กู้ชูหน่วนโยนร่มกระดาษน้ำมันทิ้งไป แล้วนั่งลงข้างๆ เย่เฟิง อยู่เป็นเพื่อนเขาเงียบๆ ภายใต้แสงตะวันร้อนแรง กู้ชูหน่วนครุ่นคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไรดี

แต่คิดไม่ถึงว่าเย่เฟิงจะเอ่ยปากก่อน

เพราะเขาไม่พูดมานาน ดังนั้นเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อยจึงค่อยๆ ดังขึ้น

“ข้าเป็นตัวกาลกิณี ใครเจอข้าก็ต้องโชคร้าย ก็พวกท่านลุงท่านป้าที่ลานทาสพี่องครักษ์ใจดีหลายคนที่เขาสูบวิญญาณ ครอบครัวท่านยายเย่ แล้วยังชาวบ้านในหมู่บ้านสายธารอีก ข้ากลัว…”

กลัวว่านางกับเซียวหยู่เซวียนจะพลอยติดร่างแหไปด้วย

กู้ชูหน่วนรู้ความคิดในใจของเขา จึงแทรกคำพูดเขาโดยตรง “ใครว่าเจ้าเป็นตัวกาลกิณี? เจ้าจิตใจมีเมตตา มีคุณธรรม มีคนเท่าไรต่อคิวอยากเป็นสหายกับเจ้า?”

เย่เฟิงยิ้มขม นั่งอยู่ท่ามกลางตะวันจ้า แต่กลับไม่รู้สึกอบอุ่นสักนิด

“ตั้งแต่ข้าจำความได้ก็อยู่ที่ลานทาสแล้ว ตอนนั้นถึงจะลำบากไปหน่อย แต่ข้าก็มีความสุขมาก เพราะที่นั่นมีพวกท่านลุงท่านป้าที่ดีกับข้ามาก”

“เจ้ารู้ไหมว่าความหวังสูงสุดของข้าในตอนนั้นคืออะไร?”

กู้ชูหน่วนถามแบบหยั่งเชิง “หาพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเอง แล้วกลับไปอยู่ข้างกายพวกเขา?”

“เปล่า ความหวังสูงสุดของข้าก็คือได้เป็นผู้คุมเล็กๆ เช่นนั้นข้าก็ทำให้พวกท่านลุงท่านป้าทำงานน้อยลงได้อีกหน่อย ดังนั้นข้าจึงเรียนรู้ชีวิตที่ต้องดูสีหน้าพวกเขา เรียนรู้ที่จะเอาใจพวกเขา”

“ตอนเด็กๆ พวกเขาบอกว่าถ้าอยากเป็นผู้คุมก็ต้องรู้หนังสือ ไม่รู้หนังสือจะเป็นผู้คุมไม่ได้ เพราะอย่างนั้นข้าจึงขอให้ท่านอากับท่านลุงท่านป้าที่ลานทาสสอนหนังสือให้ข้า แต่พวกเขาส่วนมากก็ไม่เป็นเหมือนกัน ข้าก็เลยไปแอบฟังพวกอาจารย์อยู่นอกห้องเรียน”

“ทุกครั้งที่ถูกจับได้ก็ต้องถูกตีรอบหนึ่ง แต่ข้าดีใจมาก สิบกว่าไม้แลกตัวอักษรมาได้หนึ่งตัว คุ้มค่าแล้ว”

“บางครั้งก็ตีแรง ลุกไม่ขึ้นหลายวัน แม้ต้องคลานข้าก็ยังแอบคลานไปแอบฟังนอกห้องเรียน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ไม่ว่าจะถูกตีสักกี่ครั้ง ถูกไม้สักกี่หน ข้าก็ยังยืนหยัด อาจารย์ที่วิทยาลัยคงใจอ่อน ทนดูไม่ได้ก็เลยฝืนยอมให้ข้าเรียนจากนอกประตู”

“นาทีนั้น ข้าดีใจสุดขีด ข้าวิ่งเหยาะกลับไปบอกพวกท่านลุงท่านป้า แต่…พวกเขาก็ล้มลงแล้ว…”

“ล้มลง? หมายความว่าอะไร?” ครั้นกู้ชูหน่วนถามแล้วก็อยากตบหน้าตัวเองเสียจริง

ข้ามมิติเวลามาก็อยู่จนโง่แล้วหรือไร? ไม่รู้ว่า ‘ล้มลง’ หมายความว่าอะไร

เย่เฟิงเอ่ยเรียบ ราวกับแค่พูดเรื่องที่ไม่สำคัญ แต่จากมือที่กำแน่นเป็นครั้งคราวของเขา ก็รู้สึกได้ว่าเขาอดกลั้นความทุกข์ใหญ่หลวงอยู่

