บทที่ 939 อุปกรณ์ของพวก “**”

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

“เห็นหรือยัง? มันไม่เหมือนกันนะ” หลี่ย่าหลินพูดยิ้มๆ

หลิงม่อก้มหน้าเปรียบเทียบกับรอยฟันบนกะโหลกหนึ่งรอบ แล้วก็ทำหน้าตะลึง “จริงด้วย!”

ฟันของซอมบี้ทั่วไปเมื่อเทียบกับของมนุษย์ อย่างมากก็แค่ลึกกว่าหน่อย อย่างน้อยโดยรวมก็ยังคล้ายกันอยู่ แต่รอยฟันบนกะโหลกนี้ กลับเป็นรูแหลมๆ ทั้งนั้น…และหากมองดูดีๆ ก็จะค้นพบจุดที่แตกต่างกันซึ่งสังเกตเห็นได้ยากมาก เพียงแต่รอยฟันบนกะโหลกศีรษะอันนี้ทับซ้อนกันหลายชั้น ถ้าหากไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์ ก็อาจไม่สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้

“แล้วก็อีกอย่าง จำนวนซี่ฟันของพวกมัน ดูเหมือนจะเยอะกว่าของพวกฉันด้วย นอกจากนี้พฤติกรรมการกินของพวกมัน…ถ้าหากเป็นซอมบี้เหมือนพวกฉัน ปกติจะทุบกะโหลกให้แตกออกเลย ถึงแม้จะอ้าปากกัดกะโหลกตรงๆ ก็ไม่มีทางกัดแบบรอยนี้แน่นอน” หลี่ย่าหลินเลียปาก พลางพูดเสริม

ดูจากกะโหลก พฤติกรรมการกินของสิ่งมีชีวิตนี้ดูโหดร้ายเกินไปหน่อยจริงๆ…ถึงแม้ก่อนที่พวกมันจะลงมือกิน ศพพวกนี้จะไม่ถือว่าเป็นมนุษย์แล้ว แต่พอนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ หลิงม่อก็อดหนังศีรษะตึงชาไม่ได้

“อีกอย่าง ในนี้ยังขาดหัวกะโหลกไปอีกหลายหัวเลยนะ…ถ้าหากนายมีเวลาประกอบพวกมันเข้าด้วยกัน ก็จะค้นพบเรื่องนี้เอง” หลี่ย่าหลินพูดต่อ

หลิงม่อหางตากระตุกยิกๆ บอกว่า “คงไม่ต้องหรอก…แต่พี่มองออกในแวบเดียวเลยได้ยังไงกัน?”

หลี่ย่าหลินหัวเราะคิกคัก แล้วอยู่ๆ ก็ขยิบตาให้เขาบอกว่า “จะว่าเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งก็ได้มั้ง! เทียบกับมนุษย์ ซอมบี้เขาใจร่างกายของตัวเองดีกว่านะ ได้ยินซย่าน่าบอกว่า สิ่งมีชีวิตที่เติบโตโดยธรรมชาติล้วนมีสัญชาตญาณอย่างนี้ และร่างกายของพวกเราชาวซอมบี้ก็เหมือนกับมนุษย์พอดี ดังนั้นหากอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ แค่ดูภายนอกก็จะรู้ถึงการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและกระดูกแล้วล่ะ ถ้าได้กลิ่นเลือดสดๆ ด้วย ก็จะรู้ถึงปัญหาสุขภาพของคนคนนั้นด้วยนะ อย่างเช่นอวัยวะภายในมีปัญหาหรือไม่ หรือมีอาการป่วยที่เกี่ยวกับเลือดหรือเปล่า…เอาเป็นว่าสรุปก็คือ มนุษย์ทุกคนมีกลิ่นที่แตกต่างกันไปใช่ไหมล่ะ มันก็เหมือนกับประโยคที่บอกว่า — ไม่มีใครในโลกนี้ที่เหมือนกันทุกประการนั่นแหละ…”

“ส่วนเรื่องที่ทำไมนายถึงดูไม่ออก นั่นก็เป็นเพราะนายควบคุมได้แค่ร่างกายของหุ่นซอมบี้ตัวนี้ แต่กลับไม่ได้รับความสามารถทางสัญชาตญาณบางส่วนของมันมาด้วย…”

