เสินเซ่อเทียนขมวดคิ้ว มีบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ

 

 

เขาไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับราชสำนักจงเจิ้งด้วย เขานิ่งสงบไปชั่วครู่ค่อยเอ่ยปากว่า “เด็กหนุ่มที่เจ้าพูดถึงคนนั้นเป็นไปได้มากว่าจะเป็นจิ่วหุน เขาเป็นคนสำคัญที่สุดข้างกายเยี่ยเม่ย จู่ๆ ก็จากเยี่ยเม่ยมุ่งไปยังราชสำนักจงเจิ้ง เรื่องนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงอย่างแน่นอน”

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนอดใจไม่ไหวเอ่ยว่า “ไม่เพียงเท่านี้ยังมีอีกจุดหนึ่ง นั่นคือระยะนี้ราชาดาบกับเทพกระบี่สนิทกับเยี่ยเม่ยเป็นพิเศษ อันที่จริงเรื่องนี้ก็มีเลศนัย ครั้งนี้พวกเขาสามคนรวมตัวกัน ท่านว่าพวกเขาคิดวางแผนอะไรบางอย่างอยู่หรือไม่”

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนพูดแล้วก็มุ่นคิ้ว แอบด่าว่าตัวเองอยู่ในใจ ความจริงราชาดาบกับเทพกระบี่ถือเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนาง แต่นางกลับรายงานข่าวนี้ให้เจ้านายทราบ

 

 

แต่ว่า…

 

 

สำหรับคนอย่างพวกนาง การจงรักภักดีต่อเจ้านายถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ใช่หรืออย่างไร เมื่อคิดดังนี้นางจึงสะกดความไม่สบายใจเอาไว้ บุญคุณช่วยชีวิตคงได้แต่ใช้วิธีอื่นเพื่อตอบแทน แต่ความภักดีต่อนายถึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นอันดับหนึ่งตลอดกาล

 

 

เสินเซ่อเทียนฟังจบแล้วก็มองเฉิงเสี่ยวจวน เอ่ยเสียงขรึมว่า “เรื่องนี้มีลับลมคมในจริงๆ เป่ยเจี้ยนเกอ”

 

 

เมื่อสิ้นเสียง เป่ยเจี้ยนเกอก็ปรากฏตัวทันที

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอค้อมเอวคารวะ “จวินซ่าง มีอะไรจะสั่งการ”

 

 

“ไปสืบดูว่าพวกเขาคิดทำอะไรกันแน่ ติดตามอย่างลับๆ อย่าให้จิ่วหุนจับได้ ระวังไว้ให้มาก” เสินเซ่อเทียนสั่งการ

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอกลับขมวดคิ้ว “จวินซ่าง เหตุใดครั้งนี้ถึงได้ระวังนัก”

 

 

เมื่อก่อนไม่ว่าภารกิจใด จวินซ่างสั่งการให้เขาไปทำงาน เอ่ยประโยคเดียวก็จบแล้ว แต่วันนี้จวินซ่างตั้งใจกำชับขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง ให้เขาระวังไว้ให้มาก นี่…หรือว่าจวินซ่างเริ่มเปลี่ยนนิสัย รู้จักเป็นห่วงเขาขึ้นมาแล้ว

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ มุมปากเป่ยเจี้ยนเกอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้

 

 

คนอย่างจวินซ่างนอกจากเรื่องกินและเรื่องอกหักเมื่อหลายวันก่อนแล้ว ยังจะรู้จักอะไรอีกเล่า ไม่มีทางห่วงใยใครทั้งนั้น

 

 

ในขณะเป่ยเจี้ยนเกอคิด

 

 

เสินเซ่อเทียนก็เอ่ยปากว่า “หากว่ามีปัญหาจริงๆ เจ้าถูกจิ่วหุนพบแล้ว ด้วยนิสัยของเขา เขาต้องสังหารคนไม่เกี่ยวข้องอย่างเจ้าเพื่อปิดปากแน่”

 

 

ต่อให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นแก่หน้าเสินเซ่อเทียน อาจปล่อยเป่ยเจี้ยนเกอสักครั้ง ให้เขามีชีวิตรอดกลับมา แต่ว่าจิ่วหุน…คนผู้นี้คือนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า ในใจเขานอกจากคำว่าสังหารแล้ว ก็ไม่มีคำอื่นอีก วิธีการรักษาความลับได้ดีที่สุดย่อมเป็นการฆ่าคน ดังนั้นเมื่อถูกพบตัว ก็ถือว่าเสี่ยงอันตรายมาก

 

 

มุมปากเป่ยเจี้ยนเกอกระตุกทันที คิดถึงความอันตรายในภารกิจ เขาก็อดเอ่ยปากไม่ได้ว่า “จวินซ่าง ไม่เช่นนั้น…ท่านเปลี่ยนเป็นเฉิงเสี่ยวจวนไปเถอะ ความต้องการของท่านให้ลอบสะกดรอยจิ่วหุน แต่ว่าสะกดรอยเขาจะไม่ถูกพบเห็นได้อย่างไร เขาเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่ง หากเทียบกับเรื่องวิชาพรางกายไม่มีใครสู้เขาได้ เกรงว่าข้าน้อยเข้าใกล้เขาสักนิดก็คงจบชีวิตแล้ว”

 

 

จิ่วหุนเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่ง เป่ยเจี้ยนเกอคำนวณฝีมือของตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าเอาชนะไม่ได้แน่ สู้ไม่ได้ก็ยอมแพ้แต่โดยดี ให้สหายตายเถอะ เขาไม่อยากตาย ส่งเฉิงเสี่ยวจวนไปก็แล้วกัน

 

 

เมื่อเฉิงเสี่ยวจวนได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกว่าเป่ยเจี้ยนเกอช่วยเปิดโลกความคิดและเข้าใจเรื่องยางอายให้นางใหม่แล้ว นางชี้เป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้าพูดอะไรกันเป่ยเจี้ยนเกอ เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า”

 

 

นี่ล้อเล่นอะไรเนี่ย เพราะเขารู้ว่าเสี่ยงภัย สงสัยว่าไปแล้วคงไม่มีชีวิตรอดกลับมา ถึงได้ส่งนางที่เป็นผู้หญิงไปแทนหรือ

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่ เฉิงเสี่ยวจวนสงสัยเหลือเกิน

 

 

แม้กระทั่งเสินเซ่อเทียนยังอดไม่ไหวมองเป่ยเจี้ยนเกอด้วยความแปลกใจ เห็นได้ชัดว่าตกใจในคำพูดของเขามาก เป่ยเจี้ยนเกอปาดเหงื่อบนหน้าผากตน ความจริงเขาก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่ว่ามีชีวิตรอดถึงจะถูกไม่ใช่หรือ

 

 

เขามองเฉิงเสี่ยวจวน พลันล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากชายเสื้อ นั่นคือผ้าเช็ดหน้าของนางที่เขาเก็บได้เมื่อหลายวันก่อน เดิมทีเตรียมจะคืนให้หลังจากนางกลับมา

 

 

ยามนี้เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา สะบัดอ่อนช้อยทำท่วงท่าเช่นเดียวกับสตรีซับเหงื่อบนใบหน้า จากนั้นเอ่ยปากกับเฉิงเสี่ยวจวนว่า “เจ้าก็ทำเสียว่าข้าเป็นเทพธิดาก็แล้วกัน”

 

 

เฉิงเสี่ยวจวน “…”

 

 

มารดามันเถอะ ทำเช่นนี้ก็ได้ด้วย

 

 

นางรู้สึกว่าตัวเองดูคนไม่ขาดเอาเสียเลย เมื่อก่อนทำไมถึงไม่รู้ว่าเป่ยเจี้ยนเกอเป็นคนพรรค์นี้

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนเหลียวมองเสินเซ่อเทียน เสนอว่า “จวินซ่าง ในเมื่อเขาไม่ยินยอมไปจริงๆ เช่นนั้นข้าน้อยไปก็ได้”

 

 

ภารกิจนี้อย่างไรก็ต้องมีคนทำ

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น…

 

 

เมื่อคิดถึงใบหน้าของจิ่วหุน ไม่รู้เพราะอะไร นางพลันรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้นอยู่บ้าง หากได้พบคนผู้นั้นต้องเผชิญอันตรายก็ไม่นับว่าเป็นอันใด

 

 

เสินเซ่อเทียนนิ่งไปสักพัก เป่ยเจี้ยนเกอและเฉิงเสี่ยวจวนล้วนตื่นเต้น เป่ยเจี้ยนเกอไม่อยากไปเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่าเมื่อไปแล้วคงยากจะรอดกลับมาได้ แต่ว่าเฉิงเสี่ยวจวนเป็นสตรี ถึงผลักไสเรื่องนี้ให้กับผู้หญิงเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าความจริงก็คือบางทีจิ่วหุนเห็นเฉิงเสี่ยวจวนเป็นผู้หญิงอาจจะยั้งมือไว้ไมตรีบ้าง แต่หากเป็นเขาต่อให้มือถือผ้าเช็ดหน้าแสดงเป็นเทพธิดา คิดแล้วก็คงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้

 

 

ดังนั้นก็ได้แต่…

 

 

หวังว่าจวินซ่างจะเมตตา เห็นแก่ที่เฉิงเสี่ยวจวนเต็มใจ สั่งให้นางไปทำภารกิจ

 

 

ในที่สุดเสินเซ่อเทียนก็พยักหน้า เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เฉิงเสี่ยวจวนเจ้าไปสะกดรอยก็แล้วกัน มีเรื่องอะไร รีบกลับมารายงานข้าทันที”

 

 

“รับทราบ” เฉิงเสี่ยวจวนตอบรับทันควัน

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอพรูลมหายใจออก

 

 

คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะคลายใจลงได้ เสียงของเสินเซ่อเทียนก็ดังขึ้นอีกครั้งว่า “ส่วนเป่ยเจี้ยนเกอ เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินแล้ว เฉิงเสี่ยวจวนไม่ได้นำราชาอสรพิษกลับมาให้ข้า ภารกิจนี้ก็มอบให้เจ้าไปจัดการให้สำเร็จ”

 

 

“หา?” สีหน้าที่เพิ่งจะเบิกบานของเป่ยเจี้ยนเกอหม่นหมองลงทันที

 

 

เขากับเฉิงเสี่ยวจวนมีความสามารถใกล้เคียงกัน เฉิงเสี่ยวจวนยังเกือบตายคาปากเจ้างูนั่น หากเขาไปจุดจบก็คงไม่ได้ดีไปกว่าเฉิงเสี่ยวจวนเท่าไรนัก

 

 

เสินเซ่อเทียนมองเขา ยิ้มเอ่ยว่า “ต่อให้เจ้าเป็นเทพธิดา ข้าก็ไม่คิดใช้งานเทพธิดาไร้ประโยชน์”

 

 

พูดจบแล้ว เสินเซ่อเทียนก็ดึงคันเบ็ดขึ้นแล้วจากไป

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอ “…”

 

 

ในยุคสมัยนี้ เป็นเทพธิดาจะไม่ได้สิทธิพิเศษใดบ้างหรือ

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนมองเขาด้วยสายตายินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น เอ่ยว่า “ข้าจะบอกเจ้านะ งูตัวนั้นอาวุธทำอะไรมันไม่ได้ ทั้งมันยังว่องไวมาก กระทั่งเซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาร่วมมือกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย สุดท้ายจิ่วหุนลงมือถึงจัดการมันได้ ส่วนเจ้าก็ขอพรให้รอดซะเถอะนะ”