ตอนที่ 654

Elixir Supplier

654 เมื่อหัวใจตาย ร่างกายก็ตายตาม

 

ประตูอย่างดีและตัวล็อคชั้นดี มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปิดหรือใช้กำลังทำลายมัน

 

ชายหนุ่มพยายามอย่างสุดกำลังแล้ว แต่เขาก็ล้มเหลว แม้ภายนอกจะเสียงดังขนาดไหนก็ตาม แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาจากห้องด้านในเลย สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปในทันที “โทรเรียกบริษัทกุญแจเถอะ”

 

หลังจากโทรไป ไม่นานพนักงานบริษัทกุญแจก็เดินทางมาถึง มันล็อคจากข้างในเหรอครับ?”

 

“ใช่ค่ะ” เธอพูด

 

“โอเค ปล่อยให้ผมจัดการเองครับ” พนักงานพูด

 

ด้วยการใช้อุปกรณ์ได้อย่างเชี่ยวชาญ เมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่สองนาที ตัวประตูก็เกิดเสียงดังแกร๊กขึ้น

 

สองแม่ลูกรีบวิ่งเข้าในภายในห้อง ซึ่งมีหน้าต่างเปิดอยู่ มีแสงแดดส่องลอดเข้ามา บนเตียงมีชายที่แต่งตัวเรียบร้อย เขาดูเหมือนกำลังหลับอยู่ ที่ผิดปกติก็คือใบหน้าของเขา

 

ที่ข้างเตียง มีขวดยาพลาสติกสีขาววางอยู่

 

“อาจ้าว?” เธอเดินเข้าไปที่เตียงและร้องเรียกสามีของเธอเบาๆ เธอยื่นมือที่สั่นเทาออกไปอังที่จมูกของเขา มันไร้ลมหายใจ

 

ในหัวของเธอกลับกลายเป็นว่างเปล่าในทันที ตุบ! เธอทรุดตัวลงนั่งไปที่พื้น

 

“อาจ้าว! เธอตะโกนเสียงสูงและร้องไห้ออกมา

 

ไม่มีปฏิกิริยาใดๆจากเสียงกรีดร้องของเธอ ชายที่นอนอยู่บนเตียงราวกับไม่มีวันตื่นไปตลอดกาล

 

“พ่อ?” ชายหนุ่มอึ้งไป

 

เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย ที่แปลกคือเขาไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกแม้แต่น้อย เขาไม่ร้องไห้ เขาเพียงแต่ยืนอึ้งอยู่กับที่เท่านั้น

 

“เชี่ยแล้ว! เขาตายเหรอเนี่ย!” พนักงานที่มาปลดล็อคประตูตกตะลึง เขารีบจากไปโดยไม่รอรับเงิน พร้อมทั้งหักกิ่งต้นหลิวด้วยหนึ่งกิ่งเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคล “โชคไม่ดีจริงๆเลยเนี่ย!”

 

ภายในห้อง ผู้เป็นภรรยานั่งนิ่งอยู่ที่พื้น มีบางอย่างคอยย้ำเตือนเธออยู่ซ้ำๆ แต่เธอก็ยังนิ่งเฉยพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก

 

มันเป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้อยู่เสมอ มันเป็นสายสัมพันธ์ที่มนุษย์มีให้กัน หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันมาอย่างยาวนาน คู่สามีภรรยาก็จะพบว่า พวกเขาไม่ได้รักกันเหมือนแต่ก่อน ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นข้อด้อยของฝ่ายตรงข้าม เช่น ขี้เกียจ, ขี้โอ่, เกินจุ, ขี้เหนียว, ไม่โรแมนติก, และอีกหลายๆอย่าง เมื่อได้เห็นข้อบกพร่องเหล่านี้ ก็อาจทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดความรู้สึกเสียใจกับคนที่พวกเขาเลือกเป็นคู่ชีวิต แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ มีทั้งเรียบเรื่อยน่าเบื่อและที่ต้องอดทนกันไป แต่ละฝ่ายควรถอยกันคนละก้าว ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นคนตัดสินใจหรือเป็นผู้นำของครอบครัวก็ตาม

 

ดอกไม้ไฟเจิดจ้าแต่ไม่ยั้งยืน สายน้ำไหลเรียบเรื่อยแต่ยืนนาน คู่แต่งงานไม่ควรระเบิดอารมณ์เมื่อโต้เถียงกัน เมื่ออีกฝ่ายจากไปแล้ว ถึงได้เข้าใจว่า ข้อบกพร่องต่างๆเป็นแค่เรื่องไม่สำคัญเท่านั้น ขอแค่มีอีกฝ่ายอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน แค่นั้นมันก็มากพอแล้ว แม้ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหนก็ตาม

 

“แม่ โทรเรียกหมอเถอะ” ลูกชายพูด

 

ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย พวกเขาไม่สามารถรอให้เธอนั่งอยู่กับที่และเขาต้องยืนอยู่แบบนั้น ในขณะที่พ่อของเขาก็นอนตายอยู่บนเตียงโดยไม่มีใครทำอะไรเลยสักอย่าง

 

“ได้” เธอตอบ ดวงตาของเธอยังคงเคลือบไปด้วยน้ำตา

 

“ผมจะไปเอาน้ำมาให้นะ” ลูกชายเดินไปเทน้ำใส่แก้วมาให้แม่ของเขา

 

เธอไม่ได้ดื่มมัน เธอไม่ต้องการดื่มน้ำ เธอได้แต่ร้องไห้ไม่หยุด

 

“พ่อของลูกตายเพราะเขาโกรธแม่ เขาโกรธมาทั้งชีวิตของเขา” เธอร่ำไห้

 

“แม่ อย่าพูดแบบนั้นสิ!” ชายหนุ่มรีบเข้าไปปลอบแม่ของเขา

 

“มันเป็นความผิดของแม่เอง! ฉันผิดเอง!” เธอขย้ำผมของตัวเอง

 

“แม่!” ลูกชายไม่รู้จะทำอย่างไรดี

 

ผลตรวจออกมาอย่างชัดเจน เขาเสียชีวิตจากการกินยาเกินขนาด

 

แพทย์ที่รับหน้าที่ชันสูติถอนหายใจและคิดว่า โศกนาฏกรรมในครอบครัวอีกหนึ่ง! มีเพียงคนที่หัวใจตายไปแล้วเท่านั้น ถึงได้เลือกที่จะจากไป

 

ข่าวการเสียชีวิตได้กระจายไปยังเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว

 

“นี่ รู้รึเปล่าว่าคุณจ้าวฆ่าตัวตายน่ะ?” เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูด

 

“รู้แล้ว น่าเสียดาย เขาเป็นคนดีแท้ๆ” เพื่อนบ้านอีกคนพูด

 

“ใช่ เขาเป็นคนดี เสวี่ยเหมยลี่กุมอำนาจทุกอย่าง จะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน เธอก็ไม่เคยไว้หน้าเขาเลยสักครั้ง” เพื่อนบ้านอีกคนพูด

 

“ใช่แล้วล่ะ ถ้าฉันกล้าสั่งสามีต่อหน้าคนอื่นละก็ เขาคงจะโมโหใหญ่เลยล่ะ” เพื่อนบ้านคนแรกพูด

 

“ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่แล้ว เธอก็ร้องไห้อย่างกับอะไรดี” เพื่อนบ้านอีกคนพูด

 

การที่พวกเขาอาศัยอยู่ในตึกเดียวกัน ทำให้พวกเขารู้ถึงความสัมพันธ์คู่ผัวเมียในแต่ละบ้านด้วยเช่นกัน พวกเขายังรู้อีกว่า ในบ้านตระกูลจ้าว ผู้เป็นภรรยาคือคนที่ใหญ่สุดในบ้าน

 

ภรรยาของผู้ตายได้จัดงานศพขึ้น ญาติของฝ่ายชายล้วนมาร่วมงาน

 

“เสวี่ยเหมยลี่ ที่พี่ชายของเราตายเป็นเพราะเธอใช่ไหม?” ญาติผู้ตายถาม

 

พวกเขามาด้วยความโกรธ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า พี่ชายของพวกเขาต้องอดทนมานานหลายปีกับพี่สะใภ้ผู้กุมอำนาจทุกอย่าง พวกเขาได้เห็นภาพนั้นทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้ได้ เขาตายจากการดื่มยาฆ่าแมลง

 

“ใช่ ฉันเป็นคนทำให้เขาต้องตาย” เธอพูด

 

เธอยอมรับทุกอย่าง เพราะเธอรู้สึกสำนึกเสียใจกับสิ่งที่เธอทำไม่ดีกับสามี ตอนนี้ เขาได้ตายไปแล้ว เธอจะไปหาคนที่คอยดูแลและรักเธอแบบเขาได้จากที่ไหนอีก?

 

“เธอ เธอมัน…” ญาติของผู้ตายถึงกับพูดไม่ออก

 

“ไม่ใช่ พ่อไม่ได้ตายเพราะแม่สักหน่อย” อยู่ๆลูกชายของเธอก็โพล่งขึ้นมา “เขาตายเพราะกินยาผิดต่างหาก!”

