บทที่ 92 ยอดเขาหยกสมดุลพังทลาย

ท่องภพสยบหล้า

“ข้าต้องทำอะไรหรือ” เจียงวั่งถาม

“ออกจากที่นี่ก่อน” ไป๋เหลียนเอ่ยขึ้น “กรงสัตว์ทิ้งไว้ที่นี่ สิ่งของทุกชิ้นของที่นี่จะเอาออกไปไม่ได้”

เจียงวั่งวางกรงสัตว์ลง ไป๋เหลียนยกเท้าเหยียบ จัดการกระทืบกรงสัตว์ทั้งสองชิ้นจนกลายเป็นผุยผง อุปกรณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นสมบัติทั้สองชิ้นก็สลายกลายเป็นอากาศธาตุไปด้วยเหตุนี้

“แต่ทำลายทิ้งได้” นางเอ่ยขึ้น

ทั้งสองคนกลับทางเดิม คลุมหนังสัตว์เช่นเดิม เดินผ่านข้างตัวผู้ฝึกบำเพ็ญกรมอาญาที่ยังสลบไสลอยู่ทั้งสองคนนั่นออกมา เดินลงจากเขาผ่านฝูงสัตว์ร้ายอย่างสบายๆ เหมือนตอนขามา

“บนยอดเขามันเป็นอย่างไรหรือ” เจียงวั่งถามขึ้น

ไป๋เหลียนไม่หยุดฝีเท้า “เจ้าไม่อยากรู้หรอก ตอนที่เจ้ารู้ถึงความยิ่งใหญ่ของยอดเขาหยกสมดุล เจ้าอาจจะทำลายมันทิ้งไม่ลงก็ได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถอะ”

ถ้าหากไม่มีอะไรอันตรายล่ะก็ เจียงวั่งเองก็อยากจะขึ้นไปดูบนส่วนยอดยอดเขาสมดุลอย่างมาก

คนโบราณเวลาเจอเขาสูงก็จะปีน เมื่อปีนขึ้นไปก็จะได้รับพร เขาอยากรู้มากว่าคนที่เคยไปถึงส่วนยอดของยอดเขาหยกสมดุลเหล่านั้น ในใจคิดอะไรอยู่ อยากจะไปชมส่วนยอดของเขาสมดุลสักครั้ง ไม่รู้ว่าทิ้งความรู้สึกอะไรเอาไว้บ้าง

แต่พอยิ่งคิด ไม่ไปดูก็ดีเหมือนกัน

เดินลงมาถึงตีนเขาอย่างปลอดภัย เจียงวั่งถามขึ้นอีกว่า “ตอนนี้บอกข้าได้หรือยังว่าข้าต้องทำอย่างไร”

“ยังไม่พอ ต้องไกลกว่านี้อีก”

ทั้งสองคนปลดหนังสัตว์ออก เผาทิ้งด้วยวิชาเต๋า พอออกมาจากยอดเขาหยกสมดุล ไป๋เหลียนก็เพิ่มความเร็วขึ้นทันที

หลังจากที่เจียงวั่งเพิ่มความเร็วไล่ตามขึ้นมาระยะหนึ่ง ไป๋เหลียนก็หยุดฝีเท้าลง เวลานี้เพียงมองเห็นเค้าโครงยอดเขาหยกสมดุลอยู่ลิบๆ เท่านั้น

นางหยิบเอาจานค่ายกลออกมาจากอก วางไว้บนมือเจียงวั่ง จากนั้นจึงสอนปางประทับวิชาหนึ่งให้แก่เขา เอ่ยต่อว่า “จำจานค่ายกลชิ้นนั้นที่ข้าทิ้งไว้ในถ้ำภูเขาได้ไหม นั่นคือค่ายกลมังกรปฐพีพลิกฟ้า บนมือของเจ้าคือจานลูก คิดดีดีนะ พอเจ้าทางนี้ประกบปางเสร็จสิ้น ค่ายกลใหญ่ทางนั้นก็จะทำงาน หลังจากนั้น…”

นางอ้าริมฝีปากแดง “ตูม! เขาถล่มพสุธาพังทลาย”

ที่แท้ถาดค่ายกลที่เจียงวั่งคิดว่าเป็นสิ่งอำพรางกลิ่นอายถาดนั้น จริงๆ แล้วเป็นวิธีการที่จะทำลายยอดเขาหยกสมดุลนี่เอง

