ตอนที่ 42
ศิษย์เอก
การประลองของเฟิงชิวจบลงอย่างรวดเร็วไม่แพ้การประลองของฮั่วเจียนเลย เฟิงชิวเพียงบุกเข้าโจมตีไม่กี่ครั้งก็ใช้วิชาเตะอัดคู่ต่อสู้อย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถตอบโต้ได้เลยแม้แต่น้อย ส่วนตัวแทนจากสำนักบุปผชาติก็โจมตีเฟิงชิวไม่โดนจนขอยอมแพ้ไปด้วยตนเอง เรียกได้ว่าทั้งวันนี้สำนักธารโลหิตคว้าชัยมาทั้งหมดเลยทีเดียว แถมคู่ลำดับ 3 และ 2 ก็จบอย่างรวดเร็วราวกับฝีมือต่างชั้นกันมากเกินไปอีกต่างหาก
“ท่านเจ้าสำนักธารโลหิต นั่นไม่ใช่เฟิงชิวศิษย์เอกของสำนักท่านหรืออย่างไร”เจ้าสำนักยอดเมฆาพูดพลางมองไปบนลานประลอง
“จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ผิดนัก”เจ้าสำนักธารโลหิตตอบอย่างคลุมเครือเพราะรู้สาเหตุที่เจ้าสำนักยอดเมฆาถามคำถามเช่นนี้ออกมาอยู่แล้ว
“นี่ท่านจงใจนำศิษย์เอกมาลงแข่งในลำดับที่ 2 อย่างนั้นหรือ”เจ้าสำนักยอดเมฆากำหมัดแน่น เพราะมันจำได้ว่าปีที่แล้วลำดับของศิษย์สำนักธารโลหิตแต่ละคนไม่ใช่แบบนี้
“ถูกต้อง ข้าให้ศิษย์เอกปีที่แล้วมาแข่งในรอบลำดับ 2 แล้วทำไมหรือ”เจ้าสำนักธารโลหิตยิ้มบางๆพลางตอบอย่างใจเย็น ปกติแล้วการกระทำเช่นนี้นับว่าขี้ขลาดและเหมือนว่าเจ้าสำนักธารโลหิตต้องการจำนวนรอบการชนะมากๆจนยอมเสียรอบศิษย์เอกไป แต่ในใจเจ้าสำนักยามนี้กำลังยิ้มระรื่นราวกับจะบอกเจ้าสำนักยอดเมฆาว่า เดี๋ยวรอดูพรุ่งนี้เถิด เจ้าจะอกแตกตายมากกว่านี้เสียอีก
“ถึงท่านจะชนะมากรอบกว่า แต่ศิษย์เอกที่ชนะย่อมมีภาษีเหนือกว่าอยู่แล้ว”เจ้าสำนักยอดเมฆาว่าพลางลุกขึ้นเดินจากไป เป็นไปตามที่มันพูดจริงๆเพราะแต่ละปีหลังการประลองจบลง ชาวบ้านจะวัดอันดับของสำนักทั้งสามด้วยรอบประลองของศิษย์เอกทั้งสิ้น ต่อให้อีก 9 คนแพ้แต่ศิษย์เอกชนะก็อาจจะมีภาษีเหนือกว่าก็ได้
.
.
