การหลบหนีเป็นไปอย่างเร่งด่วน ทันทีที่ออกมาจากวิหารหลวง เราก็มุ่งหน้าไปยังจุดที่มีรถม้าและม้า จัดหาม้ามาได้สองตัว รวมถึงเสื้อผ้าที่ต้องเปลี่ยนและของกินและเครื่องดื่มด้วยเช่นกัน

ในตอนแรกตั้งใจจะขี่ม้ากันไปคนละตัว แต่ไม่นานฉันก็ได้รู้ความจริงว่าฉันขี่ม้าไม่เป็นจนถึงขั้นสาหัส สุดท้ายจึงต้องนั่งไปกับราธบัน แม้จะตั้งใจซื้อม้าตัวใหญ่และแข็งแรงมาแล้ว แต่ม้าที่ต้องรองรับคนสองคนก็ยังเหนื่อยเร็วกว่าที่คิด พอตกกลางคืนหลังจากวิ่งๆ หยุดๆ ซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งวัน ทั้งฉันและม้าต่างก็อ่อนล้าหมดกำลัง มีเพียงราธบันที่ยังเป็นปกติ

ในตอนที่ฟ้ามืดจนไม่สามารถวิ่งต่อได้อีกต่อไปก็พบเมืองขนาดเล็กเมืองหนึ่ง เราหยุดตรงหน้าโรงแรมขนาดเล็กที่อยู่สุดขอบนอกเมือง

“โอยยย…”

หลังจากราธบันอุ้มฉันวางลงบนพื้น ก็พลันรู้สึกเหมือนทั่วทั้งร่างกรีดร้องขึ้นมาทันใด ความเจ็บปวดที่เหมือนกับกระดูกทุกส่วนในร่างหักออกแล้วต่อเข้าด้วยกันใหม่ และกล้ามเนื้อบิดตัวแล้วคลายออก ทำให้ฉันร้องโอดโอยออกมาโดยอัตโนมัติ

“เป็นไรไหมขอรับ?”

ฉันพยายามจะพยักหน้าให้กับคำถามของอีกฝ่าย ทว่าทันทีที่ก้าวเดิน เสียงร้องโอดโอยก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ท่านรอสักครู่ เดี๋ยวข้าไปหาห้องแล้วจะกลับมา”

ได้ยินดังนั้น ฉันก็มองเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ไม่ต้องกังวลขอรับ มิใช่ว่าข้าจะไม่รู้จักโลกภายนอก มีหลายครั้งที่ต้องออกมาจัดการภารกิจลับ เพราะฉะนั้นข้าคุ้นเคยกับการต่อรองเช่นนี้ดี”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น…”

ได้ยินดังนั้น ราธบันก็เหมือนจะตระหนักได้ว่าฉันกังวลเรื่องใด

“ถ้าหากว่าข้างในเกิดเอะอะโวยวายขึ้นมา ท่านก็หนีไปเสีย ม้าสีน้ำตาลตัวนั้นยังพอเหลือพละกำลังอยู่”

“…”

ฉันไม่อาจพูดอะไรได้เมื่อเห็นท่าทางที่พูดออกมาโดยปราศจากความลังเลของราธบัน ดูเหมือนเขาจะคิดถึงสถานการณ์ที่อาจจะถูกจับได้ตลอดเวลา

“แม้ที่นี่จะค่อนข้างเป็นระเบียบ ทว่าก็ยังไม่อาจวางใจได้ ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”

ราธบันจับมือฉันที่ไม่พูดอะไรครั้งหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปด้านใน ฉันจับบังเหียนม้าและนั่งลงบนม้านั่งด้านหน้าโรงแรมบนถนนที่เงียบสงัด

หลังจากออกจากวิหารหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาไกลถึงขนาดนี้ แม้ฉันจะได้เดินดูนั่นนี่จนแทบไม่มีสติแล้วในตอนที่ออกไปด้านนอกเพื่อตามหากริชไคร์ลเรสอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่พอได้มาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยซึ่งไกลกว่าครั้งก่อนมาก ตาของฉันก็แทบจะไม่หยุดนิ่งเลยเพราะมัวแต่กวาดตามองไปทั่ว

‘โชคดีที่ปากทางเข้าโรงแรมอยู่ฝั่งชายแดน’

แม้ฉันจะกังวลว่าเข้าไปในอาคารแล้วจะหาห้องได้หรือไม่ แต่โรงแรมส่วนมากของที่นี่เป็นแบบที่ขึ้นไปห้องพักได้ทันทีจากด้านนอก ราธบันคงจะจงใจเลือกสถานที่แบบนี้ และเพราะเป็นเขตนอกเมืองที่ค่อนข้างเงียบสงบ จึงทำให้ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรผ่านด้านหน้าสักเท่าไร แม้จะยังมีร้านรวงจำนวนหนึ่งที่เปิดไฟอยู่ตามถนน แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดเป็นพิเศษ

ทันใดนั้น มีชายสองคนเดินออกมาจากร้านค้าหนึ่งในนั้น ชายที่มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเมาหัวราน้ำ เหลือบมองฉันกับม้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งและเริ่มสนทนากันอย่างไม่สนใจ

“อย่างไรก็คงเข้าใกล้ทางนั้นไปไม่ได้สักระยะ นี่ก็ เฮ้อ ใครจะไปรู้ว่าจักรวรรดิกับเฟเวนจะเริ่มสงครามกันอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า?”

ได้ยินคำพูดของชายผู้นั้น ฉันก็กัดริมฝีปากเพื่อข่มกลั้นเสียงพลางเงี่ยหูฟัง จักรวรรดิ? สงคราม?

“ใช่ไหมเล่า แถมใครจะไปรู้ว่าเฟเวนจะแบ่งกองทัพทหารอย่างละเอียดจนเข้าไปถึงส่วนลึกของอาณาเขตของจักรวรรดิได้”

“พวกเราก็เลยได้เห็นกองทัพของจักรวรรดิที่ไม่ได้พ่ายแพ้มานานปราชัย แต่อย่างไรก็ดี จากนี้ไปเฟเวนคงต้องพบศึกหนักแล้วเสียแล้ว”

“ทำไม ชนะแล้วมิใช่หรือ?”

“ทำไมอะไรเล่า ก็กองทัพของจักรวรรดิมีองค์ชายรัชทายาทอย่างไร เจ้าจิ้งจอกสีทองจอมเจ้าเล่ห์นั่น”

“องค์ชายรัชทายาทเลออน?”

“ใช่”

ชื่อของเลออนที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหันยิ่งทำให้ฉันกลั้นหายใจ

“เจ้าจิ้งจอกดูเหมือนจะถอยไปเฉยๆ หรือ? เห็นได้ชัดว่าแสร้งทำเป็นล่าถอยแล้วกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่ เจ้าลองคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาดู ทั้งที่องค์ชายรัชทายาทดูเหมือนจะพ่ายแพ้ แต่สุดท้ายก็ไม่เคยพลาดของที่ตนต้องการเลย”

ได้ยินดังนั้น ฉันก็นึกถึงคำที่เลออนเคยกล่าว เขากล่าวว่าสุดท้ายคนที่จะชนะก็คือตน

‘คิดอยู่พอดีว่าไม่ติดต่อมาเลย ที่แท้แล้วมีเรื่องแบบนี้นี่เอง’

ไม่มีการติดต่อใดมาจากเลออนอีกเลยหลังจากที่หายตัวไปจากวิหารหลวงอย่างกะทันหัน แม้ฉันจะเคยสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนสถานการณ์ทางฝั่งเขาจะหนักหนากว่าที่ฉันคิดเอาไว้ ระหว่างนั้น ชายสองคนก็ถกเถียงบางอย่างเกี่ยวกับเลออนอีกครั้ง ก่อนลุกจากที่นั่งไป ฉันจับบังเหียนม้าที่ร้องฟึดฟัดพลางนึกถึงเลออนหลังจากเหลือตัวคนเดียวอีกครั้ง

ฟังจากที่ไม่ได้ยินคำพูดที่ว่าเขาตายหรือบาดเจ็บ แสดงว่ายังปลอดภัยดี แม้จะไม่รู้ว่าสงครามกับเฟเวนเป็นไปในทิศทางใด แต่หากเขาทำสิ่งที่ต้องการสำเร็จ จะต้องกลับไปหาฉันที่วิหารหลวงอีกครั้งเป็นแน่ ถึงแม้ตอนนั้นคนที่ต้อนรับเขาจะไม่ใช่ฉันแต่เป็นคาร์ลก็ตาม

