ตอนที่ 656

Elixir Supplier

656 ปิดล้อมดินแดน

 

“เขาทำไมโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง” เสวี่ยเหมยลี่พูด “เขายังเด็ก ช่วยให้โอกาสเขาสักครั้งจะได้ไหมคะ?”

 

ไม่มีใครอยากให้ลูกของตัวเองต้องติดคุก

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่คิดจะพูดกับเธออีก

 

เสวี่ยเหมยลี่ต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เธอรีบโทรหาเพื่อนที่เมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้เพื่อขอคำปรึกษา และได้รู้ว่า มันสามารถจัดการได้ไม่ยาก

 

ในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้ากำลังทานอาหารอยู่กับพ่อแม่ของเขา

 

“เรื่องวันนี้ มันเป็นมายังไงเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม

 

“เขาไม่ใช่ลูกที่ดีสักนิดเลยครับ!” หวังเย้าบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเขาฟัง

 

“พ่อของเขาเสียแล้วเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม

 

“ครับ ไม่อย่างนั้น เขาก็คงไม่มาก่อเรื่องขึ้นที่นี่หรอกครับ” หวังเย้าพูด

 

“เฮ้อ!” จางซิวหยิงถอนหายใจ “ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ?”

 

ในตอนที่หวังเย้ากำลังทานอาหารอยู่นั้น หวังหมิงเปาก็โทรมาและถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขาได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนของเขาที่ทำงานอยู่ในสถานีตำรวจ เมื่อรู้ว่า มีคนมาสร้างปัญหาให้กับเพื่อนรักของเขา หวังหมิงเปาก็ไม่พอใจขึ้นมา

 

“มันไม่มีอะไรหรอก ปล่อยให้พวกเขายุ่งยากกันสักหน่อยก็พอแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด

 

“แล้วไอ้เด็กที่ชื่อ จ้าวชงหยาง นั่นล่ะ?” หวังหมิงเปาถาม

 

หวังเย้าใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดออกไปว่า “ทำให้เขาต้องจดจำไปจนตายก็พอ!”

 

“ไม่มีปัญหา” หวังหมิงเปาพูด

 

ในบางครั้ง โทรศัพท์สายเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลายอย่าง และมันก็สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของคนคนหนึ่งได้ด้วย

 

ยกตัวอย่างเช่น จ้าวชงหยางที่ไม่เข้าใจว่า ตัวเขาถูกเพิ่มข้อหาไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนกับขมขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปตอนไหน เขาคิดอย่างไม่พอใจ ตำรวจพวกนี้ตัดสินใจโดยไม่ได้ดูว่าอันไหนจริงอันไหนไม่จริงเลยสักนิด!

 

เขาไม่เคยโมโหขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต เมื่อคนเราโมโห มันก็ง่ายที่จะสูญเสียความสามารถในการใช้เหตุและผล จ้าวชงหยางถึงขนาดตบโต๊ะต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในสถานี

 

“ไอ้หนุ่ม นายอารมณ์ร้อนจริงๆเลยนะ!” เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พอใจขึ้นมา

 

“ลูกบ้าไปแล้วเหรอ!” เสวี่ยเหมยลี่ถูดกับพูดไม่ออก หลังจากที่ได้ทราบข่าว เธอพยายามขอความช่วยเหลือเพื่อมาจัดการกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ ลูกชายของเธอกลับโดนตั้งข้อหาเพิ่มเข้าไปอีก ข้อหาร้ายแรงแบบนี้อาจนำไม่สู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้นได้

 

“แม่ ผมก็แค่พูดธรรมดาๆเท่านั้นเองนะ” จ้าวชงหยางพูด

 

“ลูกรู้รึเปล่า ว่าการพูดไม่คิดของลูกมันสร้างปัญหามากแค่ไหน?” เสวี่เหมยลี่พูด

 

จ้าวชงหยางไม่ได้พูดต่ออีก

 

