บทที่ 91 เรื่องแรก

ท่องภพสยบหล้า

ผู้ฝึกบำเพ็ญจากกรมอาญาทั้งสองคนทำไมจึงมาปรากฏตัวที่นี่ ทำไมจึงนำเอากรงสัตว์มา จับสัตว์ป่าตั้งมากมาย เป้าหมายของพวกเรา เหมือนกับไม่จำเป็นต้องคาดเดาแล้ว

เจียงวั่งมองกรงสัตว์ที่ยังไม่ถูกเปิดออกอีกใบ ในใจเกิดความวู่วามอยากจะฟาดฟันให้กระจุย

ศึกนั้นที่ยอดเขาสมดุลหยก ผู้ฝึกบำเพ็ญตายไปตั้งมากมายเท่าไร เสียสละกันไปตั้งมากเท่าไร เขาเห็นมาเต็มสองตา

การปรากฏตัวของสัตว์ร้ายแต่เดิมที ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นภัยจากมนุษย์!

ถ้าเช่นนั้น ความพยายามเหล่านั้น การเสียสละเหล่านั้น ศิษย์พี่ที่สลักคำชมตัวเองก่อนตายคนนั้น เจ้าเมืองสะกดยอดเขาพู่กัน ผู้ที่เฉือนผิวหนังตนเองเพื่อรับมือกับผึ้งหินสังหาร หญิงสาวที่ตัดสะบั้นวิถีเต๋า ทำลายอวัยวะทั้งห้าลงพร้อมกัน…ทั้งหมดนี้ มันหมายความว่าอะไรกัน

“อย่าขยับ” ไป๋เหลียนกดลงเบาๆ ที่บ่าของเจียงวั่ง สัมผัสได้ถึงอาการสั่นสะเทือนเบาๆ ที่ยากจะควบคุมได้ของร่างกายเขา เอ่ยขึ้นเสียงอ่อนนุ่ม “ครั้งนี้ข้าใช้เวทพรางตาแล้วจริงๆ ”

ในภูเขา การเปลี่ยนแปลงของสัตว์ป่าจนกลายเป็นสัตว์ร้ายในที่สุดก็เสร็จสิ้น และเพราะสัญชาตญาณความป่าเถื่อน สัตว์ร้ายมากมายจึงฉีกสังหารกันเองขึ้นมา เสียงคำรามสัตว์ร้ายดังขึ้นไม่หยุด เลือดสดซ่านกระเซ็น

“สัตว์ป่าฝูงนี้จำนวนน้อยเท่านี้เองหรือ”

น้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยพอใจ จากนั้นจึงมีผู้ฝึกบำเพ็ญในชุดคลุมกรมอาญาคนหนึ่งเหยียบอากาศตรงเข้ามา

เจียงวั่งกลั้นลมหายใจด้วยสัญญาตญาณ การจะย่ำเท้าเหยียบอากาศ อย่างน้อยก็ต้องพลังฝึกบำเพ็ญระดับมังกรทะยาน!

คนผู้นี้ถึงปากจะดูไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้สืบสาวเรื่องราวอะไรต่อ เขาหยุดอยู่กลางอากาศเหนือภูเขา สองมือประกบปางมือ กำแพงภูเขาเคลื่อนแยกออกเสียงครืนครัน เผยให้เห็นร่องหุบเขากว้างแนวหนึ่ง

จากมุมของเจียงวั่ง มองไม่เห็นสถานที่ที่เชื่อมต่อกับด้านหลังหุบเขา

ตอนนี้ปางมือของผู้ฝึกบำเพ็ญกรมอาญาเปลี่ยนไปอีกครั้ง เจียงวั่งสังเกตเห็น บนพื้นภูเขาที่สายตาเขามองเห็น ล้วนมีอักขระสีแดงสว่างวาบขึ้นรางๆ แล้วหายไป แต่พอเกี่ยวข้องกับอักขระลายหรือค่ายกล สำนักเต๋าเมืองถ่ายทอดความรู้พื้นฐานมาเพียงบางส่วนเท่านั้น เขาจึงมองไม่ออกว่าอักขระลายค่ายกลเหล่านี้เป็นตัวแทนของอะไร

