอาจจะช่วยเหลือโดยไม่เจตนา ทว่าภายภาคหน้าย่อมต้องได้พบกันอีกครั้ง” ยงซีเจิ้งเงยหน้ามองดูหน้าตาของนาง เอ่ยสืบต่อว่า “แม่นางไม่ใช่คนธรรมดา อนาคตย่อมต้องพบเจออุปสรรคขัดขวาง วันนี้ข้าเดินทางมาส่งท่านครั้งหนึ่ง นับว่าปรารถนาจะผูกไมตรีกับแม่นาง และหวังว่าในอนาคต แม่นางจะนึกถึงน้ำใจครั้งหนึ่งในวันนี้ อย่าได้ทำให้เหอหว่านลำบากใจมากเกินไปย่อมพอแล้ว”
“ยิ่งเอ่ยยิ่งไร้เหตุผล” จิ่งเหิงปัวโบกมือ กล่าวว่า “พอเถิดๆ ข้ารับของขวัญของเจ้าไว้แล้ว ยังจะมีหน้าไม่ละอายใจทำให้พวกเจ้าลำบากอีกหรือ? วางใจเถิด ข้าจะจากไปแล้ว ภูผาสูงชันสายธารยาวไกล ภายหน้าไร้วาสนาพบพาน”
“แม่นางอย่าเดินทางเร็วเกินไป” ยงซีเจิ้งเอ่ยอยู่ห่างไกลว่า “เมื่อคืนนี้ราชครูออกนอกเมืองตลอดทั้งคืน เก้าเมืองอยู่ในภาวะฉุกเฉิน ขณะนี้ทหารอารักขาภายในนครกำลังล่าถอย กระแสคนยุ่งเหยิงยิ่งนัก ระวังพบเจอการกลั่นแกล้ง…”
จิ่งเหิงปัวไม่ได้สนใจวาจาข้างหลังนั้น ด้วยเพราะจิตใจของนางว้าวุ่นเล็กน้อย
เมื่อคืนนี้กงอิ้นไปแล้วเหรอ?
ข่าวสารนี้เป็นไปตามเหตุผล แต่ยังอยู่นอกเหนือความคาดหมาย การคาดการณ์บางอย่างในใจถูกล้มล้าง แต่ยังรู้สึกว่าล้มล้างได้ตามสมควรแล้ว…ครุ่นคิดเพ้อเจ้ออะไรทั้งวัน?
นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มืดครึ้มคล้ายหิมะใกล้จะตกอีกครั้ง ท่ามกลางความเลือนรางนึกขึ้นได้ว่าคล้ายใกล้ปลายปีแล้ว
หนึ่งปีแล้ว
หนึ่งปีผ่านพ้นไปด้วยความยากลำบาก หนึ่งปีผ่านพ้นความสับสนวุ่นวาย ภายในหนึ่งปีนางประสบพบเจอจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของชีวิต หนึ่งปีดั่งคล้ายผ่านพ้นสิ้นชั่วชีวิตหนึ่ง
ปลายปีหนึ่งนี้ สายลมหิมะยังคงอยู่ ไร้ผู้ร่วมหวนคืน
…