“ไม่เคยได้รับเลยเถอะ! ที่ผ่านมาไม่เคยได้รับซักอย่างเลย! อีกอย่าง…ประโยคที่พี่ยกขึ้นมานั่นมันไม่ได้เอามาใช้กับสถานการณ์อย่างนี้ซักหน่อย…” หลิงม่อคำรามเสียงต่ำ แล้วเงยหน้ามองทางเชื่อมที่ทอดยาวออกไปเส้นนั้น “ถึงแม้ไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหนกันแน่ แต่ที่มั่นใจได้ก็คือ พวกมันไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดาแน่นอน…ถ้าหากเป็นซอมบี้กลายร่าง ถ้าอย่างนั้นจุดที่เกิดการกลายสภาพบนร่างกายของพวกมัน ก็มีมากเกินไปแล้ว…

การจะอาศัยอยู่และเคลื่อนไหวในนี้เป็นเวลานานๆ หากอาศัยแค่การปีนป่าย ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ และหากดูจากด้านเรี่ยวแรง พลังงานที่ต้องเผาผลาญระหว่างปีนป่ายก็มากกว่าการเดินหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหน สุดท้ายก็จะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัวในที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึง “เครื่องจักรกลวิวัฒนาการ” เหล่านี้ที่ผ่านการปรับโครงสร้างของเชื้อไวรัสมาแล้วเลย

ดังนั้นไม่ว่าสิ่งมีชีวิตที่ทิ้งรอยฟันนี้ไว้จะเป็นอะไรก็ตาม แต่ที่แน่ๆ โครงสร้างร่างกายของพวกมันไม่เหมือนกับซอมบี้ธรรมดาแน่ๆ แต่จากเงาหลังที่หลิงม่อเห็นแวบๆ เมื่อกี้ อย่างน้อยพวกมันก็ยังถือได้ว่าเป็น “สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์”

“ดังนั้นสิ่งที่เรากำลังจะเผชิญต่อจากนี้ อาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาจโผล่ออกมาจากทางเข้าออกอื่นได้ทุกเมื่อ และพวกมันก็ยังมีพลังกัดฉีกอันแข็งแกร่ง ที่สำคัญพวกมันชำนาญเส้นทางในนี้มากกว่าพวกเรา…ถ้าหากรอบคอบมากกว่านี้อีกนิด ก็จะสามารถเพิ่มเข้าไปได้อีกข้อ” หลิงม่อพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นั่นก็คือพวกมันเก่งเรื่องการแอบมองและแฝงตัว”

ก่อนจะเริ่มปีนต่อไป หลิงม่อได้เล่าเรื่องที่ตัวเองเพิ่งเจอเมื่อกี้ให้หลี่ย่าหลินฟัง เทียบกับหุ่นซอมบี้ตัวนี้ของเขา หลี่ย่าหลินมีข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดกว่า ดังนั้นกำลังหลักในภารกิจครั้งนี้ จึงต้องยกให้เป็นหน้าที่ของเธออย่างเลี่ยงไม่ได้

พอได้ยินว่าพวกตัวเองถูกสิ่งมีชีวิตประเภทนั้นจับตามองเข้าแล้ว หลี่ย่าหลินก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที

ดวงตาของเธอเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับพูดอย่างผิดหวังในไม่กี่วินาทีต่อมา “ไม่ได้เรื่องเลย อุณหภูมิที่เหลือทิ้งไว้ต่ำเกินไป…เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย พลังงานที่พวกมันใช้เผาผลาญระหว่างปีนป่ายน่าจะต่ำมากๆ น่าจะไม่ต่างจากเวลาเราเดินกันธรรมดามากนัก! ถ้าหากพวกมันหยุดเคลื่อนไหว ไม่แน่ว่าอาจเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าตอนที่พวกฉันอยู่ในสภาวะจำศีลด้วยซ้ำ ไม่น่าล่ะพวกมันถึงได้อาศัยเจ้าพวกตัวเล็กที่อยู่ข้างนอกนั่นเพื่ออยู่รอดได้…”

“แต่ตอนนี้พวกเราสามารถไล่ตามกลิ่นที่ซย่าน่าทิ้งไว้ไปได้นะ พวกเราไปกันเถอะ” หลี่ย่าหลินกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอพูดพลางเร่งเร้า

“อืม” หลิงม่อที่ปีนตามหลังจ้องสะโพกที่ส่ายไปมาอยู่ตรงหน้า พลางอดคิดในใจไม่ได้ว่า “ทำไมรู้สึกเหมือนเธอเป็นงูพิษที่เลื้อยเข้ามาในรังหนูเลยล่ะ…”

…………

ขณะที่ทั้งสองปีนไปเรื่อยๆ ร่างจริงของหลิงม่อก็พาเสี่ยวป๋ายกับถังฮ่าวมาแถวๆ อาคารสองชั้นขนาดเล็กแห่งนั้น

เขาเพิ่งจะเดินนำออกมาจากทางเลี้ยวหนึ่งของซอย ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งยื่นมาจากด้านข้าง แล้วคว้าตัวเขาอย่างรวดเร็ว

“ใครน่ะ!”