แต่เหล่าสัตว์ที่ ‘ถือกำเนิด’ ขึ้นมาใหม่เหล่านั้นหยุดการฉีกสังหารลง ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างควบคุม พุ่งทะยานเข้าไปในร่องหุบเขาพร้อมกัน

สัตว์ร้ายเหล่านั้นจะวิ่งไปที่ใดกัน หมู่บ้านไหน ตำบลเล็กไหนกันนะ จะมีเสบียงที่ถูกทำลาย ประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกกัดกินอีกเท่าไร

พอคิดถึงจุดนี้ เจียงวั่งก็เกิดจิตสังหารขึ้นมาอย่างคุมไม่ได้

นี่เป็นครั้งแรก ที่เขาเกิดจิตสังหารขึ้นมาต่อคนของกรมอาญา ต่อผู้ฝึกบำเพ็ญที่เป็นตัวแทนของราชวงศ์จวง

ต้องรู้ไว้ สำหรับศิษย์ของสำนักเต๋าแล้ว หน่วยทหารหรือกรมอาญา…สถานที่เหล่านี้ ล้วนเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกเขาในอนาคตทั้งสิ้น

หลังจากฝึกบำเพ็ญสำเร็จเข้าสู่ราชวงศ์จวง ถวายตัวต่อทางการเป็นการแสวงหาสูงสุด ทว่าระหว่างการฝึกบำเพ็ญแล้วพบกับเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งกว่าก็มีอยู่ไม่น้อย และยังมีอีกหลายคนที่มีความฝันอยากเข้าสู่กรมอาญาตั้งแต่เด็ก

นั่นเป็นพลังการบรรลุพลังที่สำคัญสำหรับจับกุมความชั่วพิฆาตความเลว ปกป้องรัฐจวงให้สงบสุขร่มเย็น

แต่ผู้ฝึกบำเพ็ญกรมอาญาที่อยู่บนยอดเขาสมดุลหยกนี้ พวกเขากำลังทำอะไรกัน?

“สังหารเขาไม่ได้” ไป๋เหลียนสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง เอ่ยขึ้นมาทันที “ที่นี่ถ้ามีใครตายไปสักคนล่ะก็ ราชวงศ์จวงจะได้รับข่าวทันที สาเหตุที่ที่นี่มีการจัดวางไม่รัดกุมนัก เพราะชีวิตของคนเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดีที่สุด และผู้แข็งแกร่งที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็มีพลังวิเศษร่นขอบฟ้าอยู่กับตัว หากเขารู้ตัวก็จะปรากฏขึ้นที่นี่ในพริบตา ถึงตอนนั้น ต่อให้เป็นข้าก็หนีไม่พ้น”

เจียงวั่งอดยิ้มขืนขึ้นมาไม่ได้ เขามีปัญญาไปสังหารผู้แข็งแกร่งที่พลังฝึกบำเพ็ญระดับมังกรทะยานเป็นอย่างต่ำได้เสียที่ไหน

แต่ว่าเขาเองก็เข้าใจแล้ว ที่ก่อนหน้านี้ไป๋เหลียนไม่สังหารผู้ฝึกบำเพ็ญกรมอาญาทั้งสองคนก่อนหน้า มันใช่เพราะสนใจต่อความคิดเขาเสียที่ไหน แต่ไม่กล้าต่างหาก

เวลานี้ ผู้แข็งแกร่งกรมอาญาจากไปแล้ว หุบเขาเส้นนั้นกำลังส่งเสียงครืนครันหุบเข้าหากันเช่นเดิม

