บทที่ 940 มีสติปัญญาอยู่บ้าง

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

ที่สวี่ซูหานมาอยู่ที่นี่ เป็นเพราะอวี๋ซือหราน…แต่หลังจากที่หลิงม่อใช้พลังสัมผัสรู้ดู กลับพบว่าซอมบี้โลลิตัวนั้นไม่ได้อยู่แถวๆ นี้ ขณะเดียวกัน สวี่ซูหานได้ก้าวออกมาสองก้าว และกระซิบรายงานสถานการณ์ให้หลิงม่อฟัง

“ตอนนั้นอยู่ๆ นายก็วิ่งออกไป ทุกคนในทีมต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเย่ไคเสนอให้ออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก แต่มู่เฉินกลับคิดว่าไม่ควรเคลื่อนไหวส่งเดช โดยเฉพาะหลังจากที่นายตัดสินใจทำอย่างนั้น พวกฉันควรระมัดระวังมากกว่าเดิมถึงจะถูก ไม่แน่ว่า นายอาจเจอเรื่องที่เร่งด่วนกว่าก็ได้…”

พูดถึงตรงนี้ สวี่ซูหานช้อนตามองหลิงม่อผ่านหน้ากากปิดหน้า อยู่ใกล้กันขนาดนี้ เธอกระทั่งได้ยินเสียงหัวใจหลิงม่อเต้นอย่างชัดเจน…แต่หลิงม่อกลับยังคงทำสีหน้าจริงจัง สวี่ซูหานจึงได้แต่ถอนหายใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกปวดใจและผิดหวังอยู่รางๆ…

ทว่าแม้แต่เธอก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคาดหวังอะไรอยู่ เธออยากได้ยินหลิงม่อเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เจอ หรือว่าอยากเห็นสีหน้าอย่างอื่นจากเขาบ้างกันแน่…

“พวกเขาถกเถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจทำตามที่มู่เฉินบอก จากนั้นไม่นาน อยู่ๆ ฉันก็ได้กลิ่นพวกเดียวกันที่คุ้นเคยขึ้นมา…” สวี่ซูหานพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เธอข้ามบทสนทนาระหว่างอวี๋ซือหรานไป จากนั้นก็เล่าต่อว่า “น้องซือหรานบอกว่า ให้ฉันออกมาระวังภัยข้างนอกกับเธอหน่อย ฉันก็เลยหาข้ออ้าง แล้วลงมาจากชั้นสอง”

สำหรับสวี่ซูหานที่ขี้ขลาดเหมือนหนูตัวน้อย อย่าว่าแต่พวกเดียวกันเลย ถึงแม้จะมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ก็ยังทำให้เธอตกใจกลัวอยู่ไม่น้อย…ลองนึกภาพที่เธอเจอกับอวี๋ซือหรานในตอนนั้น สีหน้าเธอคงไม่ได้ดีไปกว่าเมื่อกี้เท่าไหร่นัก…

แต่ในเมื่อเธอเรียกอวี๋ซือหรานว่าน้องสาวแล้ว ก็แสดงว่าเรื่องไม่ได้แย่อย่างที่คิด ไม่จำเป็นต้องซักไซ้ไล่เรียงให้มากเรื่องก็ได้

ยังไงก็เป็นประวัติดำมืดนี่นะ…

“รบกวนเธอแล้ว” อยู่ๆ หลิงม่อก็พูดขึ้น

สวี่ซูหานหลบตาอย่างทำตัวไม่ถูก บอกว่า “จากนั้นพวกเราก็สำรวจบริเวณนี้รอบหนึ่ง ปรากฏว่าเธอเจอคนแปลกหน้าคนหนึ่งเข้าจริงๆ น้องซือหรานบอกว่าอีกฝ่ายมีพลังแข็งแกร่งมาก กลัวว่าถ้าฉันตามไปจะถูกจับได้เปล่าๆ จึงสะกดรอยตามไปคนเดียว…”

