บทที่ 93 จดหมายงามจากใครที่รัฐอวิ๋น

ท่องภพสยบหล้า

ยอดเขาหยกสมดุลถล่ม เขตเมืองซานซานสั่นสะเทือน

ห่างจากยอดเขาหยกสมดุลไม่ไกล โต้วเยวี่ยเหมยที่อยู่ในชุดทหารทั้งร่างบินกลับมายังจวนเจ้าเมืองเร็วจี๋

ร่อนลง ถอดชุดเกราะ ใบหน้าผ่อนคลาย

“ไปรับเสี้ยวเหยียนกลับมา เขาไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นแล้ว”

นางสั่งลงไปแบบนี้ พลางเดินเข้าไปในห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว

ผู้บัญชาการกองทัพประจำเมืองที่ประจำการอยู่ที่จวนเจ้าเมืองมาโดยตลอดสีหน้าจากตื่นตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นยินดี สุดท้ายก็หน้าตาไหลอาบหน้า

“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”

เจ้าเมืองโต้วนาง…เดิมเตรียมไปจบปัญหาเขาหยกสมดุลเพียงลำพัง

ขังตัวเองอยู่นาน สุดท้ายนางก็ตัดสินใจเช่นนี้

หลังจากส่งบุตรสาวและบุตรชายออกไป นางลบเครื่องแต่งหน้า สวมชุดทหาร

ตัดสินใจออกไปท้ารบกับยอดเขาแห่งนั้นอีกครั้งลำพังเพียงคนเดียว

ภูเขาที่นางจะสู้ด้วยไม่ใช่ภูเขานอกเมือง แต่เป็นภูเขาหลัก

แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย นางไม่จำเป็นต้องไปอีกแล้ว

นับจากวันนี้เป็นต้นไป เขายอดพู่กันกวาดล้างโดยสมบูรณ์ เขาหยกสมดุลถล่ม ต้นกำเนิดสัตว์ร้ายในเมืองซานซานเหลือเพียงยอดเขาเหินมาเพียงแห่งเดียวเท่านั้นแล้ว

จำนวนสัตว์ร้ายเหลือเพียงหนึ่งในสาม สำหรับเมืองซานซานก็ไม่ใช่แรงกดดันที่แบกรับไม่ได้อีกต่อไป

……

……

ระหว่างทางกลับเมืองเฟิงหลิน

“เอาล่ะ!” ไป๋เหลียนเอามือไพล่หลัง กระโดดดึ๋งๆ เหมือนกับเด็กหญิงตัวน้อย “ข้าเป็นอย่างไร ก็ดูว่าเจ้าคิดอย่างไรแล้ว!”

“ข้าไม่อยากคิดแล้ว” เจียงวั่งประสานมือ “ขอลาก่อน”

“เฮ้อ” ไป๋เหลียนสองแขนกางออกขวางไว้ข้างหน้าเขา “โกรธแล้วหรือ”

“เปล่า”

“เช่นนั้นก็ยิ้มหน่อย”

“……”

“…”

“ดูสิ เจ้าโกรธจริงๆ ด้วย!”

เจียงวั่งไม่อยากพัวพัน เอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “ข้าจะรีบกลับไปดูแลน้องสาว”

“รู้แต่ดูแลน้องสาว พี่สาวเจ้าไม่สนใจแล้วหรือ”

“…แม่นางไป๋เหลียน ท่านยังมีธุระอะไรอีกหรือไม่”

ไป๋เหลียนมองเขาเหมือนชื่นชมท่าทางเหนื่อยหน่ายของเขาเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาแฝงรอยยิ้ม

“พี่สาว…” น้ำเสียงนางพลันอ่อนลง “ไม่มีอะไร เจ้าไปเถอะ”

เจียงวั่งรู้สึกประหลาดนัก แต่ตอนนี้จิตใจของเขาวุ่นวายมาก หลุดจากนางได้แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี ด้วยเหตุนี้จึงเดินจากไปทันที ไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ช่างเป็นผู้ชายที่ใจร้ายเสียจริง” ไป๋เหลียนมองแผ่นหลังของเขาจากไปไกล หัวเราะขึ้นเบาๆ

เสียงของนางในตอนนี้ยังคงยั่วเย้าอ่อนโยน

แต่แค่หมุนตัวบุคลิกก็เปลี่ยนไปทันที

นางร่างเหยียดตรง รอบๆ กายมีไฟสีขาวลุกโชน ไฟนั่นลุกไหม้อยู่แต่กลับทำให้คนรู้สึกหนาวยะเยือก

ตอนนี้เอง จากทางยอดเขาหยกสมดุลก็มีเงานกบินโหมซัดมาอย่างสนั่นหวั่นไหว

ไป๋เหลียนร่างดุจดาวตกแสงเพลิงสีขาว พุ่งเข้าปะทะกับมัน!

เงานกแปรเปลี่ยนเป็นชายชราสวมชุดขาวคนหนึ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นไม่ต่างอะไรกับคนชราคนอื่นๆ แต่ผมยาวกลับดำขลับ ไม่มีผมขาวเลยแม้แต่เส้นเดียว

เขาหยุดอยู่กลางอากาศ มือเพียงยื่นออกมาเงานกที่แทบจะมากมายไม่มีสิ้นสุดก็ทะลักออกมาจากมือ แล้วก่อตัวเป็นมือยักษ์ข้างหนึ่งบดอัดลงไป

แต่ก่อนที่ไป๋เหลียนจะปะทะเข้ากับมันก็หมุนหลบ แปลงร่างเป็นลำแสงสีขาว ทะลุผ่านไปจากง่ามนิ้ว มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก

“หึ”

ชายชราผมดำแค่แค่นเสียงขึ้นจมูก ไม่เห็นว่าจะขยับตัวสักเท่าไร ร่างก็มาอยู่หน้าลำแสงแล้ว

ลำแสงสีขาวเจิดจ้าก็เหมือนเตรียมการล่วงหน้าไว้นานแล้ว หมุนหลบอีกครั้ง

ชายชราผมดำเห็นได้ชัดว่าไม่มีความอดทนเล่นแมวหยอกหนู ก้าวมายังหน้าลำแสงสีขาวอีกครั้ง มือข้างหนึ่งกำ

แสงสีดำพุ่งออกไปเป็นแถบลำแสง พันธนาการแสงสีขาวกลุ่มนี้เอาไว้ทันที

แสงสีขาวสลาย หญิงสาวรูปร่างอรชรคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

แต่ชายชราผมดำกลับขมวดคิ้ว เท้ายกขึ้นก้าวไปในท้องฟ้าจากไปไกล

ผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนหายไปในเวลาเดียวกัน นั่นไม่ใช่ร่างจริง

……

แทบจะในขณะเดียวกับที่ไป๋เหลียนร่างพันล้อมด้วยไฟสีขาวทะยานสู่ท้องฟ้า เม็ดบัวสีขาวเม็ดหนึ่งก็ร่วงลงพื้น

ในยามที่แสงสีขาวพุ่งหนี เม็ดบัวก็ผลิใบทันที ดอกบัวดอกใหญ่ดอกหนึ่งก็บานอย่างรวดเร็ว

ไป๋เหลียนยืนขึ้นจากกลางดอกบัวดอกนั้น กวาดมือไปง่ายๆ ลบร่องรอยตรงพื้นที่บริเวณนั้น พุ่งเลียบพื้นจากไปอย่างว่องไว

ในตอนที่นางจากไปได้ไม่นาน ชายชราผมดำก็ร่อนลงมาที่นี่ มองไปรอบๆ ยังจะเห็นร่างใครอีกเสียที่ไหน

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเขามียอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการสะกดรอยคนหนึ่งจับกลิ่นอายกลุ่มหนึ่งได้บนยอดเขาหยดสมดุล ทั้งยังชี้ทางยอกเขา ดังนั้นเขาจึงไล่ตามมา แต่สตรีเจ้าเล่ห์คนนั้นใช้ร่างปลอมขัดขวาง ร่องรอยจึงขาดหาย

