การฝึกกระบี่ของจิ๋งจิ่วในชีวิตใหม่นี้ เรียกได้ว่าไหลลื่นไปตามสถานการณ์ ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นกรงต่ออุปสรรคใดๆ
หลังบรรลุสภาวะรักษาจิตที่ค่อนข้างยากลำบากและอาศัยแค่เพียงเวลาไปแล้ว หากเขายังคงทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ ต่อให้เป็นเจ้าล่าเยวี่ย ก็ไม่แน่ว่าจะบรรลุสภาวะขั้นคเนจรได้เร็วกว่าเขา
แต่ในตอนที่สภาวะขั้นสมความนึกคิดสมบูรณ์ และเตรียมจะบรรลุเข้าสู่ขั้นมิประจักษ์ เขาก็ได้รับรู้ถึงปัญหานี้ล่วงหน้าแล้ว
ดังนั้นเขาจึงลังเลอยู่นานว่าจะบรรลุเข้าสู่ขั้นมิประจักษ์เมื่อไรดี ท่องอยู่ในโลกด้านนอกกับเจ้าล่าเยวี่ยสามปีก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้
จนกระทั่งในงานชุมนุมทดสอบกระบี่ของชิงซาน เส้นลมปราณของหลิ่วสือซุ่ยถูกตัดขาด จากนั้นถูกขับออกจากสำนัก ในที่สุดเขาจึงทำการตัดสินใจออกมา แล้วก็เป็นการยืนยันว่าการคาดเดาของตนก่อนหน้านี้นั้นถูกต้อง
จริงอยู่ที่เขาบรรลุเข้าสู่สภาวะขั้นมิประจักษ์ได้อย่างราบรื่น แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เขาไม่สามารถเอากระบี่เก็บเข้าไปในร่างกายได้ เขาทำได้เพียงเอามันห่อผ้าแล้วสะพายเอาไว้ด้านหลัง
ภายในการประลองวิถีพิณของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ผู้บำเพ็ญพรตหลายคนเห็นภาพเขาสะพายกระบี่เอาไว้ด้านหลัง ทุกคนต่างรู้สึกตกใจ ถงหลูเคยเยาะเย้ยเขา ไหนเลยจะรู้ว่าเขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้
จิ๋งจิ่วย่อมเข้าใจเหตุผล เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหากจะบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจร ปัญหานี้มันจะกลายเป็นปัญหาที่ยุ่งยากขึ้นมาจริงๆ
จากมิประจักษ์เข้าสู่คเนจรจำเป็นต้องใช้ปราณกระบี่ในปริมาณที่มหาศาลมากกว่าเดิม ใจแห่งเต๋าที่สงบนิ่งยิ่งกว่าเดิม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผู้บำเพ็ญพรตจำเป็นต้องเอาดวงจิตไปแนบติดไว้บนโอสถกระบี่ และหล่อเลี้ยงมันพร้อมกับกระบี่บิน จนกระทั่งความคิดเชื่อมโยงถึงกัน ค่อยๆ ก่อกำเนิดเป็นวิญญาณขึ้นมา —- นี่คือก็ผีกระบี่ที่เล่าลือกัน
ความหมายของสภาวะขั้นคเนจรในปัจจุบันคือการที่สามารถควบคุมกระบี่ออกไปได้ไกลร้อยลี้ ผู้บำเพ็ญพรตสามารถขี่กระบี่ท่องไปทั่วทุกทิศได้อย่างง่ายดาย แต่ความจริงในตอนแรกสุด สภาวะขั้นคเนจรนั้นหมายถึงการที่ผีกระบี่ของผู้บำเพ็ญพรตสามารถออกมาจากร่างกายได้ แล้วสามารถท่องไปมาได้อย่างอิสระโดยใช้เจตน์กระบี่ควบคุม
ในสำนักบางสำนัก ผีกระบี่จะถูกเรียกว่าปีศาจกระบี่ วิญญาณกระบี่ มันสามารถบรรจุดวงจิตของผู้บำเพ็ญพรตเอาไว้ได้ เรียกได้ว่าเป็นร่างจำแลงร่างที่สอง เหมือนกับจิตทารกของสำนักเต๋า
จิตทารกของสำนักเต๋าคือสิ่งที่เป็นความลับที่สุดของผู้บำเพ็ญพรต ผีกระบี่เองก็เช่นกัน
เมื่อเทียบกับตัวผู้บำเพ็ญพรตแล้ว ผีกระบี่นั้นมีความอ่อนแออย่างมาก และได้รับความเสียหายได้ง่าย
แต่แน่นอน เมื่อสภาวะของผู้บำเพ็ญพรตสูงขึ้น ผีกระบี่ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แล้วก็ยิ่งถูกทำลายได้ยากขึ้น หากผู้บำเพ็ญพรตบรรลุถึงขั้นทะลวงสวรรค์ เจตน์กระบี่ที่ออกมาจากผีกระบี่เรียกได้ว่ารุนแรงคล้ายสิ่งที่จับต้องได้จริง แทบจะอยู่ในระดับเดียวกับร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิด!
นอกจากสภาวะของตัวผู้บำเพ็ญพรตแล้ว ความแข็งแกร่งของผีกระบี่ยังมีความสัมพันธ์อย่างมากกับคุณภาพของกระบี่บินด้วย
กระบี่บินชั้นเซียนย่อมต้องทำให้เกิดผีกระบี่ที่แข็งแกร่งได้ง่าย
ยิ่งไปกว่านั้นผีกระบี่นั้นคือดวงจิตร่วมระหว่างผู้บำเพ็ญพรตและกระบี่บิน ทันทีที่มันเกิดขึ้นมา ผู้บำเพ็ญพรตและกระบี่บินก็ยากที่จะแยกจากกันได้อีก
ดังนั้นหากผู้บำเพ็ญพรตอยากจะใช้กระบี่บินที่มีระดับชั้นสูงมาแทนที่กระบี่บินที่มีอยู่เดิม ทางที่ดีที่สุดก็คือเปลี่ยนให้เรียบร้อยก่อนที่จะบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจร
ในตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจร ถึงแม้กระบี่มิคำนึงจะมิได้อยู่ข้างกาย แต่มันก็ได้ยอมรับนางเป็นนายของมันตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทุกหนทุกแห่งภายในยอดเขาเสินม่อล้วนแต่มีเจตน์กระบี่ของมันอยู่
การที่เจ้าล่าเยวี่ยยังสามารถบำเพ็ญเพียรจนเกิดเป็นผีกระบี่ขึ้นมาได้ทั้งๆ ไม่มีกระบี่มิคำนึงอยู่ข้างกาย ก็ต้องยอมรับเลยว่าการฝึกฝนบนยอดเขากระบี่อย่างยากลำบากมาเป็นเวลาหลายปีนั้นเป็นรากฐานให้นางอย่างแท้จริง
นางเป็นร่างกระบี่ไร้ลักษณ์หลังกำเนิด หากอยากจะบำเพ็ญเพียรจนก่อเกิดเป็นผีกระบี่ขึ้นมา ย่อมต้องมีความสะดวกมากกว่าผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นๆ
แต่สถานการณ์ของจิ๋งจิ่วยุ่งวุ่นวายมากกว่านั้น
เขาไม่เคยคิดจะเปลี่ยนกระบี่
จริงอยู่ที่ระดับชั้นของกระบี่เหล็กที่อาจารย์เซียนม่อทิ้งเอาไว้ให้เล่มนี้มิได้สูงอะไรนัก แต่เขาฝึกกระบี่มาแล้วสองชีวิต จึงทราบถึงหลักการกระบี่แปรเปลี่ยนตามคนเป็นอย่างดี
เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถเอากระบี่เหล็กเก็บเข้าไปในโอสถกระบี่ได้ แล้วจะใช้ดวงจิตหล่อเลี้ยงมันได้อย่างไร? แล้วจะทำให้ผีกระบี่เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
ปัญหารู้แน่ชัดแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือหาวิธีที่จะเก็บกระบี่เหล็กเล่มนี้เข้าไปในร่างกาย
หลังครุ่นคิดมาเป็นเวลาสิบกว่าวัน เขาก็คิดวิธีได้เจ็ดสิบกว่าวิธี แต่เมื่อใช้จิตจำแนกจำลองวิธีเหล่านั้นดูแล้ว สุดท้ายกลับล้มเหลวลงทั้งหมด
ตอนที่พักอยู่ในหมู่บ้านที่ตระกูลหลิ่วอยู่ เขาใช้เวลาหนึ่งปีในการคาดการณ์เรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่กลับมีเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวที่ไม่เคยคาดการณ์มาก่อน
เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีปัญหาในการบำเพ็ญเพียร แต่สุดท้ายกลับมีปัญหาในด้านนี้ได้
ความจริงเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
เขามองดูกระบี่เหล็กตรงหน้า นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ทันใดนั้นพลันอ้าปากออก
โชคดีที่เขาได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกน่าขันยิ่งนัก ในใจครุ่นคิดตัวเองมิใช่คนธรรมดาที่แสดงกายกรรมเหล่านั้นเสียหน่อย จะกลืนกระบี่ลงไปได้ยังไง!