‘ค่อยยังชั่ว คาร์ลยังไม่รู้ว่าเลออนอยู่ฝ่ายไหน’

เพื่อที่จะขุดคุ้ยเรื่องราวมากมายจากอีกฝ่าย เลออนได้ทำตัวเป็นศัตรูกับราธบันและแสร้งทำเป็นยื่นมือให้คาร์ล

‘เลออนจะเคลื่อนไหวยังไงต่อไปในอนาคตกันนะ’

หากไม่เกิดเรื่องอะไรกับเลออน อีกไม่นานเขาคงจะได้ยินข่าวคราวของพวกเรา แล้วเลออนจะทำอย่างไรต่อไปกันนะ? เขาจะมาหาฉันที่ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์แล้วไหม?

ระหว่างที่จมอยู่ในภวังค์ ก็เห็นราธบันเดินออกมาจากประตูโรงแรม

“ราธบัน”

หลังจากตรวจตราดูแล้วว่ารอบข้างไม่มีใคร ฉันก็เอ่ยเรียกเขา ราธบันรีบเดินเข้ามาหาฉันแล้วรับบังเหียนม้าไปพลางกล่าวเงียบๆ

“ขออภัยที่ช้าขอรับ”

“ไม่เป็นไร ไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม?”

“ไม่มีเรื่องใดเป็นพิเศษขอรับ แต่ว่า…”

“แต่ว่า?”

“ข้าเหมือนจะได้ยินข่าวคราวของแอสรัน”

ได้ยินดังนั้น ฉันก็แปลกใจ ไม่ใช่ว่าได้ยิน แต่เป็น ‘เหมือนจะได้ยิน’ อย่างนั้นเหรอ? พอฉันมองเขาด้วยสายตาที่สื่อว่าให้รีบพูด ราธบันก็จับมือฉันแล้วพาเดินไปทางห้องพัก

“ก่อนอื่นเข้าไปด้านในก่อนเถิดขอรับ เดี๋ยวข้าพาม้าไปฝากในโรงม้าแล้วจะรีบตามเข้าไป”

***

ห้องพักของโรงแรมยอดเยี่ยมกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ แม้จะไม่ได้หรูหราโอ่อ่า แต่ก็มีของที่จำเป็นครบครัน เครื่องนอนมีกลิ่นแห้งจากแดดและไร้กลิ่นเหม็นอับราวกับได้รับการดูแลอย่างดีเป็นปกติ อีกทั้งกลิ่นสมุนไพรตากแห้งที่แขวนอยู่บนผนังยังคละคลุ้ง ทำให้ร่างกายที่แข็งเกร็งคลายความตึงเครียดลงได้

“ต้องไปอาบน้ำ…”

แต่ทั้งที่บ่นพึมพำอย่างนั้น ฉันก็ลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ ร่างกายที่โคลงเคลงอยู่แต่บนหลังม้ามาตลอดทั้งวัน เพียงแค่ขยับนิ้วเดียวก็ยังเจ็บแปลบ ร่างกายที่กระทั่งนั่งมาด้วยสภาพสมบูรณ์ก็ยังรู้สึกเหนื่อย แต่นี่ยังมีอาการปวดหน่วงที่ตามมาหลังจากที่ใช้เวลายามค่ำคืนไปกับราธบันวันก่อน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะเป็นปกติได้หลังจากขี่ม้ามาตลอดทั้งวัน

“เฮ้อ…”

ทว่าก็พูดไปไม่ได้ว่าเจ็บ ฉันไม่อยากให้ราธบันเป็นกังวลจนต้องลดความเร็วในการวิ่งลงด้วยความเจ็บปวดที่น่าอายเช่นนี้

พอนอนลงบนผ้าผืนนุ่ม ความเหน็ดเหนื่อยก็พลันโถมเข้ามา เปลือกตาปิดลงโดยอัตโนมัติ

โชคดีที่ยังมีเสื้อผ้าเหลืออยู่ พรุ่งนี้เช้าค่อยอาบน้ำแล้วเปลี่ยนใส่ก็คงไม่มีปัญหา เพียงแต่ฉันอาจจะต้องนอนแบบไม่ค่อยสบายตัวเท่านั้นเอง ขณะที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างช้าๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น

“หลับแล้วหรือขอรับ?”