เสวี่ยเหมยลี่ถอนหายใจ ความโชคร้ายหรือปัญหามักจะมาพร้อมกันเสมอ เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้? หรือนี่จะเป็นบทลงโทษจากพระเจ้า? อยู่ๆเธอก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเกินทน

 

“แม่อย่าคิดมากเลยน่า” ในที่สุด จ้าวชงหยางก็พูดออกมา

 

ในหมู่บ้านกลางเขา หวังเย้าเดินไปรอบๆเนินเขาและมองดูต้นไม้สองแถวที่เขาเพิ่งจะปลูกไปได้ไม่นาน เพราะตอนกลางวันมีคนไข้อยู่ไม่เยอะ หวังเย้าจึงตัดสินใจขึ้นมาดูบนเขา

 

ต้นไม้เติบโตเป็นอย่างดี ด้วยการดูแลอย่างสม่ำเสมอโดยฝีมือของซานเซียน ภูเขาดูต่างออกไปและมีหมู่เมฆมารวมตัวกันอยู่ ซึ่งถือเป็นแหล่งสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มันยังทำให้ต้นไม้เติบโตขึ้นได้อย่างมีความสุขด้วย

 

กำแพงต้นไม้สองชั้นได้ก่อตัวขึ้นมา มันใกล้จะเสร็จแล้ว

 

หวังเย้ายืนอยู่บนยอดของเนินเขาหนานชาน

 

ทางใต้ของเนินเขาเป็นกำแพงภูเขาที่สูงชัน มีพื้นที่ที่ใช้สอยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และถนนตรงนั้นก็ถูกหวังเย้าทำลายไปเรียบร้อยแล้วด้วย ทางใต้ยังมีภูเขาอยู่อีกลูกหนึ่ง ทางทิศตะวันออกและตกก็มีกำแพงต้นไม้ถูกสร้างเอาไว้เช่นเดียวกัน

 

ทางเหนือล่ะ? หวังเย้าก้มลงมองดูข้างล่าง

 

ที่ดินผืนนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อและมีต้นไม้อยู่ไม่มาก แต่มันก็ไม่ใช่ของเขา เขาคิด จะเปลี่ยนหรือจะซื้อมันดี? การเปลี่ยนนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้และก็ง่ายที่จะทำด้วย

 

เมื่อกลับไปถึงที่บ้าน หวังเย้าก็ถามเรื่องนี้กับพ่อแม่ของเขา

 

“เรื่องนี้ง่ายมาก” หวังเฟิงฮวารับหน้าที่จัดการกับปัญหานี้

 

ในเมื่อพวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะนำที่ดินอุดมสมบูรณ์ไปแลกเปลี่ยนกับที่ดินรกร้าง

 

หวังเย้าต้องการปลูกต้นไม้เพิ่มอีก เขาจึงโทรไปหาหลี่ชื่อหยู ผู้ซึ่งบอกกับหวังเย้าว่า เขาจะเตรียมต้นไม้ทั้งหมดให้พร้อมโดยใช้เวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

ในคืนนั้น มีแสงสว่างปรากฏอยู่บนเขา หวังเย้าที่ยืนอยู่บนยอดเขากำลังมองลงไปข้างล่าง แล้วภูเขาก็จะค่อยๆถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้

 

มันเป็นแผนการใหญ่ที่หวังเย้าคิดเอาไว้นานแล้ว มันเริ่มจากแปลงสมุนไพร ตามมาด้วยค่ายกลรวมวิญญาณ ซึ่งค่อยๆขนายรัศมีของมันออกไป ตอนนี้ เขามีความคิดที่ใหญ่ยิ่งกว่า เขาจะให้เนินเขาหนานชานเป็นจุดศูนย์กลาง เนินเขาซีชาน, ตงชาน, และบริเวณตีนเขาที่เหลือก็จะถูกรวมเข้าไปด้วย

 

ชาวบ้านส่วนใหญ่เลือกที่จะย้ายออกไปจากหมู่บ้าน และปล่อยให้ที่ดินทำการเกษตรรกร้าง เขาจึงเตรียมที่จะซื้อมันมาเป็นของตัวเองแล้ว