 

“ชงหยาง เธอพูดอะไรน่ะ?” ญาติคนหนึ่งถาม

 

“พ่อกินยาเข้าไปก่อนที่เขาจะตาย มันเป็นยาจีน ผมว่ายานั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ” ชายหนุ่มพูด

 

“เสวี่ยเหมยลี่ พี่ชายของเรากินยาอะไรเข้าไปเหรอ?” ญาติถาม

 

“น่าจะใช่มั้ง?” ในเวลานี้ เสวี่ยเหมยลี่จำอะไรไม่ค่อยได้ แม้แต่อาหารที่เธอกินไปเมื่อเช้า เธอเอาแต่คิดถึงเรื่องในอดีต ทุกเรื่องที่เธอได้ข่มเหงผู้เป็นสามี

 

“ไม่ใช่ว่าหมอบอกว่า เขากินยาเกินขนาดเหรอ?” ญาติคนหนึ่งพูด

 

“มันจะต้องเป็นเพราะยาจีนนั่นแน่ๆ” จ้าวชงหยางพูด

 

“แล้วยังมียาเหลืออยู่รึเปล่าล่ะ?” ญาติถาม

 

“มีสิ” จ้าวชงหยางพูด

 

“งั้นก็เอายานั่นไปตรวจดูซะสิ” ญาติพูด

 

“ไว้เราค่อยจัดการเรื่องนั้นทีหลังก็ได้ ตอนนี้ เราต้องจัดการเรื่องงานศพก่อน” จ้าวชงหยางพูด

 

 

ในหมู่บ้าน น้องสาวของจงหลิวชวนได้รับการรักษาเป็นครั้งแรก เธอกินยาเข้าไปและได้รับการฝังเข็มกับนวดไปตามจุดฝังเข็มเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

 

หวังเย้าใช้วิธีเดียวกันกับกับตู้เฟิง พวกเขามีอาการที่ต่างกัน แต่บางอย่างก็คล้ายกัน

 

“เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม?” หวังเย้าถาม

 

“ดีค่ะ” จงอันซินพูดด้วยรอยยิ้ม

 

เธอนอนหลับสนิทดี ในหมู่บ้านนั้นเงียบสงบอย่างมาก เมื่อเธอได้กินยาบรรเทาอาการปวดไป เธอก็หลับยาวไปตลอดทั้งคืน

 

“เธอยังกินยาที่ได้จากโรงพยาบาลอยู่รึเปล่า?” หวังเย้าถาม

 

“ครับ มันช่วยปกป้องตับของเธอ” จงหลิงชวนพูด

 

“เลิกกินได้เลยนะ ไม่จำเป็นต้องให้เธอกินอีกแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด

 

“ได้รับ” จงหลิวชวนพูด

 

“ดี การรักษาวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับไปก็ให้กินยา แล้วก็ทำจิตใจให้สบายนะ” หวังเย้าพูด

 

ในช่วงบ่าย หวังเย้าปิดคลินิกของเขา ระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็เห็นหวังเจ๋อเชิงที่ขี่มอเตอร์ไซด์กลับไปที่บ้าน สภาพของเขาดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก

 

“กำลังจะกลับบ้านเหรอ?” เมื่อเห็นหวังเย้า เขาก็หยุดรถเพื่อทักทาย การหายใจของเขาดูไม่สม่ำเสมเท่าไหร่

 

“พี่ดูเหมือนจะเหนื่อยมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“อ่อ ไม่เท่าไหร่หรอก” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“พี่จะทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะครับ ไม่อย่างนั้นร่างกายของพี่จะทรุดเอาได้” หวังเย้าพูด

 

“ไม่ต้องห่วง ฉันยังไหวอยู่” หวังเจ๋อเชิงพูด เขาต้องทำงานหนักเพื่อคนในครอบครัวของเขา มันยังเหมือนกับการชดเชยที่เมื่อก่อนเขาทำตัวไม่ดีด้วย

 

หวังเย้าวังเกตดูเขาอย่างละเอียด โดยเฉพาะพลังฉีของเขา การใช้ร่างกายทำงานหนักเกินไปจะนำไปสู่โรคภัยที่ร้ายแรงได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันคล้ายกับภูเขาที่ทรุดตัวลง “พรุ่งนี้เช้า มาที่คลินิกของผมหน่อยนะครับ”

 

“หา?” หวังเจ๋อเชิงมึนงง แต่เขาก็ยังตกลงแม้จะไม่รู้เหตุผลก็ตามที

 

เช้าวันถัดมา ท้องฟ้ามีเมฆมากและอากาศร้อนอบอ้าว เวลาประมาณสิบโมง มีรถหรูคันหนึ่งขับเข้ามาในหมู่บ้าน

 

“ที่นี่เหรอ?” ชายคนหนึ่งถาม

 

“น่าจะเป็นที่นี่ครับ หมอมีชื่อว่า หวังเย้า” ชายอีกคนพูด

 

รถขับเข้าไปจอดที่ด้านนอกคลินิก

 

“อืม ตัวอาคารสร้างได้ไม่เลวเลย มันดูมีสไตล์ใช่ได้เลย” ชายคนแรกพูด

 

