เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลิ่วสือซุ่ย เสี่ยวเหอจึงรีบอธิบายว่า “อย่าเข้าใจผิด ข้าหมายความว่าจะไปเชิญพระให้มาอธิบายคัมภีร์ให้เจ้าฟัง”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ฉานจึบอกว่าต้องดูว่าข้าสามารถเข้าใจได้กี่ส่วน ดูแล้วคงจะหมายความว่าไม่ให้ข้าไปเชิญคนอื่นมาช่วยชี้แนะ”
เสี่ยวเหอลืมตาโต สีหน้าดูน่าสงสาร กล่าวว่า “พวกเราแอบทำ ใครจะรู้ได้?”
หลิ่วสือซุ่ยส่ายศีรษะ กล่าวว่า “เหล่าสมณะภายในวัดล้วนมีสภาวะแก่กล้า เรื่องนี้ไม่มีทางสำเร็จแน่นอน”
เสี่ยวเหอกล่าวอย่างจริงจัง “ที่ผ่านมาข้าแสร้งทำเป็นอ่อนแอมาโดยตลอด ความจริงแล้วข้าร้ายกาจอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นสมณะที่ร้ายกาจเหล่านั้นล้วนแต่อยู่ในตำหนักด้านหลัง อยู่ไกลจากพวกเรา”
หลิ่วสือซุ่ยยังคงไม่รับคำแนะนำของนาง แล้วก็รู้ด้วยว่านางทำอะไรตามใจจนเคยชิน จึงกล่าวเตือนเล็กน้อยแล้วมิได้สนใจอีก
ช่วงปลายฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น ในที่สุดปราณก่อกำเนิดหลายสายที่อยู่ในร่างกายของหลิ่วสือซุ่ยก็เกิดการปะทะกัน เขาเริ่มไอไม่หยุด สีหน้าค่อนข้างขาวซีด
เสี่ยวเหอเป็นกังวล มีหลายครั้งที่คิดอยากจะเข้าไปขอความช่วยเหลือภายในวัด หลิ่วสือซุ่ยลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ห้ามนางเอาไว้
อินซานมาเอาผัก ได้ยินเสียงไอดังมาจากในกระท่อม รู้สึกแปลกใจ จึงสอบถามเสี่ยวเหอสองสามประโยค
เสี่ยวเหอไม่อาจบอกตรงๆ ได้ จึงได้แต่บอกว่าหลิ่วสือซุ่ยเป็นหวัด
อินซานยิ่งรู้สึกแปลกใจ ในใจครุ่นคิดว่าผู้บำเพ็ญพรตจะป่วยได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดของชิงซานของข้าด้วย จึงบอกว่าจะเข้าไปดูเขาในกระท่อม
เขากับหลิ่วสือซุ่ยสนิทสนมกัน เสี่ยวเหอจึงไม่สะดวกจะขัดขวาง จึงแสร้งทำเป็นพูดเสียงดังสองสามประโยค ก่อนจะพาเขาเข้าไปในกระท่อม
หลิ่วสือซุ่ยนั่งพิงอยู่ตรงหัวเตียง เมื่อได้ยินเสียงเตือนจากเสี่ยวเหอ ย่อมต้องรู้ว่าควรจะพูดอย่างไร จึงบอกว่าตนเองได้กินยาเข้าไปแล้ว อีกไม่กี่วันก็น่าจะดีขึ้น
อินซานรู้สึกแปลกใจ เพียงแต่สภาวะของเขาในตอนนี้ยังไม่ฟื้นคืนมา จึงไม่สามารถมองเห็นปัญหาของหลิ่วสือซุ่ยเหมือนอย่างฉานจึได้ เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถามไปว่า “ข้าช่วยอะไรเจ้าได้ไหม?”
คำพูดประโยคนี้เรียบง่าย การพูดของเขาก็ดูเฉยชา แต่พอลอยเข้าไปในหูของหลิ่วสือซุ่ย มันกลับมีความรู้สึกจริงใจน่าเชื่อถือ
หลิ่วสือซุ่ยพลันรู้สึกว่าตนเองโชคดีเข้าแล้ว จึงกล่าวถามว่า “เจ้าอยู่ในวัดกั่วเฉิงมานานเท่าไรแล้ว?”
“หลายปีแล้ว”
อินซานคิดในใจ หากนับตั้งแต่ครั้งนั้นล่ะก็นะ
เสินหวงองค์ก่อนหลบหนีมาบวชเป็นพระอยู่ในวัดกั่วเฉิง นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อสามร้อยปีมาแล้ว
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวถาม “อย่างนั้นเจ้าเคยอ่านเคยอ่านคัมภีร์ธรรมะหรือไม่?”
อินซานยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “เยอะมาก”
หากไม่เป็นเพราะอ่านคัมภีร์ธรรมะมาจนทั่วแล้วยังไม่สามารถหลุดพ้นได้ เขาก็คงไม่เสี่ยงมายังวัดกั่วเฉิงแห่งนี้?