 

หวังเย้าลงไปจากยอดเขาและเข้าไปในกระท่อม เขาเริ่มลงมือร่างโครงสร้าง, วาดรูป, และปรับเปลี่ยนหลายๆอย่างไปจนกระทั่งเที่ยงคืน

 

เช้าวันต่อมา รถหรูคันหนึ่งได้ขับเข้ามาในหมู่บ้าน ชายที่ถูกหวังเย้าปฏิเสธไปเมื่อวันก่อนได้มาที่นี่อีกครั้ง ครั้งนี้ เขาทำตามกฎทุกอย่างและเดินไปเข้าแถวพร้อมกับป้ายไม้

 

“สวัสดีครับ หมอหวัง” เขาพูด “ผมขอแนะนำตัวเองสักเล็กน้อยนะครับ ผมมีชื่อว่า หลี่ชูเหริน”

 

“มีอะไรให้ผมช่วยครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เอ่อ ได้โปรดรักษาพ่อของผมด้วยเถอะครับ” หลี่ชูเหรินพูด

 

“ผมบอกไปแล้วนี่ครับ ว่าผมไม่ไปรักษาคนไข้ที่บ้าน” หวังเย้าพูด

 

“ผมมาครั้งนี้ ยังมีของขวัญเล็กๆน้อยๆเพื่อแสดงความจริงใจของผมด้วย” หลี่ชูเหรินหยิบบัตรเครดิตออกมา

 

หวังเย้าอึ้งไป หากพูดตามจริง มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอคนที่มอบของขวัญแบบนี้ให้กับเขา ถึงเขาจะทำแบบเงียบๆ แต่ภายในคลินิกก็ยังมีคนไข้อยู่อีกหลายคน

 

“คุณคิดว่ายังไง?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม

 

“หา?” หลี่ชูเหรินมึนงง

 

“คุณคิดว่ายังไงครับ?” หวังเย้าถามอีกครั้ง “ผมไม่รับตรวจคนไข้นอกบ้าน แล้วนี่ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมพูดแบบนี้”

 

หวังเย้ารู้ ว่าครอบครัวของชายคนนี้มีเงิน หลี่ชูเหรินอาจจะเป็นที่รู้จักในปักกิ่งจากสถานะของเขาเอง แต่วิธีพฤติตัวของเขานั้นค่อนข้างคาดไม่ถึงและเต็มไปด้วยกลิ่นเงินที่เหม็นเน่า

 

“หมอลองคิดดูสักหน่อยไม่ได้เหรอ?” หลี่ชูเหรินถาม “ร่างกายของพ่อผมแย่มากจริงๆนะ”

 

หวังเย้าปัดมือและไม่ต้องการจะพูดกับเขาต่อ ไม่ว่าพ่อของเขาจะสบายดีหรือป่วยอยู่ มันก็ไม่เกี่ยวกับหวังเย้าอยู่แล้ว เขาเป็นแพทย์ปรุงยา ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ เขาไม่ได้อยากจะช่วยเหลือทุกคน สำหรับคนที่เขาไม่ชอบ เขาก็เลือกที่จะไม่รักษา แล้วเขาก็ไม่รักษาคนเลวๆด้วย

 

“แก…” เมื่อคำด่ากำลังจะหลุดออกมาจากริมฝีปากของหลี่ชูเหริน เขาก็กลืนมันกลับลงไปอย่างยากลำบาก เขาเดินออกไปด้วยความโมโห ยังไม่ทันจะเดินพ้นประตูเขาก็เริ่มสบถด่าออกมาแล้ว

 

“บอส” คนขับเรียกเขา

 

“ไป!” หลี่ชูเหรินอัดแน่นไปด้วยความโกรธ

 

“คนคนนั้นโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเลย” คนไข้คนหนึ่งพูด “เขาส่งซองแดงให้กับหมอหวังใช่รึเปล่า?”