ตอนนี้รอให้ยอดฝีมือสะกดรอยคนนั้นตามมาก็สายไปแล้ว

เขากลับไม่โมโห เพียงแค่ถอนหายใจยาวๆ ออกมา

……

เจียงวั่งกลับมาที่บ้านด้วยจิตใจวุ่นวาย เขาไม่ทำอะไร นอนอยู่บนเตียงไปแบบนั้น

เวลาของเขาจัดเอาไว้แน่นอยู่ตลอด นอกจากจะคอยดูแลอยู่เคียงข้างอันอันแล้ว ก็น้อยนักที่จะมีเวลาว่าง

ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาควบคุมปราณ เคล็ดวิชาหลอมกายาสี่สัตว์เทพ หรือจะเป็นกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพา ล้วนแต่เป็นการฝึกฝนที่ต้องใช้เวลานานทั้งสิ้น การหล่อเลี้ยงรากพลังเต๋ายิ่งเป็นการสะสมทุกวัน

แต่ตอนนี้เขาไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น

ในหัวประเดี๋ยวเป็นรัฐจวง เพราะความตายของจั่วกวงเลี่ย ทูตรัฐจวงก่อนหน้านี้ไม่นานถูกรัฐฉู่หยามหมิ่น สำนักเต๋าสนับสนุนทรัพยากรให้ลูกศิษย์ เจ้าสำนักต่งเอออยากให้เขาฝึกฝนให้ดีจากใจจริง ในอนาคตมาเป็นกำลังให้กับรัฐ

ประเดี๋ยวก็เป็นเรื่องรัฐจวงอีก เป็นชีวิตมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่เขาได้เห็นเมื่อเดินไปตามถนนตรอกซอกซอย เป็นชาวไร่ชาวนาที่ขยันขันแข็งพวกนั้น เป็นนายพราน คนเก็บสมุนไพรที่เสี่ยงอันตรายชีวิต เป็นคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่อาจปกป้องตัวเองได้เมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์ร้าย

จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าการตัดสินใจของเขาที่ยอดเขาหยกสมดุลถูกหรือผิด

เจียงวั่งนับตั้งแต่เด็กก็เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง บอกว่าจะสอบเข้าสำนักเต๋าก็ไม่กลัวความเหนื่อยยากลำบาก ออกจากบ้านไปตั้งแต่เด็ก อยากจะได้รู้ได้เห็นสัมผัสกับการดำดินเหาะเหินเดินอากาศ ก็เดินมาตลอดจนถึงวันนี้

เขามีเป้าหมายและการก้าวเดินที่แน่วแน่ มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่เขารู้สึกสับสน

รัฐจวงเป็นรัฐที่เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ แน่นอนว่าเขารักรัฐนี้

แต่การตัดสินใจของเขา สำหรับรัฐนี้แล้วคือรักใช่หรือไม่

เขาไม่มีคำตอบ

……

ในตอนนี้เองเขาได้ยินเสียงกระเรียนดังขึ้นจึงมองออกไปนอกหน้าต่าง

แต่เห็นกระเรียนที่หลอมจากเมฆขาวบินวนในเขตที่พักอยู่หลายรอบ ดูแล้วไม่มีท่าทีคุกคามอะไร

เจียงวั่งผลักประตูออกไปอย่างสงสัยเล็กน้อย กระเรียนเมฆาตัวเล็กตัวนั้นก็กระพือปีกบินมาที่หน้าเขา แล้วแปรเปลี่ยนเป็นจดหมายฉบับหนึ่งค่อยๆ ลอยละลองลงมา

เปิดซองจดหมายที่อ่อนนุ่มเนียนละเอียดออก ข้างในเป็นบัตรเชิญที่ออกแบบอย่างงดงามวิจิตรแผ่นหนึ่ง และกระดาษที่เป็นวัสดุเดียวกันอีกแผ่นหนึ่ง

บนนั้นเขียนไว้ว่า——

สหายเต๋าเจียง:

นับจากที่ลาจากกันบนเขาหยกสมดุลก็เป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว

นานแล้วแต่ไม่ได้รับคำตอบจากสหายเต๋า คงเป็นเพราะชิงอวี่จริงใจไม่พอ

วันที่สิบหกเดือนสิบสอง ประชุมกลุ่มการค้าแม่น้ำเมฆา ขอเชิญท่านมาเข้าร่วม เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ

หากพบกระเรียนเมฆา ขอโปรดตอบกลับ

ลงท้ายไว้ว่า: พิรุณคราม[1]แห่งรัฐอวิ๋น

เจียงวั่งอ่านจบกระดาษก็มีเมฆกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น พันล้อมหมุนวนเป็นรูปร่างเหมือนพู่กันลอยอยู่ข้างหน้า เหมือนจะเร่งเอาคำตอบจากเจียงวั่ง ส่วนตัวอักษรบนกระดาษเมฆาเหล่านั้นหายไปหมดแล้ว

คิดแล้วคงจะเป็นสตรีที่เก่งกาจหยิ่งทะนงอย่างเยี่ยชิงอวี่ระดับนี้ไม่เคยติดค้างบุญคุณใคร ตรากลางเมฆาที่มอบให้ในตอนนั้นก็หวังว่าจะไม่ต้องติดค้างกันแล้ว หากเปลี่ยนเป็นคนที่รู้ซึ้งถึงชื่อเสียงของหอนภาเทียมเมฆ คงวางแผนเอาไว้ดีแล้วว่าจะใช้ตรานี้อย่างไร อาจจะขอเคล็ดวิชาเยี่ยมยุทธ์ไร้เทียมทาน หรือไม่ก็ของล้ำค่าฝึกฝน แต่เจียงวั่งกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ กระทั่งตรากลางเมฆาอันนั้น เพราะรูปลักษณ์ของมันสวยงาม เขาจึงมอบมันให้เจียงอันอัน ตอนนี้มันจึงไปนอนอยู่ในหีบใบเล็กของนางกับของกำนัลต่างๆ นานา

เจียงวั่งไม่รู้ว่าประชุมกลุ่มการค้าแม่น้ำเมฆาเป็นงานเลี้ยงระดับไหน แต่ก็ทายได้ว่าจะต้องรวมไว้ซึ่งผู้คนจากทั่วสารทิศและสิ่งลล้ำค่าหายากอย่างแน่นอน ความหมายของเยี่ยชิงอวี่คงจะช่วยเจียงวั่งเลือกของวิเศษอะไรสักชิ้นจากประชุมกลุ่มการค้าแม่น้ำเมฆา เช่นนั้นแล้วใจจึงจะหมดกังวล

แต่เจียงวั่งไม่รู้สึกว่าตัวเองมีบุญคุณยิ่งใหญ่อะไรกับเยี่ยชิงอวี่จริงๆ ภายหลังเขาได้ยินถึงฝีมือและของวิเศษของเยี่ยชิงอวี่มาเหมือนกัน คิดว่าแม้ตอนนั้นเขาจะไม่ยื่นมือเข้ามา นางก็สามารถเอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัยได้เหมือนกัน

ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เจ้าหอนภาเทียมเมฆาจะไม่ให้ไพ่ตายรักษาชีวิตอะไรกับลูกสาวเพียงคนเดียวเลยหรือ

เจียงวั่งก็ยิ่งไม่ยอมทำเรื่องทวงบุญคุณคนอื่น

ดังนั้นเขาจึงถือพู่กันเขียนตอบกลับไปทันทีว่า:

เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง ข้ามีน้องสาวอายุเยาว์ไม่สะดวกเดินทางไกล มิตรภาพลึกล้ำ พบกันในยุทธจักร

เดิมคิดว่าถึงตรงนี้ก็จะจบแล้ว กระเรียนเมฆาก็จะบินกลับไปยังที่ที่มันควรจะไป

แต่เจียงวั่งกลับจรดพู่กันเพิ่มไปอีกประโยคหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

ประโยคนี้เรียบง่ายและสบายๆ กว่ามาก:

ข้ามีข้อสงสัยหนึ่ง เพื่อเป้าหมายที่ถูกต้อง แต่ต้องทำเรื่องที่ผิด เช่นนี้ถูกหรือไม่

………………………………………………………

[1]มาจากชื่อของชิงอวี่