ได้ยินเขาเอ่ยเสียงเบา ฉันก็นอนส่ายหน้าอยู่บนเตียง แต่ดูเหมือนเขาจะมองหาร่องรอยความง่วงที่ติดอยู่บนเปลือกตาของฉัน

“ท่านคงจะเหนื่อยมากแล้ว นอนฟังก็ได้ขอรับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าเพียงแค่จะเล่าเรื่องที่ได้ยินมาตรงล็อบบี้ของโรงแรมให้ฟังเท่านั้น”

“อ๋อ เรื่องของแอสรัน…”

“ใช่ขอรับ เหตุผลที่ข้าไม่อาจกล่าวว่ามันคือข่าวคราวของแอสรันได้อย่างชัดเจน…เพราะอันที่จริงมันคือข่าวคราวของเฮกซ่า ท่านจำเรื่องเกี่ยวกับเฮกซ่าได้หรือไม่?”

“ข้ารู้ว่ามันเป็นปีศาจที่มีพิษร้ายแรง และบินได้ด้วยปีกหลายสิบปีก และยังชื่นชอบการฉีกทึ้งมนุษย์กินอีกด้วย…”

“ใช่แล้วขอรับ เรียกได้ว่ามันเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งมาก หากพิจารณาจากบันทึกเกี่ยวกับเฮกซ่าจะพบว่าทุกครั้งที่มันปรากฏตัว รอบๆ นั้นจะถูกเผาทำลายจนสิ้นซาก…

…อีกทั้งเฮกซ่ายังไม่ได้มีความเป็นปฏิปักษ์แค่กับมนุษย์เท่านั้น มันเป็นปีศาจที่โหดร้ายซึ่งถือว่าปีศาจตัวอื่นก็เป็นอาหารของมันเช่นกัน ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้ปีศาจตัวอื่นรอบนั้นจะแอบซ่อนตัวเมื่อเฮกซ่าโผล่มา อันที่จริงปีศาจทั่วไปไม่สามารถเอาชนะเฮกซ่าได้อยู่แล้ว แต่ว่า…”

“…แต่ว่า?”

“เห็นว่าสภาพของเฮกซ่าที่ถูกพบเห็นเมื่อไม่นานมานี้ที่ทรีออนน่าสังเวชมาก พวกเขาบอกว่ามันกำลังกรีดร้องคร่ำครวญด้วยสภาพที่ถูกเด็ดปีกออกไปกว่าครึ่ง ขาข้างหนึ่งก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส”

“คงไม่ใช่ว่า…”

ปีศาจแข็งแกร่งกลับได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งที่หน่วยอัศวินแห่งวิหารยังไม่ได้ออกโรงด้วยซ้ำ จะมีใครสามารถสร้างบาดแผลให้เฮกซ่าแบบนั้นได้กัน

“…แอสรันเขา”

“ขอรับ ข้าคิดว่าบางทีคงเป็นฝีมือของเขา แต่ในใจจะยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นฝีมือปีศาจตัวอื่น…”

ได้ยินดังนั้น ฉันก็ส่ายหน้า แน่นอน เฮกซ่าอาจจะต่อสู้กับปีศาจตัวอื่นอย่างที่เขาพูดก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงเกิดความมั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นแอสรัน

ในตอนที่กำลังฟังคำบอกเล่าของราธบันอยู่แบบนั้น ดวงตาของฉันก็เริ่มปิดลงอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง หลังจากได้ยืนยันข่าวคราวของทั้งเลออนและแอสรัน ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไร้สาเหตุ แม้ว่าสถานการณ์ของทั้งคู่อาจจะไม่ได้ดีก็ตาม

ราธบันเดินเตร่ผ่านหน้าไปทันทีที่ฉันเงียบลง หลังจากได้ยินเสียงเขาเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ ฉันก็เอนกายลงบนเตียงอย่างสบายใจมากขึ้นเล็กน้อย อีกเดี๋ยวฉันก็คงหลับไปในระหว่างที่ราธบันอาบน้ำ

และในตอนที่ฉันกำลังจะเคลิ้มหลับไปเช่นนั้น ก็ได้ยินเสียงราธบันเดินออกมาอีกครั้ง เขาตรงเข้ามาที่เตียงนอนและอุ้มร่างฉันที่นอนอยู่ขึ้น

“ราธบัน? ทำไม…”

ฉันเอ่ยเรียกเขาอย่างอ่อนแรงเพราะอยากถามว่าทำไมจู่ๆ ก็ทำแบบนี้ ราธบันตอบกลับทันที

“ท่านน่าจะเหนื่อยมากแล้ว นอนให้สบายเถิดขอรับ”

ในตอนที่กำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งเพราะได้ยินคำตอบของเขานั่นเอง

“ข้าจะอาบน้ำให้เอง”

ความง่วงหายไปในฉับพลัน

ราธบันว่าอะไรนะ?