อดกลั้นสุดชีวิต

“ล้มลงก็คือตาย กลับมาไม่ได้อีก พวกเขาถูกทำให้หิวจนตาย ผู้คุมคนใหม่ยักยอกอาหารใส่กระเป๋าตัวเอง เพื่อผลประโยชน์เพียงเล็ดน้อยของตัวเอง ทำจนทาสมากมายถูกทำให้หิวจนตาย ”

“ข้าเสียใจมาก และทนเห็นพวกเขาแม้ต้องหิวตายไปทีละคนก็ยังจะยกอาหารให้ข้าไม่ได้ ดังนั้น…ข้าก็เลยร้องเรียนผู้คุมโรงครัวที่มาใหม่”

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว

ตอนที่ไปช่วยเย่เฟิงที่เขาสูบวิญญาณ เหมือนเจียงซวี่จะเคยพูด ว่ากว่าพ่อแม่เขาจะได้ขึ้นเป็นผู้คุมโรงครัว ก็ถูกเย่เฟิงร้องเรียนเรื่องยักยอกอาหาร ทำให้พ่อแม่พวกเขาถูกตีจนตาย ดังนั้นเขาถึงแก้แค้นเย่เฟิง

“ข้าแค่อยากให้พวกเขาไม่ยักยอกอาหารอีก ข้าไม่คิดทำร้ายใคร แต่หลังจากข้าร้องเรียนแล้ว ผู้คุมโรงครัวคนใหม่ก็ถูกตีจนตาย นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าทำร้ายคน สองชีวิตต้องจบสิ้นเพราะคำพูดประโยคเดียวของข้า…”

กู้ชูหน่วนแก้ให้ถูกต้อง “เจ้าไม่ได้ทำร้ายพวกเขา แต่กรรมตามสนองพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่โลภยักยอกอาหารของทาส ก็ต้องไม่ถูกตีจนตายแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด คนเลวเช่นนั้น ถึงไม่มีเจ้า พวกเขาก็ต้องตายแบบไม่ครบสามสิบสอง”

“จากนั้นข้าก็ถูกเลือกให้เป็นทาสบำเรอ ส่งไปที่ห้องหัวหน้ากองธงกล้วยไม้” เย่เฟิงสั่นเทิ้ม กอดตัวเองแน่นกว่าเดิม คำพูดที่เอ่ยออกมา ฟันสั่นไม่หยุด

“ตั้งแต่นั้นมา โลกของข้าก็มืดสนิท เขาเป็นคนอำมหิตนัก อำมหิตจนขนพองสยองเกล้า”

“เรื่องพวกนั้นมันผ่านไปแล้ว อย่าคิดอีกเลย” กู้ชูหน่วนอยากกอดเขา แต่นางกลัว

กลัวว่าหากนางสัมผัสถูกเขาก็จะแตก

“สิบสามปีมานี้ ข้าอยากจบชีวิตทุกวัน ทุกวันทุกคืนล้วนเหมือนตายทั้งเป็น”

เย่เฟิงเงยหน้ามองกู้ชูหน่วน ดวงตาเย็นชามีน้ำตาคลอ “เจ้ารู้ไหมว่านั่นเป็นชีวิตอย่างไร? เหมือนอยู่ในโพรงน้ำแข็งที่แม้แต่ความตายก็เป็นการขอที่มากเกินไป”

กู้ชูหน่วนไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมเย่เฟิงต้องพูดเรื่องพวกนี้กับนาง?

หรือว่าคิดไม่ตก จะฆ่าตัวตาย?!

“ข้ารู้ว่าข้าตายไม่ได้ หากข้าตาย คนที่พัวพันกับข้าสิบคนก็ต้องตายด้วย ทุกคนที่ลานทาสต้องตายกันหมด พ่อแม่แท้ๆ ของข้าก็ต้องตายเสียดีกว่าอยู่”

ขอเพียงได้ที่หนึ่งเรื่องดีดพิณ วางหมาก เขียนอักษร วาดภาพ และแต่งกลอนเพลง ไม่ว่าจะมีฐานะอะไรก็สามารถคัดเลือกได้ คนที่ได้รับการคัดเลือกจะได้เป็นผู้คุมในหน่วยหลักเผ่าปีศาจ ข้าหวั่นไหว

“ดังนั้นข้าก็เลยตรากตรำร่ำเรียนบทกลอนและหนังสือ เรียนทักษะพิณ วันนั้นข้าได้ที่หนึ่ง ข้ารออย่างลำบาก แต่สิ่งที่ข้ารอคอยกลับมิใช่ข่าวดี แต่กลับเป็นข่าวที่หัวหน้ากองธงจะร่วมหลับนอนกับข้า”

“คืนวันนั้น ข้าถูกทรมานจนแทบเอาชีวิตไม่รอด นอนอยู่บนเตียงหนึ่งเดือนเศษ หลังจากนั้นถึงรู้ ว่าที่แท้เจียงซวี่ล่อให้หัวหน้ากองธงกล้วยไม้มา เมื่อเขาเห็นข้าดีดพิณได้ดี ทั้งมีความสามารถอยู่บ้าง ก็เลยไม่ยอมให้ข้าจากไป”

เย่เฟิงยิ้มขม เอ่ยต่อ “ในคืนงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ปีหนึ่ง หัวหน้ากองธงกล้วยไม้อารมณ์ดีจัด ประกาศนิรโทษกรรม ขอเพียงมีวรยุทธ์สูงพอ สามารถสู้กับแปดยอดฝีมือได้เพียงคนเดียว ก็จะหลุดจากฐานะทาสและทาสบำเรอ และได้เป็นฉีโส่ว”

“ข้าหวั่นไหวอีกครั้ง แต่ข้าเป็นแค่ทาสบำเรอ มีวรยุทธ์ที่ไหนกัน แล้วใครจะยอมสอนให้ข้าล่ะ? ข้าจึงแอบดูคนอื่นฝึกยุทธ์ กลางคืนฉวยโอกาสยามดึกสงัด เลียนแบบสะเปะสะปะ เรียนมาได้นิดหน่อย”

“แต่ขณะที่ข้ายังไม่ทันเป็น ก็ถูกเจียงซวี่ฟ้องกับทางหัวหน้ากองธงกล้วยไม้แล้ว ทุกคนนึกว่าข้าต้องถูกลงโทษหนักแน่ แต่หัวหน้ากองธงกล้วยไม้ไม่เพียงไม่ตีข้า ทั้งยังจะสอนวรยุทธ์ข้าด้วยตนเองอีก”

“ตอนนั้นข่าวระบือไปทั่วเขาสูบวิญญาณ ทุกคนต่างอิจฉาข้า แต่มีเพียงข้าที่รู้ ที่ว่าสอนวรยุทธ์ข้านั้นก็แค่หักกระดูกข้าทั้งตัวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่…แต่เขาบอก ว่ามีเพียงทำเช่นนี้ กระดูกที่งอกใหม่จึงจะเหมาะกับการฝึกยุทธ์ น่าขันยิ่งนัก ข้ากลับเชื่อ”

“เช่นนั้นใครเป็นผู้สอนวรยุทธ์เจ้าล่ะ?”

แม้ฝีมือเย่เฟิงจะไม่สูงส่ง แต่ก็ไม่ถือว่าแย่ โดยเฉพาะการโจมตีด้วยเสียง ถึงกับเรียกได้ว่าเด็ด

“ไม่มีใครสอน ก็แค่ฝึกมากหน่อย รู้ขึ้นมาเองเท่านั้น”

ศิษย์ไร้ครู?

เช่นนั้นก็เก่งมากจริงๆ

ถ้ามีคนสอนเขา ด้วยพรสวรรค์ในการเรียนยุทธ์ เขามิต้องกลายเป็นยอดฝีมือแห่งยุคหรือ?

กู้ชูหน่วนมองมือซ้ายเขา นิ้วทั้งห้ารวมไปถึงข้อมือของมือซ้ายและแขนถูกหักมาไม่น้อยกว่าหลายสิบครั้ง ดังนั้นมือซ้ายเขามีแรงน้อยนิด

“มือซ้ายเจ้าก็ถูกหักในตอนนั้นหรือ?”

“เปล่า เขาชอบฟังเสียงกระดูกหัก ข้าจึงขอร้องเขา ให้ทำลายมือขวาข้าเสีย เมื่อใช้การไม่ได้แล้ว ก็จะปรนนิบัติเขาไม่ได้อีก จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาเกิดจิตเมตตาอะไรขึ้นมา ถึงไม่ทำลายมือขวาของเขา”

จนถึงบัดนี้ เขาก็ไม่รู้ว่ามือซ้ายถูกหักไปกี่ครั้งแล้ว