ทั้งสองคนลงมาจากตัวรถ คนหนึ่งมีอายุประมาณ 30 กว่า ร่างกายของเขาตั้งตรงราวกับต้นสน ส่วนอีกคนที่เป็นคนขับ มีอายุ 40 กว่าและท้วมเล็กน้อย แต่ด้วยใบหน้าที่มีสีเลือดฝาดก็แสดงให้เห็นว่าเขาดูแลตัวเองเป็นอย่างดี

 

“เข้าไปดูข้างในกันเถอะ” ชายวัย 30 พูด

 

มีคนไข้หลายคนนั่งรอตรวจอยู่ภายในคลินิก

 

“สวัสดี ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณคือหมอหวังรึเปล่า?” ชายวัย 30 ถาม

 

“ผมเองครับ” หวังเย้าพูด “มีอะไรเหรอครับ?”

 

“หมอตรวจคนไข้คนหนึ่งได้ไหม?” ชายคนนั้นถาม

 

“คุณต้องไปเอาบัตรคิว แล้วก็ไปรอตามคิวได้เลยครับ” หวังเย้าพูด แล้วชี้ไปที่บัตรคิวซึ่งแขวนอยู่ตรงประตู

 

“แต่นี่เป็นเรื่องด่วนมาก” ชายคนนั้นพูด “หมอช่วยยกเว้นเป็นกรณีพิเศษได้ไหม?”

 

หวังเย้าเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่พวกเขา “คนไข้ไม่ได้มาด้วยเหรอครับ?”

 

“ไม่ได้มาด้วย” ชายคนนั้นพูด

 

“แล้วคนไข้อยู่ที่ไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ที่ปักกิ่ง” ชายคนนั้นพูด

 

“ผมไม่รับตรวจคนไข้นอกสถานที่ ขอโทษด้วย” หวังเย้าหันไปรักษาคนไข้ของเขาต่อ

 

“ช่วยอ่านประวัติการรักษาของเขาหน่อยเถอะครับ” ชายคนนั้นพูด “ลองเอาไปอ่านสักหน่อยได้ไหมครับ?

 

“รอคิว” หวังเย้าโดยไม่มีการผ่อนปรน

 

คนขับเริ่มไม่พอใจขึ้นมา แต่ชายอีกคนก็หยุดเขาเอาไว้ “ได้ๆ” เขาเดินไปหยิบบัตรคิวและรอต่อแถว

 

เมื่อเวลาใกล้เที่ยง ในที่สุดมันก็เป็นคิวของพวกเขา ชายคนนั้นนำประวัติการรักษายื่นให้กับหวังเย้า

 

“เขาอายุ 78 ปีเหรอครับ?” เมื่อเห็นอายุของคนไข้ หวังเย้าก็รู้สึกว่า การรักษาอาจจะมีปัญหาได้

 

“ใช่ครับ” ชายคนนั้นพูด

 

อาการของโรคเกิดจากร่างกายที่เสื่อมสภาพและระบบการเผาผลาญไม่ทำงาน

 

“นานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ก็เกือบจะสองปีแล้ว” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็ให้คำตอบ

 

“พาเขามาที่นี่” หวังเย้าส่งประวัติคนไข้คืนกลับไป

 

“แต่พ่อของผมอ่อนแอมาก” ชายคนนั้นพูด “หมอช่วย…”

 

“ขอโทษด้วย” หวังเย้าพูด

 

“หมอหวัง เรายินดีจ่าย เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหาเลย” ชายคนนั้นพูด

 

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็เชิญกลับไปเถอะครับ” หวังเย้ารู้สึกไม่ชอบใจ พวกหัวสูงมาอีกแล้วสินะ

 

“หมอหวัง…” ชายคนนั้นเริ่มพยายามพูดกับหวังเย้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์

 

“คนต่อไปครับ” หวังเย้าไม่สนใจเขาและเริ่มตรวจคนไข้คนต่อไป

 

ชายคนนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบใจลงและเดินออกไป

 

ด้านนอก คนขับรถพูด “บอส เขาอวดดีจริงๆเลย!”

 

“เขาอายุยังน้อย ไม่แปลกหรอกที่จะอวดดีแบบนี้ ฉันจะลองโทรถามหมอเฉินดู” ชายคนนั้นพูด

 

เขาโทรหาหมอเฉินและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น

 

“อะไรนะ? ฉันบอกไปตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ขนาดที่ปักกิ่ง แม้แต่ตระกูลซู ,หวู หรือแม้แต่ฉันก็ยังไม่กล้าพูดกับเขาแบบนั้นเลย ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้หรอก!” หมอเฉินวางสายทันที

 

ชายวัยกลางคนยืนอึ้งอยู่นาน “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

หากพูดตามตรง เขาคิดว่า ตัวเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด