เหยียลี่ว์ฉีมองดูรอบด้าน กระซิบขึ้นเช่นกันว่า “ไม่มีวรยุทธ์สักคน” 

 

 

“นี่ คนดีขนาดนี้มีอยู่จริงหรือ?” 

 

 

“เมื่อมาแล้วย่อมต้องอยู่อย่างสงบสุข” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “เขาเอ่ยได้ถูกต้อง ผ่านพ้นที่นี่ไปเท่ากับพลาดที่พำนัก เจ้ากำลังบาดเจ็บอยู่ เดินทางมากเกินไปไม่ได้ พักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด หากเจ้าไม่วางใจ…” เขาหัวเราะแผ่วเบา เอ่ยสืบต่อไปว่า “อยู่ห้องเดียวกับข้าเป็นอย่างไร?” 

 

 

“เช่นนั้นข้าคงไม่วางใจมากยิ่งขึ้น!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ ผลักเขาออกไป บอกผู้ชราคนนั้นว่า “เช่นนั้นต้องขอบคุณท่านแล้ว ขอบคุณนะ!” 

 

 

“ไม่เป็นไรๆ” ผู้ชราร้องตะโกนให้ชาวบ้านช่วยเหลืออย่างไม่หยุด ยามนี้ชาวบ้านคล้ายรู้สึกตัวขึ้นมาจนได้ บนใบหน้าของหลายคนมีสีหน้าปีติยินดีเฉียดผ่าน ก้าวขึ้นมาช่วยเหลือด้วยความกระตือรือร้นยิ่งนัก 

 

 

จิ่งเหิงปัวสังเกตสีหน้าของคนเหล่านี้แล้ว รู้สึกว่าภายในน้ำใจไมตรีของพวกเขามีความไม่เป็นธรรมชาติซุกซ่อนอยู่ ลักษณะท่าทางหากบอกว่าดีใจก็ยังสู้บอกว่าสบายใจไม่ได้ คล้ายเป็นความรู้สึกประมาณว่าถอนหายใจด้วยความโล่งอกแบบนั้น 

 

 

ที่พักถูกจัดเตรียมที่บ้านของอาหญิงที่โยนรองเท้าคนนั้น หรือก็คือหญิงหม้ายที่ตะโกนร้องไห้นางนั้น ยามที่นางเดินออกมาจากในห้องคราบน้ำตายังไม่แห้งดี แย่งรองเท้าจากในมือซานอู่แล้วพลันเดินจากไป ถูกตาแก่คนนั้นจูงไปที่ฝั่งหนึ่งแล้วกระซิบวาจาหลายประโยค ทันใดนั้นความโศกเศร้าก็แปรเปลี่ยนเป็นความยินดีขึ้นมาโดยพลัน เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนว่าบ้านของตนเองหลังใหญ่ ขอเป็นผู้ต้อนรับขบวนของจิ่งเหิงปัว การกระทำยุ่งเหยิงวุ่นวาย กระตือรือร้นยิ่งนัก 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าภายในแววตาที่นางมองพวกตนเองนั้น เขียนคำว่า ‘ผู้ช่วยชีวิต!’ คำนี้ไว้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน 

 

 

ไม่เพียงแต่ภายในดวงตาของหญิงหม้ายที่มีคำนี้เขียนไว้ แต่ชาวบ้านทุกคนที่ต่างแยกย้ายกันไปก็มีแววตาแปลกประหลาดเช่นกัน การแอบชี้ไม้ชี้มือลับหลังและเสียงถอนหายใจยืดยาวบ่อยครั้งเสมือนได้ปลดปล่อยภาระออกมา รวมทั้งท่าทางแปลกประหลาดของคนทั้งหมู่บ้านที่บอกนางว่าการเข้าพักครั้งนี้อาจจะไม่เรียบง่ายขนาดนั้น 

 

 

บ้านของหญิงหม้ายค่อนข้างร่ำรวยโดยแท้ ลานบ้านสามชั้น ถือว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ในชนบท เล่ากันว่าครอบครัวนี้เป็นตระกูลช่างฝีมือเก่าแก่ อาศัยฝีมือได้มาซึ่งบ้านเรือนทรัพย์สิน ทิ้งเงินทองสะสมไว้เป็นจำนวนมาก เสียดายว่าร่ำรวยแต่ไร้วาสนา ยามนี้เหลือเพียงหญิงหม้ายกับบุตรชายปัญญาอ่อนของนาง 