ในที่สุดเช้าของการแข่งขันวันสุดท้ายก็มาถึง วันนี้เหล่าอาจารย์ รองเจ้าสำนัก และตัวเจ้าสำนักของสำนักธารโลหิตต่างเดินเข้ามาในสนามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับมางานเฉลิมฉลอง ในขณะที่ศิษย์เอกของพวกมันต้องเจอกับศิษย์เอกของสำนักยอดเมฆาที่มีพลังระดับ ผลึกวิญญาณ ขั้น 5 เรียกได้ว่าระดับแทบจะเท่าๆกับเหล่าอาจารย์ของแต่ละสำนักอยู่แล้ว โดนเฉพาะอาจารย์จากสำนักบุปผชาติที่บางท่านยังมีพลังไม่ถึงขั้นนี้เสียด้วยซ้ำ
“คารวะท่านอาวุโส”เจ้าสำนักธารโลหิตที่เดินมาที่นั่งของเจ้าสำนักเห็นแขกของงานวันนี้ก็รีบก้มหัวคารวะทันที
“ไม่ต้องมากพิธี ตามสบายเถอะ”อาวุโสเทียนหมิงยิ้มอย่างสบายใจพลางหัวเราะเบาๆออกมา ยามนี้มันอารมดีอย่างมากเพราะศิษย์ของมันฟื้นคืนสติแล้ว แถมวันนี้มันยังมานั่งชมการประลองร่วมกับมันอีกด้วย
“รีบเริ่มการประลองเถอะ”เจ้าสำนักยอดเมฆาพูดขึ้นเมื่อเห็นทั้งสามสำนักมากันครบแล้ว งานนี้อาวุโสเทียนหมิงให้เกียรติมาชมด้วยตนเอง มันไม่อาจมัวยืดยาดได้
“เช่นนั้นศิษย์เอกของแต่ละสำนักออกมาข้างหน้าได้”พูดจบศิษย์ของทั้งสามสำนักก็เดินออกมาบนลานประลองเพื่อทำการจับฉลาก โดยคู่แรกจะเป็นการประลองระหว่างศิษย์เอกสำนักยอดเมฆากับศิษย์เอกสำนักบุปผชาติ และตามมาด้วยไป๋จูเหวินที่ต้องต่อสู้กับสำนักบุปผชาติเช่นกัน หลังจากนั้นไป๋จูเหวินจึงได้ประลองกับคนของสำนักยอดเมฆา
ในการแข่งรอบแรก ทันทีที่ศิษย์เอกสำนักยอดเมฆาแสดงพลังออกมาศิษย์เอกสำนักบุปผชาติที่มีพลังเพียงระดับ ผลึกวิญญาณขั้น 1 ก็พ่ายแพ้ลงอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ไป๋จูเหวินจะลุกขึ้นไปบนลานประลอง อาจารย์ลี่ก็เรียกตัวมันเอาไว้ก่อน
“ไป๋จูเหวิน”อาจารย์ลี่พูดพลางยื่นมีดเล่มเล็กๆที่ทำจากไม้ไปให้
“รอบนี้เจ้าอย่าพึ่งเอาจริง เพียงทำให้นางยอมแพ้ไปก่อนเท่านั้น”อาจารย์ลี่พูดจบก็กลับมานั่งที่เดิม ตัวมันทราบดีว่าเจ้าสำนักอยากเอาคืนเจ้าสำนักยอดเมฆาแค่ไหน เพราะคำประกาศของมันทำให้คนเข้าสำนักมีน้อยจนแทบจะไม่มีเงินหมุนเวียนในสำนัก มันเลยให้ไป๋จูเหวินเก็บงำพลังฝีมือเอาไว้ก่อนค่อยเอาจริงกับศิษย์เอกสำนักยอดเมฆา
“ขอรับ”ไป๋จูเหวินรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินออกไปบนลานประลอง
“เชิญ”ศิษย์เอกสำนักบุปผชาติราวกับรู้ชะตา นางถอนหายใจพลางประสานมือเพื่อให้อีกฝ่ายเริ่มต่อสู้กับนางในทันที
ฟุบ! ร่างของไป๋จูเหวินทะยานไปข้างหน้าด้วยวิชาตัวเบาที่พึ่งเรียนมา ความเร็วของมันแม้จะไม่เท่าเฟิงชิวแต่ก็แทบไม่ต่างกัน พริบตาต่อมาร่างของไป๋จูเหวินก็ก้าวมาถึงเบื้องหน้าศิษย์เอกสำนักบุปผชาติ นางพยายามใช้กระบี่ตอบโต้ไป๋จูเหวินแล้วเพียงแต่ไป๋จูเหวินเองก็สามารถจับมือของนางเอาไว้ได้อย่างง่ายดายพลางใช้มีดที่อาจารย์ลี่ให้มาจ่อไปที่คอของนาง