……
……
หลังล้มเหลวติดต่อกันหลายครั้ง จิ๋งจิ่วก็มั่นใจแล้วว่าวิถีกระบี่ที่ตนเองฝึกอยู่ในชีวิตนี้ไม่เหมือนกับวิถีของสำนักชิงซานและสำนักกระบี่ทั้งหมดในแผ่นดินเฉาเทียน
เขาจำเป็นต้องเดินในเส้นทางที่ไม่เหมือนกัน
หลังผ่านไปหลายวัน เขาก็ทำการตัดสินใจออกมา
ครั้งนี้เขาไม่พยายามเรียกกระบี่เหล็กกลับเข้าไปในร่างกายเพื่อใช้ดวงจิตหล่อเลี้ยงมันอีกแล้ว หากแต่ใช้วิชาลับถอดดวงจิตของนิกายเสวี่ยหมัวถอดเอาดวงจิตออกมาจากร่างกาย
เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นวิชาของพรรคมารเขาก็ต้องลองดู
เขายังไม่บรรลุถึงขั้นคเนจร ตามหลักแล้วดวงจิตน่าจะอ่อนแอเป็นอย่างมาก ไม่มีทางที่จะออกมาจากร่างกายได้ แต่เป็นเพราะพลังจิตและจิตจำแนกที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดวงจิตของเขาจึงลอยออกมาได้ ดูไปแล้วเหมือนกับเปลวไฟที่ลุกไหม้โดยไม่มีกระดาษเป็นเชื้อเพลิง ลอยขึ้นลงอยู่ในอากาศ
จิ๋งจิ่วมองดูเปลวไฟนั้น นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
ดวงจิตที่เป็นเหมือนเปลวไฟค่อยๆ ลอยลงไปบนกระบี่เหล็ก ส่งเสียงดังซู่ๆ ออกมา คล้ายกับหยดน้ำที่หยดลงไปในเตาถ่าน
จิ๋งจิ่วขยับความคิดอย่างไม่ลังเล
ดวงจิตลอยกลับเข้ามาในร่างกายเขาด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
เลือดสดๆ คำหนึ่งทะลักออกมาจากในปากเขา กระเซ็นไปบนกำแพงหิน
ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ดวงจิตพบเจอได้แสดงผลอยู่ในจิตสำนึกของเขาแทบจะในทันที โดยที่ความรุนแรงมิได้ลดน้อยลงเลย เผลอๆ อาจจะรุนแรงมากกว่าเดิมหลายเท่าเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่พริบตา เขาก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการแล่เนื้อเถือหนัง สีหน้าขาวซีด
แต่ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายถึงขีดสุดและเจ็บปวดถึงขีดสุดเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว สายตายังคงสงบนิ่ง
เขาหลับตาแล้วเริ่มปรับลมปราณ ก่อนจะตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าดวงจิตเพียงแค่อ่อนแรงลงไปเล็กน้อย มิได้เป็นอะไรมาก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาลืมตาขึ้น มองไปยังรอยเลือดที่กระจัดกระจายบนผนังหิน รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย
นี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาหลั่งเลือด ในงานชุมนุมทดสอบกระบี่ของชิงซานครั้งนั้น ตอนที่เขาหักกระบี่ทะเลครามของกั้วหนานซานก็เคยหลั่งเลือด
เขามิได้กำลังกังวลถึงฟางจิ่งเทียน
ในตอนนั้นที่เขาเลือกกลับมาบำเพ็ญเพียรที่ชิงซานใหม่อีกครั้ง นอกจากเพราะความสะดวกสบายแล้ว ยังเป็นเพราะความปลอดภัยด้วย
หลิ่วฉือและหยวนฉีจิงล้วนแต่อยู่ที่นี่ ไม่มีทางที่จะมองดูเขาเกิดเรื่องโดยไม่ทำอะไรแน่นอน
ปัญหาอยู่ที่ว่า ตอนนี้ดูแล้วต่อให้เป็นหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงก็แก้ไขปัญหาที่เขาเจอในการบำเพ็ญเพียรไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไร?
……
……
ในวัดกั่วเฉิงที่อยู่ไกลออกไป หลิ่วสือซุ่ยเองก็เจอปัญหาคล้ายกับจิ๋งจิ่ว
เขาไม่มีประสบการณ์ในการฝึกธรรมะ กระทั่งความรู้ของสำนักฌานของไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ในอดีตจิ๋งจิ่วเคยสอนเขาอ่านหนังสือมาหนึ่งปี หากมิเป็นเพราะภายหลังซีหวังซุนคอยสอนเขาอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง เกรงว่าตอนนี้กระทั่งคัมภีร์บทนี้เขาก็คงอ่านไม่รู้เรื่อง
แต่แน่นอนว่าต่อให้เขาอ่านเข้าใจความหมายของตัวหนังสือที่อยู่ในคัมภีร์ เขาก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน
เขาครุ่นคิดถึงคัมภีร์บทนี้ทั้งวันทั้งคืน ยิ่งคิดยิ่งร้อนใจจนผมใกล้จะร่วง
เสี่ยวเหอกังวลว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะกลายเป็นพระจริงๆ หรือเปล่า
เวลาผ่านไปเช่นนี้วันแล้ววันเล่า
ปลายฤดูหนาวมาถึง วัดสีเหลืองถูกย้อมด้วยหิมะสีขาว หลิ่วสือซุ่ยยังคงไม่มีความก้าวหน้า
ในวันหนึ่งเขาพลันรู้สึกได้ถึงปราณก่อกำเนิดภายในร่างกายเหล่านั้นเหมือนจะปั่นป่วนขึ้นมา จึงรู้ว่ามันใกล้จะกำเริบแล้ว สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด
เสี่ยวเหอลังเลอยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “ถ้ายังไง..ข้าไปแอบพาพระกลับมาสักคนไหม?”
หลิ่วสือซุ่ยตกใจจนพูดอะไรไม่ออก คล้ายเพิ่งจะกลืนกระบี่เล่มหนึ่งลงไป