เจียงวั่งประกบปางขึ้นมาอย่างไม่ลังเล

เรื่องนี้ดูคล้ายกับใบมอบตัวมอบอำนาจ ไป๋เหลียนจริงๆ สามารถทำเองได้ แต่กลับส่งให้เขาเป็นคนทำ

ปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน เจียงวั่งเดิมทีก็ไม่ชอบพฤติกรรมเช่นนี้อย่างมากอยู่แล้ว แต่จะฝากความหวังเอาไว้กับความสงสารต่อเมืองซานซานของไป๋เหลียนไม่ได้ แม้เขาจะอยู่กับไป๋เหลียนเพียงไม่นาน แต่เขาสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณ ว่าไป๋เหลียนไม่มีทางสนใจใส่ใจคนเหล่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขารับปากไป๋เหลียนแล้วว่าจะทำเรื่องให้สามเรื่องเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต

เรื่องนี้ไม่ขัดกับหลักการของเขา

พอเจียงวั่งประกบปางเสร็จสิ้น พลังรากเต๋าในจุดผ่านสวรรค์หลั่งทะลักออกมามหาศาล ส่งพลังเข้าไปในจานค่ายกล จานค่ายกลลูกนี้ก็สลายหายเป็นอากาศธาตุ

และขณะเดียวกัน บนยอดเขาหยกสมดุลก็มีควันดำพวยพุ่งขึ้นมา!

เสียงสาปแช่ง เสียงโหยหวนครวญครางดังขึ้น ควันดำนับไม่ถ้วนทะยานขึ้น ท้ายสุดกลายเป็นร่างเงาขนาดยักษ์ห้าร่าง ล้อมยอดเขาหยกสมดุลเอาไว้

“นี่คือค่ายกลมังกรปฐพีพลิกฟ้าหรือ” เจียงวั่งใช้สายตาอย่างเต็มกำลัง จ้องมองร่างเงาบิดเบี้ยวขนาดยักษ์ที่อยู่ห่างออกไปพวกนั้น เกิดความโมโหจากการถูกล้อเล่นขึ้นมาทันที

เขาถึงแม้จะไม่เคยมีประสบการณ์กับจานค่ายกล และไม่เคยรู้ว่าพลานุภาพแท้จริงของค่ายกลมังกรปฐพีพลิกฟ้าเป็นอย่างไร แต่จากความเข้าใจของชื่อ มันไม่ควรจะเกิดสิ่งของแบบผีผีพวกนี้ขึ้นมาสิ!

“ข้าน่าจะจำผิดจริงๆ นี่มันค่ายกลห้าภูตทลายขุนคีรีนี่นา” ไป๋เหลียนหัวเราะคิกคัก โบกไม้โบกมือเอ่ยขึ้น “แต่มันก็แตกต่างกันไม่เยอะ”

“ข้าเชื่อในตัวท่าน และให้ความร่วมมือกับท่านตลอด คิดที่จะตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต แต่ท่านกลับหลอกข้ามาโดยตลอดหรือ” เจียงวั่งแทบจะระงับความโกรธไว้ไม่ได้

“หลอกเจ้าหรือ ข้าหลอกเจ้าแล้วมีประโยชน์อะไร” ไป๋เหลียนมองเขา สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบอย่างประหลาด “เก็บความเมตตาจอมปลอมที่น่าสงสารนั่นของเจ้าลงไปเสียเถอะ เจ้าก็แค่รู้สึกว่าการควบคุมวิญญาณคนตายทำให้มโนธรรมของเจ้าไม่มั่นคง แต่เจ้ารู้หรือไม่ บนยอดเขาหยกสมดุลมีสัตว์ร้ายประเภทหนึ่งที่ชื่อว่านกกลืนวิญญาณ? วิญญาณที่สู้จนตัวตายบนยอดเขาหยกสมดุลเหล่านั้น กับดวงวิญญาณอาฆาตที่พันรัดอยู่บนตัวสัตว์ร้ายเหล่านั้น ถึงแม้พวกเราจะไม่ใช้งานพวกมัน แต่ก็จะถูกกินจนหมดอย่างรวดเร็ว”

นางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา “เจ้าพร่ำตลอดว่าจะบดขยี้ยอดเขาหยกสมดุล จะปกป้องประชาชนธรรมดาในเขตเมืองซานซาน ความพยายามที่ใช้ออกมาก็แค่มาประกบปางเต๋าที่นี่ก็เท่านั้น แต่ข้าล่ะ ในมือข้าก็มีแค่จานค่ายกลห้าภูตทลายขุนคีรีอันเดียวแล้วจะทำอะไรได้? จะให้ข้าเปลี่ยนเป็นค่ายกลมังกรปฐพีพลิกฟ้าออกมาหรือไรกัน”

เจียงวั่งนิ่งงันไป เขาดูหมิ่นวิชาการควบคุมวิญญาณจริงๆ ถ้าเขารู้ว่าเป็นจานค่ายกลชนิดนี้ เขาอาจจะไม่เลือกใช้ก็เป็นได้

แต่จิตใจเดิมของเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากคำพูดของไป๋เหลียน เขาแค่รู้สึกว่าตนเองกำลังจมอยู่ในกระแสวนบางอย่างที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น กำลังดำดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่อง

และเขาไม่รู้เลยว่าจะดิ้นรนอย่างไร

อันที่จริงนี่ต่างหากที่เป็นแก่นแท้ความโกรธของเขา

บนยอดเขาหยกสมดุลมีเงาเจ็ดร่างพุ่งออกมาฉับพลัน แต่ด้วยบทบาทของจานค่ายกล ค่ายกลห้าภูตทลายขุนคีรีก็สำแดงออกมาอย่างรวดเร็ว เงาภูตขนาดยักษ์ห้าเงานั้น ก่อตัวขึ้นมาแทบจะในอึดใจ จากนั้นวินาทีถัดมาก็รวมพลังทลายภูเขาขึ้นมาพร้อมกัน!

ครืน!

เขาถล่มพสุธาพังทลาย

ยอดฝีมือเจ็ดคนนั้นยังไม่รู้ว่าจะรับมือภูตยักษ์อย่างไร วิชาเต๋าของเขาระเบิดขึ้นบนตัวภูตยักษ์ ยังไม่ทันจะได้สำแดงเดชอะไร…ยอดเขาหยกสมดุลก็พังทลายลง!

ถ้าหากบอกว่ายอดเขาหยกสมดุลเป็นเหมือนกับสัตว์ยักษ์ที่หลับลึกตัวหนึ่ง เช่นนั้นเหล่าสัตว์ร้ายบนตัวมันเหล่านั้นก็เป็นเหมือนกับเห็บหมัด พอสัตว์ยักษ์ล้มลง เหล่าเห็บหมัดก็ทยอยๆ ร่วงกราวลงมา

ห้าภูตยักษ์นั่นไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ แต่ยังออกแรงพร้อมกันแบกยอดเขาหยกสมดุลครึ่งหนึ่งหันไปทางทิศตะวันออก

ทุกย่างเก้าที่เหยียบลง พื้นลั่นเขาสั่นไหว

นั่นคือทิศทางของยอดเขาเหินทะยาน! ภูเขาลูกสุดท้ายของเขตเมืองซานซาน และเป็นรังสัตว์ร้ายแห่งสุดท้าย

ตอนนี้เอง เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าอย่างกะทันหัน

พอเทียบกับภูตยักษ์ทั้งห้าตน เขาเล็กน้อยจนเหมือนจุดดำจุดหนึ่ง

แต่เขายืนตระหง่านกลางอากาศ ราวกับอยู่เบื้องหน้าดวงตะวัน!

กระทั่งมองไม่เห็นว่าเขากำลังทำอะไร ภูตยักษ์ห้าตนก็สลายกลายเป็นฝุ่นควัน

เขาไม่ได้ส่งเสียงอะไร แต่พลังจากตัวเขากลับครอบฟ้าคลุมดิน

ต้นไม้ถูกถอนก้อนหินป่นขยี้ เหล่านกร่วงหล่นสรรพสัตว์หมอบคลาน…กระทั่งเมฆบนท้องฟ้ายังราวกับถูกขับไล่ออกไปด้วยพลังของเขา กระจัดกระจายไปนับหมื่นลี้ชั่วขณะหนึ่ง