หลิ่วสือซุ่ยลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะหยิบเอาผ้าชิ้นนั้นออกมาจากใต้หมอนแล้วส่งให้อีกฝ่าย จากนั้นกล่าวขอคำชี้แนะว่า “พอจะช่วยข้าดูคัมภีร์บทนี้หน่อยได้ไหมว่าหมายความว่าอย่างไร?”
อินซานมองเขาเงียบๆ มองดูอยู่เป็นเวลานานจึงรับมา ในพริบตาที่สัมผัสเข้ากับผ้าชิ้นนั้น ปลายนิ้วของเขาสั่นขึ้นมาเล็กน้อยอย่างที่ยากจะสังเกตเห็นได้
คำนำของคัมภีร์บทนี้ก็คือดังที่เราได้สดับ แสดงให้เห็นว่านี่คือคัมภีร์ฌานของวัดกั่วเฉิง
อินซานมองดูคัมภีร์บทนี้ นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร ในใจเกิดความรู้สึกเสียใจเหลือประมาณ
—ตนเองเป็นคนไม่มีบุญจริงๆ ด้วย ไม่ว่าจะชีวิตที่แล้วหรือชีวิตนี้
คัมภีร์บทนี้มิใช่สิ่งที่เขากำลังตามหา แต่ด้วยความรู้อันลึกซึ้งของเขา เขาย่อมต้องมองออกถึงปัญหาของหลิ่วสือซุ่ยจากการที่ได้อ่านคัมภีร์
ที่แท้เจ้าเด็กนี่เจอปัญหาที่หนักหนาขนาดนี้เลยหรือนี่ มิน่าถึงต้องมาที่วัดกั่วเฉิง
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
สีหน้าของหลิ่วสือซุ่ยค่อนข้างตื่นเต้น แต่เมื่อฉุกคิด เขาก็รู้ว่าตัวเองถามมากไป แล้วก็คิดมากไปด้วยเช่นกัน
มาตรว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่วัดกั่วเฉิงมาเป็นเวลานาน อ่านคัมภีร์ธรรมะมามากมาย แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นเพียงคนงานที่อยู่ในห้องครัวเท่านั้น เขาจะอ่านคัมภีร์ที่ลึกซึ้งเช่นนี้เข้าใจได้อย่างไร
“ไม่ยากเท่าไร” อินซานกล่าว
ขณะที่หลิ่วสือซุ่ยเตรียมจะขอบคุณเขา แล้วจะลุกขึ้นส่งเขาออกไป ทันใดนั้นพลันได้ยินคำตอบนี้ จึงอดตกตะลึงไม่ได้
อินซานมองเขา ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวถามว่า “เจ้าอยากให้ข้าอธิบายให้เจ้าฟังใช่ไหม?”
ภายในสวนผักเงียบสงัด
วันนี้แสงแดดกำลังดี
หิมะที่เกาะอยู่บนชายหลังคาเริ่มละลาย หยดลงไปบนผักกาดขาวที่เสียแล้วที่วางอยู่ใกล้ๆ ส่งเสียงดังเปาะแปะๆ
แม้จะมีหน้าต่างขวางกั้น แต่ก็ยังได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน
หลิ่วสือซุ่ยได้สติขึ้นมา จึงกล่าวอย่างจริงจัง “โปรดชี้แนะด้วย”
อินซานเองก็ไม่เกรงใจ หยิบเก้าอี้มานั่งลง จากนั้นเริ่มอธิบายให้เขาฟัง
……
……
“จุดสำคัญของคำว่ามองใจใสกระจ่างอยู่ที่คำว่ามอง มองก็คือมุ่งไปสู่….”
“หากทุกคนเข้าใจ อริยสัจสี่ต้องว่างเปล่า ประโยคนี้มิอาจแปลตรงๆ ได้…”
“ไม่รู้ว่าคัมภีร์ที่เจ้าเรียนนี้หมายถึงอะไร แต่ประโยคที่ว่าไม่ตั้งใจเดินไปยังต้นไม้ผีทารกนั้นคือจุดสำคัญ”
เสียงของอินซานนุ่มนวล น้ำเสียงอ่อนโยน คล้ายสายลมในฤดูใบไม้ผลิก็มิปาน
เขาใช้คำพูดง่ายๆ แต่กลับอธิบายหลักการที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเชี่ยวชาญในการใช้คำพูดเปรียบเปรย คล้ายกับอาจารย์ที่มากประสบการณ์ภายในโรงเรียนของหมู่บ้าน
หลิ่วสือซุ่ยท่องคัมภีร์นี้จนขึ้นใจแล้ว ความหมายของตัวหนังสือเองก็ล้วนแต่พอเข้าใจ รู้ว่าเป็นการอธิบายเกี่ยวกับสรรพสิ่งทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เพียงแต่คัมภีร์ลึกซึ้งเกินไป มีรายละเอียดหลายๆ อย่างที่ไม่อาจมั่นใจได้ จึงไม่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงอันน่ามหัศจรรย์ของธรรมะที่แอบซ่อนอยู่ได้ ในเวลานี้เมื่อได้รับคำอธิบาย จึงเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมาทันที
ทันทีที่หลักการทุกอย่างล้วนกระจ่างแจ้ง มันก็จะเปล่งแสงสว่างที่น่าหลงใหลที่สุดออกมา หลิ่วสือซุ่ยยิ่งฟังยิ่งเคลิบเคลิ้ม จนลืมทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย
เสี่ยวเหอฟังธรรมะเหล่านี้ไม่เข้าใจ จึงใจเย็นกว่าหลิ่วสือซุ่ย นางมองดูคนงานที่อยู่อินฝูผู้นี้ คิ้วค่อยๆ เลิกขึ้น แต่กลับไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาระแวดระวังของนางหรือเปล่า อินซานวางคัมภีร์ในมือลง ก่อนกล่าวว่า “พอเท่านี้แล้วกัน”
ครั้นพูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปจากกระท่อม เดินลงไปในห้องใต้ดินแล้วขนผักกาดขาวออกมาสองหาบใหญ่ จากนั้นเดินออกไปจากสวนผัก
หลังมั่นใจว่าเขาเดินไปไกลแล้ว เสี่ยวเหอเดินกลับเข้าไปในกระท่อมอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับหลิ่วสือซุ่ย แต่กลับเห็นเขากำลังหลับตาสงบนิ่ง คล้ายมีความก้าวหน้าอะไรบางอย่าง จึงพูดอะไรไม่ออก
ในคืนนั้นหลิ่วสือซุ่ยไม่มีอาการไออีก
รุ่งเช้าวันที่สองหลังเขาตื่นขึ้นมา กระทั่งสีหน้าก็ดีขึ้นมา
อินซานมาเอาผักเหมือนปกติ จากนั้นเดินไปในกระท่อมแล้วเริ่มอธิบายคัมภีร์ท่อนที่สองให้แก่หลิ่วสือซุ่ย
ไม่รู้เป็นเพราะเตรียมตัวมาล่วงหน้าหรือเป็นเพราะคล่องแคล่วขึ้น วันนี้เขาอธิบายได้ดีขึ้นกว่าเดิม กระทั่งเสี่ยวเหอก็ฟังเข้าใจเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในสิบส่วน แต่นางก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง หลิ่วสือซุ่ยนั้นยิ่งฟังอย่างตั้งใจ เวลาที่ฟังถึงช่วงที่ยอดเยี่ยมก็มักจะเหม่อลอยคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง
คัมภีร์ท่อนหนึ่งมีแค่สี่สิบห้าสิบตัวอักษร อินซานอธิบายจบอย่างรวดเร็ว ในขณะเตรียมลุกออกไป พลันพบว่าบนโต๊ะมีถ้วยชาเพิ่มขึ้นมาใบหนึ่ง
เขายิ้มขอบคุณเสี่ยวเหอ ลุกออกไปหยิบผักที่ด้านนอกกระท่อมแล้วเดินจากไป เสี่ยวเหอยืนส่งเขาอยู่ที่หน้าประตู
……
……
วันที่สาม อินซานมาอธิบายคัมภีร์ต่อ
วันนี้บนโต๊ะมีชาเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ในตอนที่เขาอธิบายจบแล้วเตรียมจากไป เขาพบว่ากระทั่งผักดองเสี่ยวเหอก็หยิบเตรียมออกมาล่วงหน้าแล้ว
……
……
หลังจากนั้นทุกวันอินซานก็จะมาเอาผักพร้อมกับอธิบายคัมภีร์ อธิบายได้ท่อนหนึ่งก็จากไป กระทั่งผ่านไปสิบกว่าวัน
วันนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขามาสายกว่าปกติมาก
ท้องฟ้ามืดสนิท หลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอไม่ต้องอาศัยแสงไฟในการมอง แต่พวกเขาต้องแสร้งทำเป็นคนธรรมดา สุดท้ายจึงจุดไฟขึ้นมาดวงหนึ่ง
แสงไฟสีเหลืองส่องสว่างไปทั่วทั้งกระท่อม ช่วยแต่งแต้มความอบอุ่นลงในฤดูหนาวอันหนาวเย็นได้หลายส่วน
คัมภีร์บทนั้นอธิบายจบแล้ว
สุดท้ายอินซานกล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยว่า “หลังเข้าใจแล้ว ก็ให้ลืมคัมภีร์ไปซะ นั่นคือความหมายที่แท้จริงในคัมภีร์”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลิ่วสือซุ่ยพลันรู้สึกว่าในหัวสมองมีเสียงวิ้งดังขึ้นมา มีแสงสว่างส่องลงมาจากบนท้องฟ้า เผยให้เห็นโลกใบใหม่ที่เขาไม่เคยเห็น
เขาหลับตาแล้วเริ่มทำสมาธิ
ไส้ตะเกียงน้ำมันที่ลุกไหม้พลันขมวดเป็นปมดูคล้ายดอกไม้ขึ้นมา งดงามยิ่งนัก
เสี่ยวเหอมองดูเงาที่คล้ายยังหลงเหลืออยู่ภายในกระท่อมอย่างงุนงง จากนั้นครู่หนึ่งจึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะพบว่าคนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว