“พี่ใหญ่ พาข้าไปเจอราชาเทพอัคคีที่แท้จริงจะได้หรือไม่” ชวีคังรู้สึกสนใจในตัวของราชาเทพอัคคีที่แท้จริง
“เรื่องนี้ ข้าคิดว่าเจ้ารอให้อาการของเจ้าหายดีก่อน แล้วค่อยว่ากันดีกว่า” เมื่อนึกถึงการแสดงความรักของสองสามีภรรยาคู่นั้น จะเป็นการตอกย้ำความรู้สึกของน้องชายของเขา ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
“ทำไมงั้นหรือ ราชาเทพอัคคีที่แท้จริงไม่พบคนนอกหรือ” ชวีคังแปลกใจ หากพูดเช่นนี้ พี่ชายของเขาก็ถือเป็นคนนอก หรือว่าเขามีอะไรที่น่าอายจนไม่อาจพบหน้าใคร
“เอาเถอะ ราชาเทพอัคคีที่แท้จริงกับราชาเทพเหมันต์บริสุทธิ์เป็นคู่รักกัน สองคนนั้นรักกันมาก ข้ากลัวว่าเจ้าเห็นแล้วจะทำใจไม่ได้” ชวีจิ้งถอนหายใจแล้วกล่าว
“ท่านพี่ ไม่เป็นไรหรอก เพราะข้าไม่มีวาสนาเอง ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่รู้สึกอะไร” ชวีคังส่ายหัว เข้าใจความคิดพี่ชายทันที
“ก็ได้ ไปขอบคุณราชาเทพอัคคีที่แท้จริงกัน อย่างน้อยเจ้าจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์สักที” ชวีจิ้งกล่าว น้องชายของเขาเสียอะไรไปมากเพื่อผู้หญิงคนนี้ คุณสมบัติร่างกายของน้องชายเขาอยู่เหนือเขา แต่พลังบำเพ็ญเพียรกลับยังสู้เขาไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีตัวถ่วงแบบผู้หญิงคนนั้น คาดว่าพลังบำเพ็ญเพียรของอาคังน่าจะเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนกำลังพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการบำเพ็ญเพียร แล้วตั้งใจไว้ว่าเมื่อปรุงยาให้กับน้องชายของชวีจิ้งที่ได้รับบาดเจ็บเสร็จ ก็จะเข้าฌาน
“ราชาเทพอัคคีที่แท้จริง ราชาเทพเหมันต์บริสุทธิ์ นี่คือน้องชายของข้า ชวีคัง ตอนนี้เขาได้สติแล้ว ขอบคุณยาของท่านมาก” ชวีจิ้งพูดอย่างนอบน้อม
“ไม่ใช่ปัญหาอะไร ชื่อของพวกเจ้าดีมากทีเดียว” หลิวหลีเผลอพูดเรื่องชื่อออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ชื่อน่ะหรือ ข้าพอจะจำได้ว่าลางๆว่า ท่านพ่อท่านแม่หวังให้เรามีชีวิตที่สงบสุข มีร่างกายที่แข็งแรง จึงตั้งชื่อให้ข้าว่า จิ้ง มีความหมายว่าสงบสุข น้องชายชื่อว่าคัง ที่หมายความว่าแข็งแรง” ชวีจิ้งกล่าวอธิบาย นึกไปถึงเมื่อก่อน ก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้
ดังนั้นนางคงคิดมากไปเอง เฮ้อ ตอนนี้นางพบว่า ความทรงจำของนางในอดีตเริ่มจะเลือนลางแล้ว เมื่อนึกถึงก็จะจำได้ แต่ก็ลืมไปอีก ทำให้นางไม่รู้จะทำอย่างไร
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าจะดูอาการให้กับน้องชายของเจ้าให้ อีกอย่าง ไม่ต้องเรียกข้าว่าราชาเทพอัคคีที่แท้จริงแล้ว ดูห่างเหินเกินไป ข้ามีนามว่าหลงหลิวหลี นี่คือสามีของข้าหนานกงเวิ่นเทียน” หลิวหลีไม่ชอบให้คนอื่นเรียกฉายาของตัวเอง ดูห่างเหินเกินไป แถมยังแปลกๆด้วย
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าขอเรียกหลิวหลีกับเวิ่นเทียนแล้วกัน” ชวีจิ้งก็พูดตามน้ำ ขานชื่อออกมาอย่างรู้งาน