“เหลวไหลใหญ่แล้ว” หลิงม่อขมวดคิ้ว น้ำเสียงแสดงออกถึงความเอือมระอา

“ขอโทษนะ ตอนแรกที่ฉันตามลงมาก็เพื่อตั้งใจมาช่วย เธอยังเด็กขนาดนั้น ถึงแม้จะเป็นซอมบี้ ก็…” สวี่ซูหานกลับเข้าใจความหมายของหลิงม่อผิดไปอย่างเห็นได้ชัด เธอก้มหน้าพูดอย่างรู้สึกผิด

หลิงม่อพูดขำๆ ว่า “พูดอะไรของเธอ ที่นี่ควรมีคนเฝ้าซักคนอยู่แล้ว ฉันหมายถึงยัยโง่นั่นต่างหาก เธอเผาผลาญพลังงานไปเยอะมาก ถ้าหากไปสู้กับใครอีก ไม่นานก็จะหิวจนทนไม่ได้น่ะสิ ไม่แน่ว่าอาจจะ…” อยู่ๆ เขาก็เงียบ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “โชคดีที่ตอนนี้เธอยังอยู่ในระหว่างสะกดรอยตาม”

“นายสัมผัสได้ถึงอะไรอย่างนั้นหรอ?” สวี่ซูหานนึกว่าเขาใช้พลังจิตสำรวจ จึงรีบถามทันที

“จะใช้พลังสัมผัสรู้มันก็ได้อยู่ แต่เสี่ยงต่อการแหวกหญ้าให้งูตื่นเกินไป กลับกันจะทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายแทน วางใจเถอะ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันจะหาทางรับมือเอง อีกอย่าง ถึงแม้ยัยโลลิตัวนั้นจะโง่ไปหน่อย แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีสติปัญญาอยู่บ้าง พวกที่เหลือไม่ว่าจะแกร่งอีกซักแค่ไหน ก็คงไม่ได้แกร่งไปกว่าหมอนี่หรอก” หลิงม่อส่ายหัว แล้วชี้ไปที่ถังฮ่าว “นอกจากหิว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอื่นอีก”

“ปล่อยฉันลงสิ ฉันจะกัดแกให้ตายเลยคอยดู!” ถังฮ่าวดิ้นขัดขืนโดยไม่พูดอะไรสองสามที พลางคิดอย่างเดือดดาลในใจ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ยินสิ่งที่สวี่ซูหานพูด แต่สิ่งที่หลิงม่อพูด เขากลับได้ยินบ้างเป็นบางคำ ข้อมูลที่มีประโยชน์น่ะไม่ได้ยินหรอก แต่ก็พอรู้แล้วว่าพวกของตัวเองถูกจับได้เสียแล้ว และไอ้หลิงม่อน่าตายคนนี้ก็ดันเอาเขาไปเปรียบเทียบฝีมือกับลูกน้องเขา…

ทว่าตอนนี้ถังฮ่าวก็ทำได้เพียงขัดขืนอยู่ในใจเงียบๆ จากสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ อย่าว่าแต่หลิงม่อเลย แค่เสี่ยวป๋ายโยนร่างเขาทิ้งลงพื้น เขาก็อาจตายได้ทันที…

ดีที่หลิงม่อไม่ได้สนใจเขาอยู่แล้ว เขาจึงรีบหันไปมองทางอาคารสองชั้นเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

หากมองเข้าไปจากมุมนี้ ความจริงจะมองเห็นแค่หลังคาครึ่งหนึ่งกับหน้าต่างหนึ่งบานเท่านั้น แต่สำหรับซอมบี้ แค่นี้ก็มากพอให้ “สอดแนม” แล้ว และจากความเร็วของสวี่ซูหาน หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เธอก็สามารถวิ่งกลับไปที่นั่นได้ในเวลาไม่ถึงสามวินาที