แต่ยอดเขาหยกสมดุล ก็ล้มครืนลงไปแล้วตลอดกาล

เหล่าสัตว์ร้าย สัตว์ปีศาจบนภูเขาเหล่านั้น ความลับเหล่านั้น….ล้วนสลายกลายเป็นควันไปทั้งหมด

เจียงวั่งแค่มองไปยังจุดดำที่ห่างออกไปนั่น ก็สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นมาจากก้นบึ้งจิตใจตนเอง นั่นคือความหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณของชีวิต

“อย่ามอง” ไป๋เหลียนยื่นมือไปบังตาของเขา “ถ้าเขาจับได้ถึงสายตาของเจ้า พวกเราตายกันหมดแน่”

มืออ่อนนุ่มไร้กระดูกของนางเย็นเยียบเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด

เจียงวั่งถอยหลังก้าวหนึ่ง หลีกออกจากมือของนาง พร้อมเก็บสายตาที่จ้องไปทางยอดเขาหยกสมดุลกลับมาด้วย

“เดินไปทางเมืองเฟิงหลินเถิด เดินไปด้วยคุยไปด้วย” ไป๋เหลียนเอ่ยขึ้น

เจียงวั่งเดินตามโดยไม่พูดจา

“หลังจากนี้สัตว์ร้ายในเขตเมืองซานซานก็น้อยลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว เจ้าเป็นผู้ช่วยชีวิตของเมืองซานซานโดยแท้! มีความหวังที่จะรับซุนเสี่ยวหมานมาเป็นภรรยาแล้ว จะรับโต้วเยวี่ยเหมยเป็นภรรยาก็ไม่ใช่จะไม่มีโอกาสนะ แต่แต่งกับโต้วเยวี่ยเหมยดูจะคุ้มกว่า ได้หญิงมาพร้อมกันสองคนเลย คุ้มจะตาย!”

เจียงวั่งเงียบงัน

“เดิมทีคิดจะพังยอดเขาเหินทะยานไปด้วยกันเลย แต่ตาแก่นั่นก็มาไวเสียเหลือเกิน ให้ตายเถอะ! ไม่ต้องคอยจับตาดูการคัดเลือกของสำนักเขตปกครองหรือไงน แต่ว่าแค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว!”

เจียงวั่งยังคงนิ่งเงียบ

ไป๋เหลียนเองก็ไม่ใส่ใจ เอ่ยต่อว่า “อันที่จริงแค่ค่ายกลห้าภูตทลายขุนคีรี ต่อให้มีเหล่าวิญญาณในศึกนั้นก่อนหน้ามาช่วยลงอาคมให้ มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้ผลลัพธ์เช่นนี้หรอก ที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นโต้วเยวี่ยเหมย พลังวิเศษถอนภูเขาของนางได้จัดการหักรากของยอดเขาหยกสมดุลจนสะบั้น ถ้าไม่มีเวลามากกว่าหนึ่งร้อยปีไม่มีทางที่จะสมานกันสนิท ดังนั้นห้าภูตพอโจมตีก็พังทลายลงมาทันที…”

ไป๋เหลียนงึมๆ งำๆ ไม่หยุด ราวกับว่าตัวเองสามารถพูดจ้อไปได้ทั้งวัน

เจียงวั่งเอ่ยขึ้นเสียงอู้อี้ “คำพูดของท่านเชื่อได้ครึ่งหนึ่งเชื่อไม่ได้ครึ่งหนึ่ง ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านเป็นใครกันแน่”

ไป๋เหลียนเอ่ยขึ้นอย่างยินดี “แน่นอนว่าเป็นสาวงามแห่งยุคน่ะสิ สวยงามอันดับหนึ่งเสียด้วย!”

“…” ที่เจียงวั่งอยากพูดไม่ใช่ความหมายนี้ แต่เขาก็ปล่อยวางไปแล้ว

เขาตระหนักขึ้นว่าใครก็ไม่สามารถเข้าใจไป๋เหลียนหญิงสาวคนนี้ได้จริงๆ นอกจากนางจะเผยความในใจออกมาเอง

แต่ถ้าพูดอีกครั้ง ใครจะบอกได้ว่า ‘ความในใจ’ ของนางจะเป็น ‘ความในใจ’ จริงหรือไม่กัน

……………………………………….