เมื่อจับเส้นชีพจรของชวีคัง หลิวหลีรู้สึกสนใจขึ้นมา คนผู้นี้น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะปรุงยาให้กับชวีคัง เมื่อกินยาแล้วกลับไปพักผ่อนให้มากๆก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ชวีจิ้ง ข้าขอจับเส้นชีพจรของเจ้าดูได้หรือไม่” หลิวหลีชักมือกลับแล้วพูดขึ้น
“ได้” ชวีจิ้งรู้สึกแปลกใจ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ ทำไมต้องจับชีพจรของเขาด้วย
“ท่านทั้งสอง ฟังข้าพูดอะไรหน่อย ตอนนี้พวกท่านทั้งสองคนได้หลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว อนาคตที่สดใสรอคอยอยู่ หากพันธนาการนั้นมาอ้อนวอนให้สงสาร อย่าสนใจเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นอย่าได้ใจอ่อน ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับว่าพวกท่านทำลายอนาคตตัวเอง ข้าพูดได้แค่นี้ ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ตัวท่านเอง” หลิวหลีกล่าว
“ขอบคุณมาก” สองพี่น้องใบหน้ามึนงง ฟังไม่เข้าใจ
แต่พวกเขากลับตกตะลึงกับความงดงามในฝีมือการปรุงยาของหลิวหลี พระเจ้า นี่คือเทพนักปรุงยาหรือ ทำไมถึงปรุงยาด้วยท่าทางที่งดงามถึงเพียงนี้ อีกทั้งฝีมือในการควบคุมเพลิงเทพของมือคู่นั้น ช่างงามหาที่เปรียบไม่ได้เลยจริงๆ
“งดงามมาก” สองพี่น้องถูกฝีมือการปรุงยาของหลิวหลีสะกดสายตา ท่าทางการปรุงยาที่งดงามเช่นนี้ต้องเป็นยอดฝีมือแน่ อยู่ๆพวกเขาก็รู้สึกว่าได้กำไร
ทั้งสองคนขอบคุณหลิวหลีและสามีของนางแล้วกลับไป กลับไปก็พบว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งรอพวกเขาอยู่ที่กระท่อมของพวกเขาอย่างใจร้อน
“เอาไป นี่คือของที่ฮูหยินหยวนโหรวมอบให้แก่เจ้า หลังจากนี้ไม่ต้องมายุ่งกันอีก” หญิงสาวโยนยาเทพศักดิ์สิทธิ์ให้คนทั้งสองด้วยความรำคาญ เสียงกระทบของขวดแก้วดังขี้นตรงบริเวณปลายเท้าของพวกเขา ความยินดีที่เกิดขึ้นหลังจากพบหลิวหลีหายไปจนหมดสิ้น
“ช้าก่อน เอาของของเจ้าออกไปจากบ้านข้า พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันอีก เอาของของนางออกไป” ชวีคังไม่แม้แต่จะชายตามอง เขาสาวเท้าเข้าบ้านแล้วปิดประตูทันที ทิ้งให้หญิงสาวยืนกระทืบเท้าอยู่ด้านนอก กับขวดที่กลิ้งบนพื้นอย่างเดียวดาย หญิงสาวกัดฟันกรอด เก็บขวดขึ้นมาแล้วกลับไป
“เขาไม่ได้รับมันไว้ ไม่คิดจะเหลือเยื่อใยให้กันแม้แต่น้อย ช่างมัน วางขวดไว้ เจ้าไปเถอะ” หยวนโหรวกล่าว
หญิงสาววางขวดลง ดวงตาฉายแววเหยียดหยาม นางก็อยากจะรอดู คนผู้นี้จะได้ใจไปได้นานสักเท่าไร นักปรุงยาเจียงหวายเป็นหมาป่าที่ชอบเห่อของใหม่ลืมของเก่า รอนางจมดินก่อน นางจะต้องไปเหยียบซ้ำอย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่ ข้าควรยินดีที่ข้าปล่อยวางได้แล้ว” ท่าทางโยนขวดของที่หญิงสาวเมื่อครู่ ทำให้เยื่อใยสุดท้ายที่เขามีขาดสะบั้นลง ตอนนี้ลองคิดดู เขาก็รู้สึกขบขัน ตอนนั้นทำไมตัวเองถึงได้ตาบอดไปหลงรักคนที่ไร้ซึ่งหัวใจแบบนั้นได้
“ปล่อยวางได้ก็ดีแล้ว ข้ากำลังนึกถึงคำพูดของหลิวหลี” ชวีจิ้งกล่าว
“พี่ใหญ่คิดว่าเชื่อถือได้หรือ?” ชวีคังสับสน ทำไมพี่ใหญ่ถึงได้ประทับใจสองสามีภรรยาที่เพิ่งเคยเจอหน้าแค่เพียงครั้งเดียวคู่นี้ พี่ชายของเขาไม่ใช่คนที่จะชื่นชอบใครได้ง่ายๆ
