ฉันกับราธบันเปิดประตูห้องที่เป็นจุดเริ่มต้นของทางลับอย่างระมัดระวัง โชคดีที่อาจเป็นเพราะระหว่างนั้นศพของชีเดลถูกเปิดโปง ที่พักของฉันจึงยังอยู่ในความเงียบสงบ
“ด้านนี้เป็นทางลับไปยังทางเข้าของวิหารหลวง”
พอฉันชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า ราธบันก็รีบเปิดมันออกและยกมือขึ้นเหนือผนังด้านในทันที โชคดีที่ประตูทางลับเปิดออกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของราธบันได้ ในตอนที่ราธบันกำลังเดินเข้าไปด้านในอย่างรีบเร่ง ฉันก็คว้าเขาไว้
“เดี๋ยวก่อนราธบัน จะออกไปทั้งแบบนี้ไม่ได้”
พูดจบ ฉันก็วิ่งไปทางห้องตัวเอง จากนั้นหยิบถุงผ้าและกระเป๋าออกมา แล้วรีบกวาดเหรียญกษาปณ์ทองกับอัญมณีต่างๆ ที่เก็บอยู่ในลิ้นชักลง
“ราธบัน เอาของที่อยู่ในลิ้นชักฝั่งนั้นไปด้วย”
ได้ยินดังนั้น ราธบันก็ทำสำคัญมหากางเขนอย่างรวดเร็วหนึ่งครั้ง ก่อนจะเปิดลิ้นชักอย่างไม่ลังเล ลิ้นชักที่เขาเปิดออกมีทรัพย์สมบัติมากมายของวิหารอยู่ ของเหล่านั้นถูกยัดลงในถุงผ้าที่อยู่ในมือราธบัน
นับแต่บัดนี้ไปเราจะต้องไปให้ไกลจากวิหารหลวงให้เร็วที่สุด ในกระบวนการดังกล่าว ไม่อาจเชื่อถือเพียงแค่สองขาของฉันกับราธบันได้ พวกเราต้องหาม้าวิ่ง อีกทั้งของกินและที่นอนก็สำคัญ
‘เท่านี้น่าจะพอแล้ว’
ดีจังที่อย่างน้อยฉันก็เคยออกไปข้างนอกครั้งหนึ่ง ฉันนึกย้อนถึงรถม้าและม้าที่รวมกลุ่มกันอยู่ในหมู่บ้านด้านนอกวิหารหลวงพลางกลับไปยังห้องที่เป็นจุดเริ่มต้นของทางลับกับราธบันอีกครั้ง ราธบันเข้าไปในทางลับก่อน ขณะที่กำลังจะตามเขาเข้าไป ฉันก็หันหน้ากลับและเก็บภาพที่พักเอาไว้
วิหารหลวง สถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อนักบุญหญิง
คงเพราะแบบนั้น ฉันที่ไม่ใช่นักบุญหญิงจึงไม่เคยรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่เลยสักครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็เป็นสถานที่ที่ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ไป และยังเป็นสถานที่ที่ฉันไม่มีวันกลับมาได้อีกแล้วเช่นกัน แม้จะรู้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องจากที่นี่ไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะจากไปเช่นนี้
“…ท่านนักบุญหญิง”
ฉันหันศีรษะกลับไปเพราะได้ยินเสียงของราธบัน ก็พบว่าเขากำลังมองฉันด้วยแววตาเป็นกังวล คงเพราะคิดว่าฉันลังเลที่จะออกไป ราธบันยื่นมือมาหาฉันอย่างระมัดระวัง
“ไปที่ไหนดีขอรับ”
ได้ยินดังนั้น ฉันก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ไปที่ไหนดีล่ะ
นี่เป็นคำถามที่ฉันคิดมาตั้งแต่วินาทีแรกที่มายังโลกใบนี้ หากต้องหนีออกจากวิหารหลวงสักวันหนึ่ง ฉันควรจะไปที่ไหนดี
ในตอนแรกเพียงแค่อยากไปให้ไกลเท่านั้น ทำสิ่งที่ฉันไม่เคยได้ทำในชีวิตครั้งก่อน ไปชมสิ่งสวยงามที่ฉันไม่เคยได้เห็น ไปให้ไกลที่สุดจากวิหารหลวง ไปให้ไกลจากราธบัน เลออน และแอสรัน รวมถึงตั้งใจจะออกห่างจากอีริส
นั่นคือเป้าหมายของฉัน ทว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
ฉันมองมือที่ยื่นมาให้ มือซึ่งได้รับบาดแผลจนเปลี่ยนเป็นสีดำ มือที่จับใบกริชที่แหลมคมอย่างไม่ลังเลเพื่อปกป้องฉัน หากเป็นไปตามเนื้อเรื่องเดิม ราธบันไม่มีทางทำจนถึงขนาดนี้เพื่อฉัน
ไม่ใช่แค่ราธบัน ทั้งเลออน ทั้งแอสรัน ทุกคนต่างก็เคลื่อนไหวเพื่อฉัน ทุกคนเปลี่ยนไป
ฉันจับมือราธบันพลางกล่าว
“ไปทรีออน”
ทรีออน อีริสอยู่ที่นั่น ฉันต้องไปเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าคืนจากนาง
ฉันจับมือราธบันและเดินเข้าไปในความมืด
***
“รีบตามหาเสีย!”
เหล่านักบวชเปิดประตูห้องของนักบุญหญิงอย่างแรง นักบวชหญิงที่เฝ้าอยู่หน้าห้องตรงทางเดินต่างก็มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก
“ไปหานักบุญหญิงตัวปลอมกับราธบัน อดีตผู้บัญชาการอัศวิน! เร็ว!”
เหล่านักบวชที่เข้าไปในห้องก่อนเห็นลิ้นชักที่ถูกเปิดอยู่ด้านใน แล้วตะโกนขึ้น
“ตรงนี้มีร่องรอยการบุกรุกเข้ามาขอรับ!”
“ดูเหมือนจะนำสมบัติของวิหารไปขอรับ!”
เหล่านักบวชค้นหาอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ไม่พบตัวนักบุญหญิงกับราธบันที่ใดเลย ในตอนที่บนหน้าของพวกเขาปรากฏแววล้มเหลว ก็มีคนเดินกะเผลกเข้ามาในห้อง
เป็นคาร์ล
ทันทีที่เขาเข้ามา เหล่านักบวชก็ค้อมตัวให้เขา สายตาที่พวกเขามองคาร์ลเต็มไปด้วยความเกรงกลัว
นักบวชผู้ถูกนักบุญหญิงตัวปลอมที่กลัวว่าตัวตนของตนจะถูกเปิดเผยนำไปขังไว้คุกใต้ดิน แม้จะอยู่ในคุกใต้ดิน แต่เขาก็ยังไม่ลืมคำสั่งสอนของพระเจ้าและดูแลนักโทษ หากเขาผู้นั้นไม่เป็นกังวลและเกิดอยากรู้ว่าชีเดลได้กลับไปอยู่เคียงข้างพระเจ้าอย่างสงบสุขหรือไม่ ก็คงเป็นเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะพบศพของชีเดล
หลังจากศพของชีเดลถูกพบ คาร์ลก็ได้ออกมาจากคุกใต้ดินโดยที่ไม่มีใครโต้แย้ง ไม่มีใครคิดว่าเขาคือนักโทษ คิดว่าการที่เขาได้ออกมาจากที่นั่นเป็นเรื่องสมควรแล้ว
คาร์ลอ่อนแอ ดังนั้นเขาเป็นเหยื่อ
แม้จะเกิดความสงสัยในตัวคาร์ลไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อเห็นท่าทางเดินกะโผลกกะเผลกของเขา ความเห็นใจที่พลันเกิดในจิตใจก็ลบความสงสัยออกไปหมด
หลังจากเข้ามายืนในห้อง คาร์ลมองดูหน่วยอัศวินที่ยังคงลังเลด้วยสีหน้ายากจะเชื่อพลางเดาะลิ้นในใจ
‘คงต้องรีบเปลี่ยนให้เป็นคนใหม่โดยเร็วที่สุดเสียแล้วสิ’
ล้วนแต่เป็นอัศวินที่ใช้เวลาร่วมกับราธบันมาเป็นระยะเวลานาน ไม่ว่าจะใช้งานอย่างไร คนพวกนั้นก็คงไม่ละทิ้งความเชื่อมั่นที่มีต่อราธบันได้ง่ายๆ
คาร์ลครุ่นคิดว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนหน่วยอัศวินแห่งวิหารได้โดยเร็วที่สุดอย่างไร้ปัญหา คำตอบออกมาง่ายมาก
‘ปีศาจปรากฏตัวขึ้นที่ทรีออนนี่’
ในความทรงจำของเขา เฮกซ่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งมาก บางทีคงจำเป็นต้องเสียสละชีวิตของอัศวินจำนวนมากเพื่อกำจัดมัน นี่เป็นเรื่องที่มีผลดีต่อกันและกัน เขาสามารถจัดการเหล่าอัศวินที่เชื่อมั่นในตัวราธบันได้ ส่วนเหล่าอัศวินก็สามารถไปอยู่เคียงข้างพระเจ้าได้เท่าที่ตนต้องการ อีกทั้งต่อให้เป็นคนที่มีชีวิตรอด แต่หากได้เห็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงคนใหม่ อย่างไรความเชื่อมั่นของตนก็คงถูกสั่นคลอน
คาร์ลมองดูเหล่านักบวชที่ค้นที่พักของนักบุญหญิงพลางเข้าไปใกล้หน้าต่าง ไกลๆ ตรงนั้น เหล่านักบวชกำลังเคลื่อนย้ายศพหนึ่งที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว เป็นศพของอาริค
อาริคพาเหล่านักบวชที่ตามหานักบุญหญิงและราธบันวิ่งไปจนถึงสุดวิหารหลวง เหล่านักบวชรู้ว่าถูกตบตาจึงโกรธเกรี้ยวและล้อมเอาไว้ เขาก็เริ่มตะโกนขึ้นทันที
“ทุกคนถูกคาร์ลหลอกแล้ว! คนผู้นั้น…!”
คาร์ลมาถึงก่อนที่อาริคจะได้พูดความจริง
“คนผู้นั้นได้รวมหัวกับนักบุญหญิงตัวปลอมแล้วตั้งใจจะทำให้วิหารหลวงวุ่นวาย!”