“ด้านหลังหุบเขาคือสถานที่แบบไหน” เจียงวั่งถามขึ้น

“ข้าไม่สามารถพาเจ้าไปได้” ไป๋เหลียนส่ายหน้า “สถานที่นั้นไม่เหมือนที่นี่ มีการวางค่ายกลใหญ่แท้จริงไว้ ขนาดข้าเองก็ยังไม่กล้าเข้าไปลึก อย่างมากข้าก็บอกเจ้าได้เพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น”

“การคาดเดาอะไรหรือ”

“เจ้าน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าวัตถุดิบของยาลูกกลอนเปิดชีพจรก็คือชีพจรเต๋าของสัตว์ปีศาจ แต่เจ้าเคยคิดไหม อาณาจักรของเจ้าผู้ครองรัฐ มีประชาชนอยู่มากมายเท่าไร แล้วความต้องการยาลูกกลอนเปิดชีพจรมีมากระดับไหน แล้วสัตว์ปีศาจพอสังหารทิ้งมันก็สูญพันธุ์ไป สืบพันธุ์ต่อได้หรือ ข้าเดาว่าสาเหตุที่สัตว์ปีศาจสามารถออกมากันได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จะต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์ร้ายเหล่านี้อย่างมากแน่นอน”

การคาดเดานี้มีความเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะสัตว์ร้ายเหล่านั้นที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนร่างมาจากสัตว์ป่าผ่านกรรมวิธีบางอย่าง จนกลายเป็นสัตว์ปีศาจที่มีชีพจรเต๋าโดยธรรมชาติ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรเดิมทีก็มีสัตว์ร้ายพิเศษบางส่วนที่สามารถใช้วิชาเวทได้ นอกจากการไม่มีสติปัญญาแล้ว ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับสัตว์ปีศาจนัก

หากนี่เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นพูดในอีกความหมายหนึ่ง ยอดเขาสมดุลหยกก็เป็นหนึ่งในฐานที่มั่นทรัพยากรของราชวงศ์จวง เป็นหลักประกันความมั่นคงในการพัฒนาของรัฐจวง และยิ่งเป็นแหล่งกำเนิดยาลูกกลอนเปิดชีพจรที่ศิษย์สำนักเต๋าอย่างพวกของเจียงวั่งหลิงเหอต้องการอีกด้วย

เพียงแต่ว่า…

เหล่าประชาชนธรรมดาที่ตายไปเพราะสัตว์ร้ายเหล่านั้น

เหล่าผู้คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าประชาชนเข้าต่อสู้กับสัตว์ร้ายจนตัวตาย

คนที่มึนงงอยู่ในการปลุกเร้านั่น ผู้คนที่รวมเจียงวั่งเข้าไปด้วยเหล่านั้น

มันคืออะไรกันล่ะ

“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมจึงต้องปิดบังทุกคน ทำไมจึงมองผู้ฝึกบำเพ็ญจากเมืองต่างๆ เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอย่างต่อเนื่องเช่นนี้” เจียงวั่งเสียงแหบพร่า ทัศนคติต่อชีวิตของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง

“เจ้าต้องรู้ไว้ ปีศาจร้ายที่ถูกเลี้ยงในคอกทั้งหมด รุ่นถัดไปจะสูญเสียชีพจรเต๋าแต่กำเนิดไป” ดูเหมือนไป๋เหลียนเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก นางเอ่ยต่อด้วยสายตาที่ครุ่นคิด “ข้าคิดว่า สัญชาตญาณดิบเป็นปัจจัยที่จำเป็นของสัตว์ปีศาจ การเข่นฆ่าสังหารเป็นขั้นตอนที่จำเป็น ในนี้มีความลับที่ข้าไม่รุ้อยู่ แต่มันเป็นตัวตัดสินผลลัพธ์เช่นนี้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงให้คนรู้เป็นวงกว้างไม่ได้ แต่กลับต้องจำกัดอยู่ในวงแคบ เพราะไม่มีใครที่จะยอมออกไปตายอย่างไร้ซึ่งความหมายหรอก”