“ข้าแพ้แล้ว”ศิษย์เอกสำนักบุปผชาติพูดพลางก้มหน้าลง ทั้งพลังและความสามารถของสำนักบุปผชาติแทบจะต่ำกว่าสองสำนักอย่างมาก การที่นางต้องมาเจอเหล่าปีศาจเช่นนี้ก็ได้แต่ยอมรับเท่านั้น
“ต่อไปเป็นตาข้าสินะ”ศิษย์เอกสำนักยอดเมฆาเดินกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พลังของไป๋จูเหวินยามนี้อยู่ที่ขั้นผลึกวิญญาณขั้น 3 ทำเอาเหล่าอาจารย์ของสำนักต่างๆมีท่าทีสนใจเป็นอย่างมากเพราะไป๋จูเหวินยังดูหนุ่มอยู่มาก บางทีอาจจะยังไม่ถึง 20 เสียด้วยซ้ำ
“มัน…”อาจารย์ท่านหนึ่งของสำนักยอดเมฆามองมาทางไป๋จูเหวินด้วยสีหน้าตื่นตะลึง วันก่อนมันได้รู้ว่าปิงเฉิงเป็นคนไม่รับมันเข้าสำนักมันจึงเสียดายที่ปิงเฉิงไล่คนที่สามรถเพิ่มระดับ 8 ขั้นใน 2 เดือนได้ มันจึงจำได้ดีว่าเมื่อ 2 วันก่อนไป๋จูเหวินยังอยู่ระดับ ก่อกำเนิดขั้น 8 อยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้มันถึงมีพลังระดับผลึกวิญญาณขั้น 3 ได้ มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
“หึหึ ไม่เลวเลย”ที่ด้านหลังเจ้าสำนักทั้งสาม อาวุโสเทียนหมิงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เรียกได้ว่าสมกับเป็นร่างกายที่มันเองยังตกตะลึงจริงๆ เพียงได้เคล็ดวิชาโลหิตมังกรไป 2 คืนเท่านั้นมันถึงกับเลื่อนขึ้นมา 5 ระดับแถมยังสร้างแก่นวิญญาณได้อย่างรวดเร็วอีกต่างหาก
“เรามาเริ่มกันเถอะ”ศิษย์เอกสำนักยอดเมฆาว่าพลางตั้งท่ากระบี่อย่างระมัดระวัง คนของสำนักธารโลหิตมักจะแข็งแกร่งกว่าระดับพลังของพวกมันเสมอ ทำให้ตัวมันไม่กล้าประมาทคนจากสำนักธารโลหิตเสียทีเดียว
“ปิดฉากในทีเดียวซะ”ขณะจะเริ่มประลองไป๋จูเหวินก็ได้ยินเสียงจากอาจารย์หยานที่อยู่ตรงที่นั่งคนดู วินาทีที่ไป๋จูเหวินมองไปทางอาจารย์หยานศิษย์ของสำนักยอดเมฆาก็อาศัยจังหวะนั้นพุ่งเข้ามาหาในพริบตา แต่เพราะไป๋จูเหวินไม่จำเป็นต้องมองศัตรูเสียด้วยซ้ำ มันก็สามารถปัดกระบี่ของอีกฝ่ายออกอย่างง่ายดายก่อนจะ…
ผั๊วๆๆ ฝ่ามือประกายอัสนีถูกซัดออกไป 3 ครั้งในพริบตา ตั่งแต่เลื่อนขึ้นมาเป็นระดับผลึกวิญญาณในที่สุดไป๋จูเหวินก็สามารถซัดออกไปได้อีกฝ่ามือหนึ่ง แต่ในสายตาของเหล่าผู้ชมพวกมันมองไม่เห็นเลยว่าไป๋จูเหวินซัดออกไปกี่ฝ่ามือกันแน่ เอาจริงๆพวกมันไม่เห็นไป๋จูเหวินขยับตัวเสียด้วยซ้ำ ทำเอาเหล่าอาจารย์และศิษย์อีกสองสำนักอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก…..