หลิงม่อที่ดูเหมือนไม่ได้เตรียมตัวกลับโน้มตัวไปข้างหลังในพริบตา จากนั้นก็แผ่หนวดสัมผัสออกไปอย่างรวดเร็ว

“กรี๊ดด!”

เสียงกรีดร้องแหลมๆ ดังขึ้นข้างหู หลิงม่อรีบหันไปมอง แล้วไม่นานหนวดสัมผัสเส้นนั้นก็สลายตัวหายไปกลางอากาศ

“อย่าทำคนอื่นตกใจสิ” หลิงม่อบอก

สวี่ซูหานที่สวมหน้ากากปิดหน้าไว้ยืนแนบหลังชิดกำแพงอย่างขวัญหนีดีฝ่อ มือทั้งสองข้างยังคงกอดหน้าอกตัวเองไว้แน่นไม่คลาย ได้ยินเขาว่าอย่างนั้นก็ชะงักไป แล้วไม่นานก็พูดอย่างโมโห “อย่ามากล่าวหาคนอื่นก่อนสิ! นายต่างหากที่เกือบทำร้ายฉันน่ะ!”

“มันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติต่างหากล่ะ…” หลิงม่อว่า แล้วยกมือชี้ไปที่หน้าอกเธอ พลางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เธอทำท่าอย่างนี้…จะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่ายๆ นะ…”

สวี่ซูหานก้มหน้ามองตัวเองอย่างงุนงงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็สังเกตเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของหลิงม่อ รวมถึงสีหน้าตะลึงพรึงเพริดของชายอีกคน…เธอจึงร้องตกใจ แล้วรีบยืนให้เรียบร้อยทันที

“อีกอย่างเธอแต่งตัวอย่างนี้ ไม่ว่ามองยังไงคนที่ถูกกระทำชำเราก็น่าจะเป็นฉันสิ…” หลิงม่อพูดเสริมอีกครั้ง

เสื้อกันลม หน้ากาก หูฟัง…อุปกรณ์พวกนี้แทบจะครบชุดอยู่แล้ว…

หลังจากที่สวี่ซูหานนิ่งเงียบไปสองวินาที… “ไปตายซะเถอะ!”

“หึหึ…แล้วนี่เธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง?” หลิงม่อเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังอย่างรวดเร็ว พลางถามเธอ

สวี่ซูหานแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แล้วบอกว่า “รู้ทั้งรู้ก็ยังถาม ทันทีที่เห็นฉัน นายก็รู้ว่าเรื่องราวยังไม่ได้แย่ขนาดนั้น ไม่ใช่หรือไง? อย่างน้อยเมื่อก่อนฉันก็เคยเป็น…”

พูดไปได้ครึ่งเดียว อยู่ๆ สวี่ซูหานก็ปิดปากไป ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอจึงถามขึ้นอย่างเฉไฉว่า “คนนั้นใคร?”

“ฉันคือ…” ถังฮ่าวตื่นเต้น

ไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยที่จะได้เจอคนปกติซักคนหนึ่ง!

ถึงแม้การแต่งตัวจะเหมือนโรคจิต แต่พฤติกรรมกลับเหมือนกระต่ายน้อย!

ถ้าหากได้คุยกับเธอสองสามประโยค ไม่แน่ว่า…

“เชลย ไม่ต้องไปสนใจ” หลิงม่อพูดเสียงเรียบ

ไปตายซะ! ในทีมนี้ทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งแกคนเดียวหรือไง! ถังฮ่าวสติแตกทันที

“ตามใจ ยังไงนายก็เป็นหัวหน้าทีมอยู่แล้วนี่” สวี่ซูหานบอก

ถังฮ่าวอึ้งสนิท “ไอ้ฉิบหาย…”

—————————————————————————–