 

 

บุตรชายปัญญาอ่อนของหญิงหม้ายอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี คราบน้ำตาทั่วใบหน้าเช่นเดียวกับมารดาของเขา จิ่งเหิงปัวสังเกตเห็นว่ายามที่เขาถูกหญิงหม้ายจูงกลับมา บนอาภรณ์ก็มีร่องรอยหลากหลายสาย 

 

 

อาหารเย็นมากมายหลายหลากยิ่งนัก หญิงหม้ายกับหญิงวัยกลางคนภายในหมู่บ้านร่วมกันลงมือทำอาหาร ข้าวปลาอาหารเต็มทั่วโต๊ะ เนื้อวัวเนื้อแพะที่ถนอมไว้เพื่อตระเตรียมที่จะฉลองปีใหม่ต่างถูกนำออกมาใช้ แม้จะเอ่ยว่าผู้คนในชนบทซื่อสัตย์มีน้ำใจไมตรี ทว่าแบบนี้คล้ายมีน้ำใจไมตรีมากเกินไปหน่อย 

 

 

ซ้ำยังมีสุราด้วย 

 

 

ครอบครัวหญิงหม้ายมีสุรา 

 

 

แววตาของจิ่งเหิงปัวเวียนวนผ่านไหสุราที่ถูกนำมามอบให้ใบนั้น พลางเลิกคิ้วขึ้น 

 

 

เทียนชี่ใช้สองมือกอดอก ท่าทางคล้ายยิ้มทว่าไม่ได้ยิ้ม เหยียลี่ว์ฉีหมุนชามกระเบื้องดำที่ใช้ดื่มสุรา คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นเล็กน้อย จื่อหรุ่ยเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้านาย สุรานี้ดื่มไม่ได้เจ้าค่ะ” ยงเสวี่ยมองดูไอควันร้อนผะผ่าวในห้องครัว ก็หงายชามสุราของตนเองไว้บนโต๊ะอย่างเงียบเชียบ 

 

 

เจ็ดสังหารเล่นทายนิ้วอยู่บนม้านั่ง แย่งชิงกันว่าผู้ใดจะได้ดื่มสุรานี้ก่อน ผู้ใดชนะผู้นั้นดื่มสุรา ด้วยเพราะโกงกันทุกครั้งจึงทะเลาะกันขึ้นมาอีกรอบ 

 

 

สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินแพ้ชนะกันจนได้ ตระเตรียมลิ้มลองสุรายานอนหลับว่ามีรสชาติเป็นอย่างไรกันแน่ ทว่าพอหันหน้ามองเห็นเฟยเฟยเปิดผนึกไหสุราแล้ว ศีรษะน้อยก็ยื่นเข้าภายในไหสุรา 

 

 

คนชั่วกลุ่มหนึ่งมองดูด้วยสายตาแพรวพราว กลับไม่มีผู้ใดเตือนมันสักคน 

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ เฟยเฟยก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตากลมโตกะพริบอย่างเชื่องช้า ตบกระเพาะน้อยที่ดื่มสุราจนกลมดิก เดินโซซัดโซเซจากไป 

 

 

ทุกคนเปล่งเสียงถอนใจออกมาด้วยความผิดหวัง 

 

 

“วางยาเฟยเฟยไม่ได้ด้วยซ้ำ!” จิ่งเหิงปัวด่าทอคำหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าล่ะอับอายไม่อยากเล่นละครโดยแท้” 

 

 

“มาเถิด ดื่ม!” เจ็ดสังหารเปิดผนึกตั้งนานแล้ว หนึ่งคนหนึ่งชามเริ่มร่ำสุราจนหมดเกลี้ยงในพริบตา เล่นเกมพนันกันจนสับสนวุ่นวาย ดื่มไปได้ไม่กี่ชาม อีชีลก็ากอู่ซานมาร่ายรำระบำเปลื้องผ้าแล้ว 

 

 

เหล่าแม่ครัวชะโงกหน้าอย่างต่อเนื่อง จ้องมองสุรานั้นตาปริบๆ ผ่านไปไม่นานไหสุราหลายใบก็ถูกดื่มจนเกลี้ยง อีกหลายใบแตกกระจาย ความหวังที่ท่วมท้นดวงตาในยามแรกเริ่มค่อยๆ กลายเป็นความผิดหวัง จากนั้นกลายเป็นความสงสัย สุดท้ายกลายเป็นความหวาดกลัว 

 

 

หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งแอบออกไปอย่างเงียบเชียบ พวกจิ่งเหิงปัวทำเป็นมองไม่เห็น 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ชีอี้เอ่ยว่า “จะไปฉี่” และเดินโซซัดโซเซออกไปแล้ว 

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ ทุกคนได้ยินเสียงทึบบนกำแพงข้างนอกดังขึ้นเสียงหนึ่ง ตามด้วยเสียงพลั่กครั้งหนึ่ง คล้ายสิ่งของสักอย่างล้มทิ่มลงมา 

 

 

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ชีอี้กลับมาแล้ว ประสานสายตากับทุกคน อ้าปากหาวครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “บนห้องส้วมมีคนคิดจะใช้เชือกรัดคอข้า” 

 

 

“จากนั้นเล่า? คนเล่า?” 

 

 

ชีอี้นั่งลง เลือกข้าวเหลืองห่อเนื้อก้อนหนึ่งมาแทะพลางเอ่ยด้วยเสียงไม่ชัดเจนว่า “อ้อ อยู่ในกองอุจจาระ” 

 

 

… 

 

 

ผ่านไปอีกสักพัก อีชีก็ออกไปเดินเล่นตากลม ผ่านไปครู่หนึ่ง ที่มุมตะวันตกของกำแพงมีเสียงดังสนั่น คล้ายสิ่งของสักอย่างพังทลายแล้ว 

 

 

อีชีกลับมาด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา 

 

 

“อะไรหรือ” 

 

 

“อ้อ บนต้นไม้มีคนถือมีดตัดฟืนอยู่” เขายักไหล่แล้วเอ่ยว่า “ข้าฉวยโอกาสเตะต้นไม้จนหักสะบั้น พอต้นไม้ล้มลงมาเลยกระแทกกำแพงพังทลายตามไปด้วย” 

 

 

… 

 

 

ผ่านไปอีกสักพัก ซือซือเอ่ยว่าจะสร่างเมาสักหน่อย เดินโซซัดโซเซออกไปแล้ว จากนั้นก็มีเสียงครืนดังขึ้น ฟังจากเสียงการเคลื่อนไหวนั้น คาดว่าน่าจะรื้อบ้านตามไปด้วยแล้ว 

 

 

ซือซือกลับมาพร้อมใบหน้าไร้เดียงสา 

 

 

“อะไรหรือ” 

 

 

“มีคนซุ่มอยู่บนหลังคาบ้านหวังจะยิงธนูทำร้ายข้า” ซือซือกะพริบตา เอ่ยว่า “ข้ารื้อหลังคาบ้านออกแล้ว” 

 

 

… 

 

 

ผ่านไปเค่อหนึ่ง อู่ซานเดินเล่นกลางลานบ้าน พบเจอหญิงหม้ายที่กำลังเดินไปห้องส้วม หญิงหม้ายก็ประชิดเข้ามาด้วยท่าทางยิ้มตาหยี ถามอู่ซานว่าอาหารวันนี้อร่อยหรือไม่ อยากจะกินอาหารจานใหญ่พิเศษอีกสักจานอีกหรือไม่ 

 

 

“อมิตพุทธ อาตมาไม่เข้าใจวาจาที่สีกาเอ่ยมาแม้เพียงน้อย” อู่ซานเอ่ยอ้างนามพระพุทธ หยิบมีดทำครัวในอ้อมแขนของหญิงหม้ายออกไปอย่างแผ่วเบาพลางเอ่ยด้วยความเมตตาว่า “แน่นอนว่าหากหน้าอกของเจ้าไม่หย่อนยานขนาดนั้น อาตมาอาจจะฟังเข้าใจแล้ว” 

 

 

… 

 

 