“สถานการณ์ที่นี่ล่ะ?” หลิงม่อถาม

สวี่ซูหานกำนิ้ว แล้วพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ฉันมารอนายตรงนี้เพราะเรื่องนี้แหละ” เธอเงยหน้าขึ้น แล้วมองหน้าหลิงม่อ บอกว่า “ฉันรู้สึกว่าแถวๆ นี้มีบางอย่างผิดปกติ”

ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอผิดคาดคือ พอได้ยินข่าวนี้ หลิงม่อกลับดูเหมือนไม่ได้แปลกใจนัก

เขาพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองถังฮ่าว ขณะเดียวกันเสี่ยวป๋ายก็คาบคอเสื้อเขาแล้วยื่นไปข้างหน้าอย่างรู้หน้าที่ มันสะบัดหัวไปมาแล้วพ่นลมหายใจออกทางจมูกหนึ่งที

การกระทำของมันเมื่อกี้ ทำให้สวี่ซูหานสะดุ้งตกใจเหมือนโดนเหยียบหางเข้าอีกครั้ง เธอกระโดดดัง “สวบ” ถอยห่างออกไปห้าเมตร…

“หลิงม่อเลี้ยงตัวอะไรไว้กันแน่…” หลังหน้ากาก สวี่ซูหานคิดพร้อมน้ำตาที่รื้นขึ้นมา

“ดูเหมือนว่าพวกของแกบางคนจะเริ่มเคลื่อนไหวกันแล้วนะ” หลิงม่อพูดกับถังฮ่าวด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

ถังฮ่าวใจเต้นตึกตัก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันใด

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ พูดติดๆ ขัดๆ ว่า” เรื่องที่ควรพูดและไม่ควรพูด ฉันก็บอกแกไปหมดแล้ว…”

“เสี่ยวป๋าย จับเขาไว้ให้แน่น” หลิงม่อตัดบทเขาอย่างเย็นชา

“แบ๊!”

พอได้ยินเสียงตื่นเต้นของเสี่ยวป๋าย ถังฮ่าวก็หมดแรงตัวอ่อนไปทันใด

สวี่ซูหานที่ยืนหลบอยู่อีกด้านตกใจ แค่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ก็รู้แล้วว่าเขากำลังจะไปทำเรื่องที่อันตรายมาก…ถังฮ่าวดูเหมือนไม่อยากไปอย่างเห็นได้ชัด แต่หลิงม่อไม่สามารถเชื่อคำพูดเขาง่ายๆ อย่างนี้

สรุปว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม เชลยที่ชื่อถังฮ่าวคนนั้นก็โชคไม่ดีซะแล้ว…

“ผู้ประกาศข่าวสวี่ เธอมากับฉันเถอะ” หลิงม่อหันมาบอก

สวี่ซูหานชะงัก แล้วพูดอย่างลังเล “ฉันไม่ต้องเฝ้าที่นี่แล้วหรอ?”

“ไม่เป็นไร ถ้าหากหมอนี่ไม่ได้โกหก ก็แสดงว่าพวกเรายังมีเวลาเหลืออีกประมาณสองนาที”

พูดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็เหลือบมองถังฮ่าวอีกครั้ง ถังฮ่าวพลันตัวสั่นงันงก รีบพูดขึ้นว่า “ฉันพูดเรื่องจริงทั้งนั้น!”

“จริงหรือไม่จริง อีกเดี๋ยวก็ได้รู้กัน นำทางไป” หลิงม่อบอก

เสี่ยวป๋ายคาบถังฮ่าวเดินนำออกไปช้าๆ ถังฮ่าวกลับมองอาคารสองชั้นหลังนั้นอย่างเจ็บใจ สุดท้ายก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ

“อีกแค่ก้าวเดียวแท้ๆ…แต่ว่า…”

ในเสี้ยววินาทีที่เขาหันหลังให้หลิงม่อ ในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง พลันฉายแววโหดเหี้ยมขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโอกาสของเราก็ได้…”

—————————————————————————–