“อืม น่าเชื่อถือ นางบอกว่าในที่สุดพวกเราก็สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการได้ พันธนาการนี้หมายถึงหยวนโหรวคนนั้นหรือเปล่า อีกอย่างที่บอกว่าหากพันธนาการกลับมาทำตัวน่าสงสาร ก็อย่าใจอ่อนเด็ดขาด นั่นหมายความว่าจุดจบของหยวนโหรวต้องไม่ดีแน่ อาจจะน่าสงสารเลยด้วยซ้ำ ถึงได้กลับมาคิดถึงคนอย่างเจ้า” ชวีจิ้งกล่าว
“พี่ใหญ่พูดเช่นนี้ มาคิดดูโดยละเอียดแล้ว หลิวหลีบอกว่าพวกเรามีอนาคตที่สดใส เพียงแต่ถูกพันธนาการรั้งไว้ ดูไปแล้วตอนนี้ เป็นข้าเองที่ทำผิดต่อท่านพี่” ชวีคังรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ตอนนั้นเขาเกือบจะทะเลาะกับพี่ใหญ่เพราะผู้หญิงคนนี้ ยังดีที่พี่ใหญ่เห็นแก่ความเป็นพี่น้อง ช่วยเหลือเขามาโดยตลอด ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว นอกจากพี่ใหญ่แล้วต้องระวังคนอื่นๆไว้บ้าง
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้หรอก ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่หลิวหลีพูดมีเหตุผล พวกเรามาพยายามกันเถอะ ข้ารู้สึกว่าหากพวกเราพยายาม พลังบำเพ็ญเพียรก็จะพัฒนาขึ้นแน่” ชวีจิ้งพูดด้วยความแน่วแน่
“น้องพี่ เมื่อครู่เจ้ามีท่าทางที่แปลกประหลาด สองคนนั้นมีอะไรน่าสนใจใช่หรือไม่” หนานกงเวิ่นเทียนปิดประตูแล้วถามขึ้น ภรรยาของเขาจะมีอาการเช่นนี้ก็ต่อเมื่อเจอคนที่น่าสนใจเท่านั้น อีกอย่างเห็นได้ชัดว่าสองคนนี้ต่างก็เป็นคนที่ภรรยาของเขารู้สึกสนใจ
“ใช่แล้ว สองพี่น้องนี้น่าสนใจมาก จะว่าอย่างไรดีล่ะ น้องชายมีโอกาสที่จะแย่งชิงตำแหน่งเทพที่แท้จริง แต่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากพี่ชาย โชคชะตาของพี่น้องทั้งสองคน เป็นชะตาที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน น่าสนใจจริงๆ” หลิวหลีกล่าว
“เพราะฉะนั้นเจ้าก็เลยอยากจะช่วยพวกเขาหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนเข้าใจทันที
“อือ แต่ว่าสองคนนี้จะเดินไปได้ไกลแค่ไหน ก็อยู่ที่ตัวของพวกเขาเองแล้ว อนาคตของพวกเขาเหมือนมีหมอกบดบัง มองไม่ออกทั้งหมด” หลิวหลีกล่าว
“ราชาเทพน่าจะมีความแตกต่างอยู่ เพราะอย่างไรก็เป็นก้าวแรกที่จะเข้าสู่ขั้นเทพที่แท้จริง อนาคตอาจจะถูกปิดบังไว้” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ใช่แล้ว ดังนั้นพวกเราควรพยายามเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรของตัวเอง อีกอย่างข้าพบว่าผู้บำเพ็ญหลายคนที่นี่มีพลังบำเพ็ญเพียรต่ำกว่าขอบเขตราชาเทพ และส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญหญิง” หลิวหลีพบปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดนี้
“อืม ถ้าเช่นนั้นพวกเราน่าจะสามารถพาคนเข้ามาได้ แต่ไม่รู้ว่าพาเข้ามาได้กี่คน” หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้สนใจเรื่องผู้บำเพ็ญหญิง ตัดสินใจว่าจะพาเพื่อนมาอยู่ด้วย
“ไม่แน่ใจนัก แต่ข้ารู้สึกว่าพวกอาเลี่ยไม่ต้องการพวกเรา สำหรับพวกเขาแล้วขึ้นอยู่กับช่วงเวลาจะช้าหรือเร็วเท่านั้น” หลิวหลีส่ายหัวแล้วพูดขึ้น