เพราะเขาพูดออกมาอย่างสงบนิ่งมาก ฉันจึงคิดว่าฟังผิดไป ฉันมองเขาอย่างเหม่อลอย แขนของราธบันก็กระชับตัวฉันก่อนจะยกขึ้นอย่างนุ่มนวลราวกับถือกล่องกระดาษ

“หากนอนหลับไปเช่นนี้จะเป็นหวัดได้ขอรับ อีกทั้งวันนี้ยังอยู่บนม้าที่โคลงเคลงมาตลอดทั้งวันกล้ามเนื้อคงจะเกร็งไปทั่วทั้งตัว”

ได้ยินดังนั้น ฉันก็พยักหน้า ก่อนจะตั้งสติได้

“อา ถะ ถ้าอย่างนั้น ข้าอาบ…!

ฉันตะโกนพลางดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของเขา แต่อาการปวดกล้ามเนื้อที่แข็งตึงจนยากจะยกแขนก็พลันแล่นไปทั่วร่าง ฉันร้องโอดโอยและปล่อยแขนลง ราธบันมีสีหน้าราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ขึ้นมาทันใด ก่อนจะเดินไปทางห้องอาบน้ำอย่างไม่ลังเล

แม้จะแคบกว่าห้องอาบน้ำของวิหารหลวงมาก ทว่าสิ่งที่ควรมีก็มีครบครัน ไม่สิ บางทีของที่อยู่ในนี้ยังมากเสียกว่าของที่มีอยู่ในบ้านของราธบันอีกด้วยซ้ำ ราธบันวางให้ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ที่ทำขึ้นจากไม้วิสทีเรีย[1] ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งในห้องอาบน้ำ หยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งที่วางกองอยู่อย่างพอเหมาะขึ้น แช่น้ำอุ่น แล้วถือกลับมา

มาขนาดนี้แล้ว ฉันคิดว่าต่อต้านไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงหลับตาแล้วผ่อนคลายตัว ผ้าขนหนูอุ่นๆ กำลังกดเช็ดใบหน้าและมืออย่างพิถีพิถัน เสียงครางเบาๆ ดังขึ้นทุกครั้งมือของราธบันที่กดลงไปตรงจุดที่รู้สึกปวด ไอร้อนที่ลอยฟุ้งจากน้ำอุ่นที่เต็มอ่างอาบน้ำและสัมผัสมือของราธบัน ทำให้ดวงตาที่เปิดขึ้นเมื่อครู่ก่อนเริ่มค่อยๆ ปิดลงอย่างน่าอาย

ฉันรู้สึกได้ว่าเขายกแขนฉันขึ้น แล้วเริ่มถอดเสื้อตัวนอกออก หากปล่อยไว้แบบนี้เขาจะต้องถอดออกจนหมดแน่ ดังนั้นฉันควรจะส่งเขาออกไปแล้วอาบคนเดียวสิ…

มือที่เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังลูบไปทั่วร่างที่แข็งเกร็งอย่างนุ่มนวลอีกครั้ง นั่นเป็นความทรงจำสุดท้าย ก่อนที่ฉันจะหลับลึกไปอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาด

ราวกับที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก

ราธบันคุกเข่าอยู่ด้านหน้านักบุญหญิง ลมหายใจของนางขยับเข้าออกเป็นจังหวะไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้  แม้เขาจะถอดรองเท้าของนางออก แต่ดวงตาที่ปิดสนิทก็เพียงแค่สั่นน้อยๆ ไม่ได้ลืมขึ้นมา ราธบันนำผ้าร้อนห่อเท้าที่บวมเป่งของอีกฝ่าย ทันใดนั้นเสียงครางอย่างอ่อนล้าก็ดังออกมาจากปากของนางแม้ว่าจะนอนหลับสนิท

‘คงจะเหนื่อยมาก’

