ฮูหยินรองเฉิงกัดริมฝีปากล่างพร้อมประจันหน้า ทว่าพ่อบ้านเฉาสีหน้ากลับสีหน้านิ่งขรึม
“ฮูหยินรอง ท่านคงไม่คิดว่ามีแค่ฮูหยินใหญ่เฉิงที่กล้าตีท่านหรอกนะ” เขาเอ่ย
สีหน้าของฮูหยินรองเฉิงขาวซีด นางหยุดฝีเท้าลง มองแม่นางเฉิงเจ็ดที่นั่งร้องไห้อยู่ข้างกาย ก่อนจะมองคนฝั่งเฉิงใต้ที่มองมายังนาง…
“เจ้า เจ้ากล้าหรือ!” นางเอ่ยเสียงสั่น
พ่อบ้านเฉาไม่ตอบโต้แล้วเดินออกไป ฮูหยินรองเฉิงกรีดร้องขึ้นมา ดึงแม่นางเฉิงเจ็ดไว้แล้ววิ่ง
มองสองแม่ลูกที่กระทืบเท้าออกไป ส่วนพ่อบ้านเฉาก็ปัดมือไล่
“ไป ไป ข้ายังมีงานต้องทำต่อ” เขาเอ่ย
ฝั่งฮูหยินรองเฉิงที่ลากแม่นางเฉิงเจ็ดที่ร้องไห้ไปด้วย ก็ได้แต่คิดลังเลใจ นางยืนนิ่งตรงมุมหน้าประตู ร้องเรียกให้เปิดประตู
“ฮูหยินรอง…” แม่นมที่เปิดประตูตกใจตะโกนร้อง
ฮูหยินรองเฉิงยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้าไม่สนใจพวกนาง ก้มศีรษะแล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านใน ไม่มีแม่นมห้ามนางไว้ เพียงแต่มองนางเดินเข้าไปด้านใน
ฮูหยินรองเฉิงก้าวเข้ามาในลานบ้าน แม่นมในห้องกำลังหยอกล้อเล่นกับซีเกอร์ พอเห็นฮูหยินรองเฉิงก็ตกตะลึง คล้ายกับดีใจ คล้ายกับไม่รู้ว่าจะดีใจดีหรือไม่ กระอักกระอ่วนไปหมด
นายรองเฉิงได้ยินเสียงก็เดินออกมา เห็นฮูหยินรองเฉิงจึงชักสีหน้า
“เจ้ายังจะกลับมาอีก…” เขาตะโกนขึ้นมา
ยังไม่ทันจะพูด แม่นมในห้องก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เอื้อมมือไปที่ก้นของซีเกอร์แล้วหยิกอย่างเต็มแรง
ภายในห้องก็มีเสียงเด็กร้องไห้ปานจะขาดใจขึ้นมาทันที
ฮูหยินรองเฉิงยินดีในใจ แต่แสร้งร้องตะโกนว่าลูกชายของข้า พลางกระโจนเข้าใส่บังหน้า ยิ่งร้องเสียงดังยิ่งดังขึ้นอีก
แม่นมทั้งหลายร้องไห้ตามกันทุกคน พลางร่ำร้องว่าฮูหยินกลับมาแล้ว ซีเกอร์ไม่ยอมกินข้าวเลย ท่านดูสิซีเกอร์คิดถึงท่านแม่ของตนยิ่งนัก
“ข้ามาดูซีเกอร์สักหน่อยแล้วก็จะไป พวกเจ้า พวกเจ้าดูแลเขาให้ดีล่ะ…” ฮูหยินรองเฉิงร้องไห้เอ่ย พลางอุ้มซีเกอร์ไว้ พลางแอบหยิกไปอีกที
ซีเกอร์ร้องไห้อย่างเจ็บปวด ฮูหยินรองเฉิงก็ทำท่าจะปล่อย แม่นมทั้งร้องไห้คุกเข่าเอาก้มหัวจรดพื้นรั้งนางไว้
นายรองเฉิงที่อยู่ข้างๆ เป็นทุกข์เพราะภาพคนร้องไห้ตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแรง
“เอาเถิด เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ต้องให้มันใหญ่โตถึงจะยอมวางมือหรือ” เขาเอ่ย
ฮูหยินรองเฉิงยินดียกใหญ่ในใจ กอดซีเกอร์ร้องไห้อย่างหนัก
ผ่านไปพักใหญ่ภายในลานบ้านก็เงียบสงบลง ใช้เวลาอาบน้ำไปถึงหนึ่งชั่วยาม ฮูหยินรองเฉิงถึงรู้สึกว่าตนค่อยเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย นางนั่งอยู่ในห้องพร้อมเสื้อผ้าใหม่ที่อบอุ่นขึ้น พลางเตาอุ่นมือและถ้วยชา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ อย่างสบายใจ
“เจ้าไปนำของสำหรับขอขมาพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่มา” นายรองเฉิงที่อยู่ข้างๆ ลูบหน้าเอ่ย
“เหตุใดข้าต้องยอมรับผิดด้วย ไม่ใช่ความผิดของพวกเราเสียหน่อย” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
นายรองเฉิงลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห
“เจ้ายังจะมาบอกว่าไม่ใช่ความผิดของเจ้าอีกหรือ หากไม่เป็นเพราะความคิดของเจ้าว่าให้พวกเราไปเป็นพยาน เรื่องจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” เขาเอ่ย
ฮูหยินรองเฉิงเหลือบมองเขา
“นั่นไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาแย่งสินเดิมของเจียวเหนียงไปแล้วยังไล่นางออกจากบ้านอีกหรือ เจียวเหนียงก็คงไม่ไปร้องเรียนเขาหรอก” นางเอ่ย “ทั้งที่เขาเป็นคนทำผิดก่อน จะโทษพวกเรา มันสมเหตุสมผลแล้วหรือ”
เป็นเช่นนี้หรือ
นายรองเฉิงสีหน้าตกใจ
“ดังคำกล่าวที่ว่า กระต่ายโมโหก็กัดคนเช่นกัน พวกเขาสองสามีภรรยาถือสินเดิมของเจียวเหนียง ส่วนตนเองนั้นใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีก็เพียงพอแล้ว เหตุใดถึงบีบบังคับเจียวเหนียงเช่นนี้ พวกเขาเสพสุขโดยไม่เคยขอบคุณพวกเราเสียบ้างเลย บัดนี้ได้รับโทษ ก็มาโทษพวกเรา ยังไม่ลองคิดดูให้ดี ตั้งแต่ต้นจนจบ เกี่ยวกับกับเราเสียที่ไหนะ” ฮูหยินรองเฉิงถอนหายใจเอ่ย “หากพูดถึงความผิด ก็ผิดที่ท่านเป็นพ่อของคนบ้านั่น ข้าคือแม่เลี้ยงที่นางเอาเปรียบได้”
ฮูหยินรองเฉิงค่อยๆ นั่งลง ถือถ้วยชาอย่างครุ่นคิด
ฮูหยินรองเฉิงผุดยิ้ม ค่อยๆ ดื่มชา พลางมองภายในห้อง เมื่อก่อนก็รู้สึกว่าการตกแต่งภายในของตนนั้นงามแล้ว แต่ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกผิดแปลกไป ภาพห้องเล็กๆ แสนเรียบง่ายของเฉิงเจียวเหนียงปรากฏขึ้นแท่นตรงหน้า
“ข้าจะบอกท่านให้นะ ท่านรู้หรือไม่ว่าในห้องของเฉิงเจียวเหนียงวางอะไรไว้บ้าง” นางวางถ้วยชาลง ขยับเข้าใกล้นายรองเฉิง พร้อมกับยกคิ้วเอ่ย
…
ขณะที่สองสามีภรรยาถกเถียงกันเป็นการส่วนตัว ส่วนฝั่งเฉิงเจียวเหนียงและคนอื่นๆ นั้นได้ออกจากเขาลู่เจี่ยวเข้าเมืองมา
หิมะหยุดตกแล้ว ถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะถูกกวาดไปพอสมควร ถนนและทางเดินจึงกว้างมากขึ้น
“นายหญิง ท่านดูสิ่งนี้ ทำได้ดีมาก”
หญิงทั้งสองมาจากหน้าร้านโคมไฟแล้วหันหลังกลับ ชี้ไปยังโคมไฟม้าตัวหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงที่ไม่ได้นั่งรถแต่เดินเท้ามาแทนยิ้มบางแล้วพยักหน้าใต้ผ้าคลุมหน้า
“ซื้อ” นางเอ่ย
ผู้ติดตามก็เข้ามาจ่ายเงินทันที หญิงทั้งสองคนไม่รู้ว่าหัวเราะเพราะสาเหตุใด จึงเก็บมาแล้ววางไว้ที่รถคันหลัง บนรถมีของวางกองอยู่เกือบจะครึ่งคันรถ ทั้งของกิน เครื่องดื่ม ของเล่น ของใช้ ล้วนรวมอยู่ในนั้นหมด
“ครั้งหน้าเจ้ากับข้าอย่าได้เอ่ยชมเช่นนั้นอีกนะ! บอกให้ซื้ออะไรก็ซื้อหมด จะพินาศเอาซักวัน! ” แม่นางซี่เอ่ย
“ก็แค่เอ่ยชมไปอย่างนั้น นายหญิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะเดินซื้อของเสียหน่อย…” นายหญิงสามเอ่ยอย่างกังวลใจ
“แม่นางทั้งหลาย รีบเดินหน่อย”
ผู้ติดตามอีกฝั่งร้องเรียก
แม่นางทั้งสองรีบตอบรับ พร้อมกับบอกต่อกันให้เดินตามไป
เฉิงเจียวเหนียงกำลังยืนที่หน้าแผงภาพเขียน เจ้าของแผงเป็นบัณฑิตอาวุโส สวมใส่ชุดคลุมสีดำที่เก่าและขาดวิ่น เดินทอดน่องกุมมือเข้ามารับความอุ่น พอเห็นเฉิงเจียวเหนียงและคนอื่นๆ ก็หยุดเดิน ทั้งยังรีบทักทายอย่างกระตือรือร้น
เฉิงเจียวเหนียงจ้องมองอย่าพินิจพิจารณา หญิงทั้งสองเข้าไม่ถึง แต่เทิดทูนบูชาความสามารถด้านอักษรและศิลปะ
“นายหญิง วาดเก่งหรือไม่เจ้าคะ” พวกนางเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเล็กน้อย
“ไม่เก่ง” นางเอ่ย
บัณฑิตอาวุโสได้ยินคำพูดจึงยิ้มเจื่อนออกมา
“นายหญิงพูดเช่นนี้ไม่ได้เกรงใจกันเลย” เขาเอ่ย
“เกรงใจแล้วมันดีกับท่านเช่นไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
บัณฑิตอาวุโสผงะ
“อย่างน้อยก็ชื่นใจหน่อย” เขาเอ่ย
“ถ้าเช่นนั้นท่านตั้งร้านอยู่ที่นี่เพื่อคำชื่นชมยินดีอย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงส่ายศีรษะเอ่ย
จะเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไร! หากตนกินดีอยู่ดีแล้วจะมานั่งรอฟังคำชมในวันที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้หรือ
บัณฑิตอาวุโสใบหน้าแดงก่ำ กำลังจะอ้าปากพูดแต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด จึงกลั้นไว้แล้วยิ้มแทน
“ใช่ นายหญิงพูดถูก” เขาฝืนยิ้มเอ่ย คำนับเฉิงเจียวเหนียงอย่างอ่อนน้อม
“แต่อักษรพวกนี้ แม่นางสามและพรรคพวกเอากลับไปให้ลูกๆ ดูได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
บัณฑิตอาวุโสยิ้มเบิกบานออกมาทันที มองไปยังหญิงทั้งสองที่โบกมือบอกปัด หลังจากจะนำภาพเขียนและลายมือส่งมาให้ตรงหน้า
“ดูหน่อยเถิด ดูหน่อยเถิด ดูเป็นแรงบันดาลใจก็ย่อมได้” เขาเอ่ย
หญิงทั้งสองลังเลเล็กน้อย มองทางเฉิงเจียวเหนียงที่หมกมุ่นพลิกดูอีกด้านของภาพเขียน
“อย่าขัด” หญิงคนหนึ่งเตือนเสียงเบา
หญิงทั้งสองคนจึงไม่ได้ลังเลต่อ ทั้งสองก้มศีรษะ ทั้งพูด ทั้งหัวเราะอย่างจริงจัง แล้วจึงเลือกมา
“แม่นาง หากต้องการ ไม่เพียงแต่ทำให้ใจมีความสุข ก็ต้องมีประโยชน์นั้นด้วย” บัณฑิตอาวุโสสอดมือ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยกับเจียวเหนียง “จะขยันหมั่นเพียรทำเรื่องต่างๆ ต้องมีความเป็นอิสระก่อน ข้าถึงแม้จะขายภาพเขียน แต่ก็ไม่ใช่ขายภาพเขียน”
ใช่หรือไม่ใช่ ประโยคนี้ช่างอ้อมค้อมนัก
เฉียงเจียวเหนียงพยักหน้ายิ้มบาง
“ท่านพูดถูกแล้ว” นางเอ่ย
พอพูดจบ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากที่ใดไม่รู้
“ทำนายดวงชะตา ทำนายดวงชะตา ขอให้โชคดี หลุดพ้นจากโชคร้าย ทำนายครั้งหนึ่งแค่หนึ่งเหวิน”
เสียงแหบแห้ง พร้อมกับเสียงไอสองดังขึ้นเป็นครั้งคราว
เฉิงเจียวเหนียงสีหน้าตกใจ
บัณฑิตอาวุโสร้องเรียก เอื้อมมือไปยกภาพเขียนขึ้นไปทางด้านหลัง
“ก็ดีกว่าคนทำนายนี่แล้วกัน แท้จริงแล้ว คนทำนายดวงชะตาก็มิใช่เพื่อทำนายดวงชะตา…”
ภาพเขียนถูกยกขึ้น พอมองผ่านที่วางไผ่จะเห็นต้นไม้ด้านหลังมีชายหนุ่มยืนกอดอกอยู่ โต๊ะเล็กตัวหนึ่งด้านหน้า ด้านข้างมีธงตั้งไว้อยู่
เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด
“เฉิงผิง”
เด็กหนุ่มกำลังสั่นพลางกระทืบเท้าให้อบอุ่น ทันใดนั้นก็ได้ยินคนเรียกชื่อตน จึงส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะเงยหน้ามองตามสัญชาตญาณ
ไม้ไผ่ที่สานเป็นขาตั้งรูปถูกยกขึ้น แม่นางน้อยผู้งดงามมองดูตน ยังไม่ได้รอเขาเอ่ยชมความงดงามของแม่นางน้อยคนนี้สักหน่อย ก็เห็นแม่นางน้อยยื่นมือถูไปมาเล็กน้อย แล้วดึงขาตั้งรูปตรงหน้าออกทันที บัณฑิตอาวุโสร้องตะโกนภาพเขียนหล่นกระจัดกระจาย นางเดินเข้ามาหาเขา
แข็งแกร่ง…ยิ่งนัก หญิงผู้นี้!
เฉิงผิงตกใจจนถอยหลังโดยไม่รู้ตัว