อิ่มสุราอิ่มอาหาร ทุกคนเข้าพักในบ้านเดี่ยวที่หญิงหม้ายจัดเตรียมไว้ให้ ภายในลานบ้านระเกะระกะทั่วผืน ห้องพักที่หญิงหม้ายจัดเตรียมไว้ให้พวกเขาหายไปด้วยแล้ว 

 

 

เหลือห้องเพียงแค่ห้องเดียว จะนอนก็นอนไม่ได้ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องนอน นอนหลับแล้วยังต้องตื่นขึ้นมาอีก 

 

 

จิ่งเหิงปัวกับพวกเฮฮากำลังวางเดิมพัน 

 

 

“สองชั่วยาม” 

 

 

“หนึ่งชั่วยาม” 

 

 

“ครึ่งชั่วยาม” 

 

 

“สองเค่อ!” 

 

 

“ยามนี้!” จิ่งเหิงปัวกล่าวเดิมพันปิดท้าย 

 

 

ราวกับเป็นหมายเหตุให้วาจาของนาง เสียง ฟิ้ว! พลันดังขึ้น ข้างนอกสว่างไสว พอทุกคนเชิดสายตาก็พลันมองเห็นลูกไฟลูกหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างดุร้าย 

 

 

ภายนอกลานบ้านมีคนกำลังร้องตะโกนเสียงดังสนั่น 

 

 

“ข้างนอกปูแหฟ้าตาข่ายดินไว้แล้ว พวกเจ้าหนีไม่รอดหรอก! ส่งคนผู้หนึ่งออกมาให้พวกเรา! แล้วพวกเราจะปล่อยพวกเจ้าไป! มิฉะนั้นก็จงรอถูกเผาจนสิ้นชีพเถิด!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองทะลุหน้าต่างออกไป เห็นฝูงชนคลาคล่ำอยู่ข้างนอกผ่านกำแพงลานบ้านที่พังทลาย คนทั้งหมู่บ้านออกมาเคลื่อนไหวแล้ว 

 

 

“ข้าเอง!” เทียนชี่พุ่งออกไปในทันใด ยกขากลางอากาศเสมือนเตะบอลดังพลั่ก สายลมรุนแรงก่อกวนกระแสอากาศจนเสียงดังก้องกังวาน ลูกไฟที่พุ่งตรงเข้ามาลูกนั้นหยุดค้างกลางอากาศ จากนั้นพลันร่นถอย ถูกเตะคืนสู่ท่ามกลางฝูงชนข้างนอก 

 

 

เสียงอุทานกรีดร้องดังขึ้นโดยพลัน ประกายไฟแดงเข้มนับไม่ถ้วนลุกโชนบนท้องฟ้ามืดมิดคล้ายดอกไม้เพลิงยามปีใหม่ที่ถูกปล่อยออกมาล่วงหน้า ฝูงชนแตกซ่านโดยพลัน ร้องห่มร้องไห้พลางวิ่งหนีทั่วทิศ ตาแก่ที่อยู่ตรงกลางคนนั้นพยายามกระแทกไม้เท้าตะโกนเรียกสุดกำลังยังหยุดไว้ไม่ได้ เหลือเพียงเสียงร้องเรียกของเขาดังสะท้อนไร้เรี่ยวแรงภายในหมู่บ้านยามเที่ยงคืน 

 

 

“เจ้าพวกไร้ประโยชน์! ให้ตายกลับไม่ยอมตาย ให้จับคนมาตายแทนยังไม่กล้าอีก คู่ควรเพียงเป็นอาหารให้สัตว์ป่าภายในโคลนเลน!” เสียงด่าทอด้วยความเดือดดาลของตาเฒ่าดังก้องสะท้านฟ้า 

 

 

เทียนชี่กะพริบวูบมายังข้างกายเขา ใช้นิ้วมือเพียงนิ้วเดียวหิ้วเขาขึ้นมา 

 

 

“ไอ้แก่หนังเหนียว” เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าเล่นกลอะไรกัน? พอได้หรือยัง?” 

 

 

“ผู้ใดมีความคิดจะเล่นกลกับพวกเจ้า!” ทว่าตาเฒ่าห้าวหาญยิ่งนัก ถุยน้ำลายอึกหนึ่งโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว เอ่ยว่า “โชคร้ายได้พบเจอพวกเจ้า จะฆ่าจะแกงได้เลยตามสบาย! สิ้นชีพในเงื้อมมือมนุษย์ยังดีกว่าสิ้นชีพในปากเดรัจฉานหน่อย มา! มา!” เกร็งลำคอไว้ส่งไปข้างหน้า 

 

 

เทียนชี่เหวี่ยงเขาลงมาตรงแทบเท้าของจิ่งเหิงปัวในครั้งเดียว 

 

 

“ทำเป็นใจกล้าอะไรของเจ้า ซื่อตรงหน่อย!” 

 

 

ตาเฒ่าร้องไห้โฮขึ้นมา 

 

 

“ผู้ใดอยู่ดีๆ จะอยากทำร้ายคน คราวนี้ทำบาปทำกรรมใดไว้หนอ…” 

 

 

เขาร้องไห้พลางบอกเล่าเรื่องราว จิ่งเหิงปัวฟังอยู่นานถึงฟังรู้เรื่อง แท้จริงแล้วช่วงนี้เจ้าเมืองเป่ยซินออกคำสั่งเรียกร้องให้ทุกหมู่บ้านต้องส่งมอบสัตว์หาทองหนึ่งตัว หมู่บ้านต้าหวังอยู่ใกล้บึงโคลนมีสัตว์หาทอง ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาสัตว์นั้นโหดร้ายเจ้าเล่ห์ ยากต่อการจับกุม นอกจากเนื้อมนุษย์แล้ว ไม่มีทางล่อมันออกมาได้ด้วยซ้ำ เบื้องบนบังคับว่าต้องส่งสัตว์หาทองหนึ่งตัวมาก่อนวันส่งท้ายปีเก่า มิฉะนั้นปีหน้าต้องส่งเงินทองของเสบียงเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ทุกปีหมู่บ้านต้าหวังส่งของเสบียงเสร็จสิ้นว่ายากลำบากยิ่งนักแล้ว ทว่าฝืนใจดำรงชีพให้ท้องอิ่มร่างกายอุ่น หากเพิ่มเป็นสองเท่าคงต้องมีคนอดอาหารสิ้นชีพไม่น้อยเป็นแน่ ประเดี๋ยวใกล้จะถึงเส้นตายแล้ว ไม่มีทางทำอะไรได้จึงจับฉลากตัดสินใจส่งมนุษย์เป็นเหยื่อล่อ หวังต้องจับได้สักตัวก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ผู้ใดต่างรู้ว่าไปเป็นเหยื่อล่อคราวนี้แทบไร้โอกาสรอดชีวิต จับฉลากกันอย่างอกสั่นขวัญแขวน สุดท้ายแล้วจับฉลากได้บุตรชายปัญญาอ่อนของครอบครัวหญิงหม้าย หญิงหม้ายไม่ยินยอม จึงถอดรองเท้าเขวี้ยงผู้อื่นจนมาโดนกลุ่มของจิ่งเหิงปัวกลุ่มนี้ พอตาเฒ่าเห็นคนนอกเข้ามาในหมู่บ้านก็ดีใจเป็นล้นพ้น เกิดความคิดจะจับคนนอกไปเป็นเหยื่อล่อ ผู้ใดจะรู้ว่าคนกลุ่มนี้วิปริตกันทุกคน ลงมือหลายครั้งกลับพลาดพลั้งทุกคราว ซ้ำยังเสียเปรียบยิ่งนัก พอขี่หลังเสือแล้วยากจะลง ได้แต่รวบรวมชายหนุ่มแข็งแรงทั้งหมู่บ้าน วางเพลิงเผาบ้านเพื่อคุกคาม 

 

 

สุดท้ายแล้วตาเฒ่าก็เอ่ยพลางสะอึกสะอื้นว่า “พวกเราถูกบังคับไม่มีทางหลีกเลี่ยงเช่นกัน คุณชายคุณหนูทุกท่านโปรดไว้ชีวิตคนในหมู่บ้าน…” 

 

 

แต่จิ่งเหิงปัวกำลังคิดว่าผู้กุมอำนาจของเผ่าหวงจินต้องการสัตว์หาทองมากมายขนาดนั้นขึ้นมากะทันหันเพื่ออะไรกัน?