แปะ… แปะ… แปะ… ขณะทั้งลานประลองกำลังอึ้ง เสียงปรบมือของคนๆหนึ่งก็ดังขึ้น
“สมแล้วที่ข้าคาดหวังเอาไว้”อาวุโสเทียนหมิงพูดพลางเดินออกมาหน้าเจ้าสำนักทั้งสามโดยไม่สนใจสายตาอึ้งตะลึงของอีกสองสำนักเลย
“ไป๋จูเหวิน เจ้าเป็นปลาที่ใหญ่เกินไปสำหรับบ่อแห่งนี้”อาวุโสเทียนหมิงว่าพลางหันไปหาศิษย์ของตนเอง ทำให้ศิษย์ของมันพยักหน้าทีหนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงไปที่ลานประลอง
“ท่านอาวุโส…”เจ้าสำนักยอดเมฆาพูดพลางมองศิษย์ของอาวุโสเทียนหมิงที่ลงไปบนลานประลอง
“วันนี้เป็นวันแข่งขันของศิษย์เอกไม่ใช่หรืออย่างไร มันเป็นศิษย์เอกของข้าเช่นกัน”ได้ยินที่อาวุโสเทียนหมิงพูด ดวงตาของเหล่าเจ้าสำนักก็เบิกกว้างทันที นี่มันล้อเล่นหรืออย่างไร เจ้าหนุ่มนั่นแม้จะอายุพอๆกับไป๋จูเหวิน แต่พลังวิญญาณกลับมากกว่าพวกมันเหล่าเจ้าสำนักเสียอีก แล้วไป๋จูเหวินที่พลังวิญญาณเพียงระดับผลึกวิญญาณขั้น 3 จะไปสู้ได้อย่างไร
“ขอโทษด้วย ทั้งๆที่เจ้าเป็นคนรักษาให้ข้าแท้ๆ”ศิษย์ของอาวุโสเทียนหมิงพูดพลางชักกระบี่ออกมาจากฝัก มันไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมอาจารย์ถึงสั่งให้มันลงมาต่อสู้กับไป๋จูเหวิน ทั้งๆที่พลังวิญญาณห่างกันเช่นนี้
“ดูเหมือนท่านจะหายดีแล้ว”ไป๋จูเหวินยิ้มรับพลางมองชายหนุ่มตรงหน้า พลังวิญญาณของมันยามนี้คือระดับหลอมรวมนภาไม่ใช่หลอมรวมปฐพีแต่อย่างไร แถมยังเป็นขั้นสูงจนเกือบจะก้าวเข้าสู่ขั้นหลอมรวมวิญญาณแล้วอีกต่างหาก
“ขอโทษที เอ่อสนามประลองของเราห้ามใช้อาวุธจริง…”อาจารย์ของสำนักยอดเมฆาเห็นศิษย์ของอาวุโสเทียนหมิงถือกระบี่เหล็กอยู่ในมือ แต่จะเตือนก็เกรงใจอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน
“อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย แค่กระบี่เหล็กธรรมดา มันไม่ต่างจากกระบี่ไม้นักหรอก”อาวุโสเทียนหมิงว่าพลางหัวเราะออกมา มันเดินลงมาบนลานประลองก่อนจะบอกให้อาจารย์ของสำนักยอดเมฆาออกจากสนามเพราะมันคงไม่สามารถทำหน้าที่ผู้ตัดสินควบคุมการประลองครั้งนี้ได้
“อู๋หมิง ข้าจะเตือนเจ้าอีกครั้ง”อาวุโสเทียนหมิงพูดขณะยืนอยู่กลางลานประลองราวกับจะเป็นผู้ตัดสินเสียเอง
“อย่าได้คิดประมาทไป๋จูเหวินคนนี้โดยเด็ดขาด ใช้ทุกอย่างที่เจ้ามีซะ”