 

“มันเป็นบัตรเครดิตต่างหากล่ะ” คนไข้อีกคนพูด

 

การพูดจาของคนไข้นั้นเบามาก แต่หวังเย้าก็ยังได้ยินอยู่ดี เขาส่ายหน้าและยิ้มออกมา

 

หลังทานมื้อกลางวันเสร็จ เขาก็เดินไปที่บ้านของหวังเจียนหลี่ ผู้ซึ่งเป็นคนดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ และยังนำไวน์ติดมือไปด้วยอีกสองขวด

 

“เสี่ยวเย้า เข้ามาข้างในก่อนสิ” หวังเจียนหลี่พูด

 

“คุณลุง” หวังเย้าพูดอย่างจริงใจ

 

“ดูทำเขา เธอไม่ต้องเอาของขวัญมาให้กันหรอก” หวังเจียนหลี่เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย เขาจึงรู้ว่า ชายหนุ่มจะต้องมาด้วยเรื่องอะไรสักอย่างแน่นอน

 

“พอดีผมมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณลุงสักหน่อยน่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“งั้นบอกลุงมาสิ ว่าเรื่องอะไร” หวังเจียนหลี่พูด

 

หวังเย้าหยิบกระดาษออกมาและกางกระดาษออกบนโต๊ะ มันคือแผนที่ เขาชี้ไปที่แผนที่และเริ่มอธิบายแผนการของเขา

 

หวังเจียนหลี่รับฟังอยู่เงียบๆ “มันใหญ่มากเลยนะ เธอจะเอามันไปทำอะไรเหรอ?”

 

“ปลูกต้นไม้ครับ” หวังเย้าพูด

 

“ปลูกต้นไม้เหรอ?” หวังเจียนหลี่ถาม

 

“ถูกต้องครับ” หวังเย้าพูด

 

“จะปลูกต้นไม้แล้วเอาไว้ขายเหรอจะ?” ภรรยาของหวังเจียนหลี่ถามด้วยความสงสัย

 

“ไม่ใช่ครับ ผมอยากจะทำให้มันกลายเป็นป่าที่สวยงามและมีอากาศที่บริสุทธิ์ครับ” หวังเย้าพูด

 

“อะไรนะ?” ภรรยาของหวังเจียนหลี่ถาม “โอ้ ล้อเล่นใช่รึเปล่า?”

 

“เอ่อ ลุงขอคิดดูก่อนแล้วกันนะ” หวังเจียนหลี่พูด

 

“ขอบคุณนะครับ” หลังจากพูดอีกสองสามประโยค หวังเย้าก็ขอตัวกลับ

 

“เขาจะเอาที่ดินเยอะขนาดนั้นไปทำอะไรกัน?” ภรรยาของหวังเจียนหลี่ถาม “เขาอยากจะสร้างอะไรรึเปล่า? หรือเขาคิดจะเอาไปทำเงิน?”

 

“ใครมันจะไปสร้างถนนไปถึงที่นั่นกันล่ะ? ที่นี่มีแต่ภูเขาทั้งนั้น!” หวังเจียนหลี่จุดบุหรี่

 

“แล้ว เขาคิดจะทำอะไรกัน?” ภรรยาของเขาถาม

 

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน?” หวังเจียนหลี่พูด “แต่มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก”

 

“แล้วจะช่วยเขาไหม?” ภรรยาของเขาถาม

 

“อืม ที่แถวนั้นก็ไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของอยู่แล้ว” เขาเขี่ยขี้บุหรี่ออกและตอบออกไป “มีแต่คนจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง แล้วที่พวกนั้นก็คงจะถูกทิ้งเอาไว้เฉยๆ”

 

“ก็ดีนะ ถ้ายกที่พวกนั้นให้หวังเย้าเอาไปทำให้มันมีค่าขึ้นมา แล้วยังได้ช่วยเขาอีกทางด้วย” ภรรยาของเขาพูด

 

เรื่องนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเกินกว่าที่หวังเย้าคิดเอาไว้มาก