ราธบันหันหน้ามองรองเท้าที่เปื้อนไปด้วยขี้โคลน

แม้จะเดินทางด้วยการขี่ม้า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เดินเท้าเลย ระหว่างการเดินทาง ในเส้นทางที่ม้าวิ่งไม่สะดวก ก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องลงเดิน ซึ่งเส้นทางที่ลำบากที่สุดของวันนี้เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยดินโคลน ตลอดเวลาที่เขาเดินลากม้าอยู่ด้านหน้า นางเดินตามหลังเขาอย่างแข็งขัน

ขี้โคลนที่แห้งติดเป็นคราบถูกเช็ดออก เผยให้เห็นรอยถลอกแดงที่เกิดขึ้นทั่วเท้าขาวทันที ถึงมันจะไม่ใช่บาดแผลลึกแต่ก็น่าจะแสบมาก ทว่าระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ นักบุญหญิงกลับไม่เคยเอ่ยคำว่าเจ็บออกมาเลยสักครั้ง

ความปวดใจอันไร้ที่มาผุดขึ้นในซอกหนึ่งในหัวใจของราธบัน หลังจากจ้องมองนักบุญหญิง เขาก็เลื่อนสายตาลง มองเห็นมือตนเองที่ถือผ้าขนหนู เป็นมือที่ตอนกลางวันเขาจงใจสวมถุงมือเพื่อไม่ให้มองเห็น ยังคงมีรอยแผลแดงและพิษสีดำอยู่เหมือนเดิม

‘มันก็แค่ถูกกดไว้ชั่วคราว’

ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาและพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่อาริคใช้ช่วยกดการลามของบาดแผลและพิษไว้ แต่ถึงแม้นั่นจะช่วยขัดขวางการลามได้ แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น

‘หากไม่ได้รับการรักษาให้ถูกต้อง…’

มันก็จะเริ่มลามอีกครั้ง และบางทีแผลก็คงปริด้วยเช่นกัน หากตอนนั้นไม่ได้รับการรักษาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ดีจะเกิดอะไรขึ้นกัน

‘เหมือนจะเป็นพิษของปีศาจเลย’

ราธบันย้อนนึกถึงสหายร่วมรบที่เคยถูกพิษของปีศาจระหว่างการต่อสู้ในอดีต ขณะที่คิดว่าใกล้จะจับมันได้ ปีศาจก็ใช้พลังเฮือกสุดท้ายวิ่งหนีเข้าไปในหุบเขาลึกและชัน สุดท้ายสหายที่วิ่งตามมันไปก็เลยถูกพิษที่ปนอยู่ในน้ำลายที่มันพ่นออกมาเปรอะไปทั้งตัว

มันเป็นสถานที่ที่ลึกชันมาก ดังนั้นเหล่านักบวชที่ให้ความช่วยเหลือหน่วยอัศวินจึงอยู่ในจุดที่ห่างออกไปอีกสักพัก ราธบันและอัศวินคนอื่นๆ ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตนกดข่มพิษเอาไว้ และแบกร่างเขาวิ่งไป ทว่าก็เปล่าประโยชน์ สหายที่ไม่ได้รับการรักษาให้ทันท่วงทีจึงต้องพบกับจุดจบอันเลวร้าย หลังจากนึกถึงร่างของสหายที่เนื้อเน่าเปื่อย ราธบันก็ส่ายหน้า

ข้ายังไม่เป็นถึงขนาดนั้น แต่ว่า…

‘อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นนักบวชระดับสูงถึงจะรักษาได้ หากไม่ก็ต้องเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิง’

แม้เขาจะไม่ได้พูดความจริงข้อนั้นออกไป แต่นักบุญหญิงเองก็คงจะรู้ นางมักจะลูบคลำมือของเขาที่จับบังเหียนม้าอย่างไม่มีสาเหตุอยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่ากำลังใส่ใจเรื่องพิษไม่ผิดแน่

ราธบันนึกถึงตอนที่เขายื่นมือให้นางในวิหารหลวง ไปที่ไหนดีขอรับ ตอนที่ถามไปเช่นนั้น นักบุญหญิงจมอยู่กับความคิดไปชั่วครู่ ก่อนตอบว่าไปทรีออน เพื่อตามหาพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปของนางกลับคืนมา

คำตอบของนาง ทำให้ราธบันรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย ตอนนี้ทรีอออนเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดสำหรับนาง เรื่องที่เขาถูกพิษคงเป็นหนึ่งในเหตุผลใหญ่ที่ทำให้นางตัดสินใจไปที่นั่นทันที

ราธบันลุกขึ้น เขาจุ่มมือลงไปในอ่างอาบน้ำแล้วคนน้ำร้อนกับน้ำเย็นให้เข้ากัน ก่อนเดินกลับมาหานักบุญหญิงอีกครั้ง

แม้จะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ใบหน้ากลับดูสงบสุขยิ่งนัก ปลายนิ้วพลันรู้สึกคันยุบยิบเมื่อรู้ว่านั่นเป็นเพราะนางเชื่อใจเขา หลังจากมองนักบุญหญิงอยู่เช่นนั้น มือของราธบันก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนขยับเข้าไปหานาง

ตอนนี้เสื้อตัวนอกถูกถอดออกหมดแล้ว เหลือเพียงส่วนที่สวมไว้ด้านใน ยิ่งเขาปลดกระดุมแต่ละเม็ดตรงคอมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นผิวขาวกระจ่างใสที่เผยออกมาระหว่างเสื้อผ้า เมื่อปลดกระดุมเม็ดที่อยู่ด้านล่างลงไป ร่องรอยที่เขาทำไว้และร่องอกที่ขยับขึ้นลงช้าๆ ก็เผยออกมาทันที

“…”

ราธบันก้มใบหน้าเห่อร้อนจนแดง แล้วขยับมือ ยิ่งเขาลังเลแบบนี้ น้ำก็จะยิ่งเย็นแล้วทำให้นักบุญหญิงลำบากเท่านั้น แต่ทั้งที่รู้เช่นนั้น มือของเขาก็ยังหยุดการเคลื่อนไหวอยู่หลายครั้ง

‘…เคยคิดว่าชินขึ้นแล้วเสียอีก’

นี่เป็นการเข้าใจผิดครั้งใหญ่ อย่าว่าแต่เคยชินเลย กลับกลายเป็นว่ามือของเขาสั่นกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่เคยทำเป็นครั้งแรก แต่ทำไมมือถึงได้ลื่นถึงขนาดนี้

ทั้งที่มีมือใหญ่และหยาบกร้านกำลังสัมผัสร่างของตนอยู่ แต่นักบุญหญิงก็ยังไม่ลืมตา นี่เป็นหลักฐานว่านางเชื่อใจเขาถึงเพียงนั้น

ผ่านไปสักพักใหญ่ เขาถึงถอดเสื้อผ้าของนางออกจนหมดได้สำเร็จ เขาท่องบทคำสอนในพระคัมภีร์ในใจไปหลายต่อหลายครั้งพลางอุ้มนักบุญหญิงขึ้น

“…ราธบัน”

คงเพราะรับรู้ได้ถึงอ้อมแขนของเขา นักบุญหญิงพึมพำชื่อของเขาก่อนจะมุดตัวเข้ามาในอ้อมอก ร่างกายที่แนบชิดจนสัมผัสได้ทุกอย่างกระทั่งลมหายใจที่ปล่อยออกมาเพียงครั้งเดียวทำให้ราธบันกลืนน้ำลายอึกใหญ่

พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่

แม้จะรู้ว่าพระองค์คงไม่รับฟังคำขอของตน แต่ราธบันก็ยังแสวงหาพระเจ้า นี่คงจะเป็นค่ำคืนที่ยาวนานและลำบากยิ่งนัก

[1] วิสทีเรีย(등나무, Wisteria) เป็น พืชไม้ดอกที่อยู่ในสกุลถั่ว หนึ่งใน 10 ของสายพันธุ์ไม้เถาวัลย์มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเมืองหนาว มีความสูงได้ถึง 20 เมตร และกว้างได้ถึง 10 เมตร ใน 1 ก้านจะมีใบย่อยประกอบ 9-19 ใบ ดอกเป็นพุ่ม ช่อดอกยาว 10-80 ซม.ซึ่งคล้ายกับพืช วงศ์ราชพฤกษ์ มีสีม่วง สีม่วงเข้ม สีชมพูหรือสีขาว และไม่มีสีเหลืองบนใบ มักออกดอกในฤดูใบไม้ผลิ