สายตาของนางกลายเป็นเย้ยหยัน “หรือไม่ก็รอให้เจ้ากลายเป็นขุนนางใหญ่ในเมืองซินอัน แล้วลองไปถามกับจวงเกาเสียนต่อหน้าดูดีไหม”

รอให้เจ้าเป็นขุนนางใหญ่เสียก่อน แล้วไปถามกับเจ้าผู้ครองรัฐจวงเองเลย

ประโยคนี้เป็นเพียงแค่ประโยคหยอกเย้าธรรมดา

แต่กลับเป็นประโยคที่ทำให้เจียงวั่งหวาดกลัว

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยจินตนาการ คิดว่าหลังจากที่ล่วงรู้เรื่องนี้แล้ว อนาคตเขาจะทำอย่างไร เขาเชื่อมั่นไม่ว่าสาเหตุเบื้องหลังของการเพาะเลี้ยงสัตว์ร้ายเหล่านี้คืออะไร เขาก็จะยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าประชาชนคนบริสุทธิ์ที่ตายไปเหล่านั้น และจะหยุดยั้งเรื่องเช่นนี้

แต่คำถามนี้ของไป๋เหลียนก็ทำให้เขาคิดขึ้นมาว่า

เหล่าคนใหญ่คนโตในเมืองซินอัน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่ฝึกฝนจากเมืองต่างๆ ที่ก้าวขึ้นไปทีละขั้นๆ ทังสิ้น พวกเขาเองจะต้องเคยผ่านหรือเคยรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานจากการถูกสัตว์ร้ายทรมานแน่นอน พวกเขาจะต้องมีบางส่วนที่มีอุดมคติที่จะคุ้มครองประชาชนมาตั้งแต่เล็กแน่นอน มีความทะเยอทะยานที่จะช่วยเหลือผู้คน

แต่ทว่า มันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

รัฐจวงสถาปนาขึ้นมาสามร้อยกว่าปี ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสัตว์ร้าย ยังคงทำให้คนส่วนใหญ่สับสนอยู่ในการปลุกเร้า

เหล่าวัยหนุ่มสาวที่เคยมีปณิธานจะเปลี่ยนแปลงโลก ท้ายสุดก็ถูกโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่แค่ในรัฐจวงที่เป็นเช่นนี้ รัฐยงก็เป็นเช่นนี้ ใต้หล้าทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนี้!

นี่มันไม่น่ากลัวหรอกหรือ

นี่มันทำให้คนพรั่นพรึงขนาดไหนกัน!

“เป็นอย่างไร คิดที่จะทำลายที่นี่ไหม”

ไป๋เหลียนจงใจพุ่งเข้ามาที่ข้างหูเขา เอ่ยขึ้นว่า “ด้านหนึ่งคือราชวงศ์จวงที่เจ้าต้องถวายความจงรักภักดีในอนาคต ยาลูกกลอนเปิดชีพจรที่มากมายนับไม่หวาดไม่ไหว อีกด้านคือเหล่าประชาชนที่น่าสงสารเหล่านั้นในเขตเมืองซานซาน อ๊ะ ดูเหมือนจะไม่ได้มีคุณค่าอะไรนัก…”

เจียงวั่งตัดบทนาง “ข้าคิดอยู่”

วินาทีนี้เขาไม่ได้ให้สมองทำงาน แต่เอาการตัดสินใจส่งต่อไปยังสัญชาตญาณ ส่งต่อไปยังส่วนลึกของความเป็นคน ความดีงามและความเห็นอกเห็นใจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้มากที่สุด

ไป๋เหลียนมองเขาครู่หนึ่ง เอ่ยต่อว่า “และนี่ก็คือเรื่องแรกที่ข้าจะให้เจ้าทำ”

……………………………………….