แค่คำพูดนั้นก็เพียงพอ ความวุ่นวายที่สั่นคลอนวิหารหลวงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากำลังหาที่ระเบิด และคาร์ลก็ได้ชี้นำหนทางนั้นให้อย่างแม่นยำ เหล่านักบวชพุ่งเข้าใส่อาริค น้ำเสียงของคาร์ลที่บอกให้สงบลงกลับยิ่งกระตุ้นพวกเขา แน่นอนว่าคาร์ลตะโกนเพราะรู้ว่าจะทำให้เป็นเช่นนั้น
เรื่องราวจบลงง่ายเหลือเกิน ความตื่นตัวความเหล่านักบวชเริ่มสงบลงหลังจากเลือดของอาริคไหลลงพื้น เมื่อเห็นอาริคที่หายใจรวยรินด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ คาร์ลก็รับรู้ได้ว่าเวลาชีวิตของอาริคเหลืออีกไม่นานแล้ว แม้เขาจะไม่ได้ลงมือ
‘ไอ้โง่เอ้ย เจ้าควรจะหนีไปเสีย’
แต่แน่นอนว่าถึงทำเช่นนั้นเขาก็ไม่คิดจะไว้ชีวิตอยู่ดี
ใบหน้าของอาริคซีดขาว เหงื่อไหลราวกับฝนตก นั่นแสดงว่าเขาคงใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างเต็มที่ ไม่ต้องถามว่าเขาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดนั้นที่ใดก็รู้ได้ ชีเดลได้รับบาดแผลร้ายแรงที่คอและเสียชีวิต มีดที่เต็มไปด้วยเลือดถูกพบด้านข้างเขา ต่อให้ไม่ใช่อัศวิน แต่บาดแผลนั้น นักบุญหญิงไม่มีทางทำให้เกิดขึ้นได้
‘รักษาให้ราธบันอย่างนั้นหรือ’
คาร์ลหัวเราะหยัน อย่างไรอาริคก็เป็นนักบวชทั่วไป พลังศักดิ์สิทธิ์อันอ่อนแอนั่นไม่อาจรักษาพิษนั้นได้
‘แสดงว่าอาการคงย่ำแย่จนถึงกับที่ต้องรับการรักษาจากอาริค’
ถึงอย่างไรพิษที่ทาบนกริชก็คือพิษของปีศาจ แม้จะมีนักบวชระดับสูงตามติด ก็ยังไม่อาจรักษามันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในภายภาคหน้าก็คงรักษาไม่ได้เช่นกัน บัดนี้ทุกวิหารคงออกคำสั่งให้ตามจับนักบุญหญิงกับราธบันแล้ว พวกเขาไม่สามารถไปรับความช่วยเหลือจากวิหารไหนได้
‘นางจะทำอย่างไร’
คาร์ลลองคิดว่านักบุญหญิงจะเคลื่อนไหวอย่างไรชั่วครู่ หากนางนึกถึงสิ่งที่ตนเคยโดนที่นี่ก็คงจะหนีไปให้ไกล บัดนี้นางไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ และคงจะถูกไล่ล่าจากวิหารหลวงไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ ดังนั้นการแอบเข้าไปในเขตทุรกันดารที่ไม่มีกระทั่งวิหารคงจะปลอดภัยที่สุด
‘ทว่า…’
คาร์ลนึกถึงนักบุญหญิงที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่ อีริส
‘บางทีอาจจะไปตามหาพลังศักดิ์สิทธิ์คืนก็ได้’
เขาไม่อาจซ่อนรอยยิ้มเยาะ นักบุญหญิง ไม่สิ อีเบลลีน่าไม่มีทางทำได้ คาร์ลหมุนตัวกลับ ทุกคนกำลังรอฟังคำพูดของเขา เหล่านักบวชระดับสูงที่เชื่อฟังเขาเดินถือชุดเครื่องแบบของผู้อาวุโสแทรกผ่านผู้คนมา
“ท่านผู้อาวุโสคาร์ล”
คาร์ลมองชุดเครื่องแบบผู้อาวุโสที่ยื่นมาหาตนอย่างมีมารยาทพลางทำสีหน้าชอกช้ำ จากนั้นเอื้อมมือออกไปประหนึ่งว่าเขาไม่ต้องการแต่ก็ไม่อาจเลี่ยงได้ ไม่ช้า ชุดเครื่องแบบผู้อาวุโสก็คลุมบนไหล่เขา
คาร์ลกล่าวกับเหล่านักบวชที่มองตนอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“แม้การไล่ล่านักบุญหญิงตัวปลอมจะสำคัญ แต่พวกเรามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น”
เขาทำสำคัญมหากางเขนสั้นๆ ก่อนจะกล่าวต่อ
“เราควรรีบไปพาท่านนักบุญหญิงตัวจริงมาที่วิหารหลวงโดยเร็ว ไม่มีเวลาให้รอแล้ว นักบุญหญิงตัวปลอมอาจจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรกับท่านผู้นั้นระหว่างนั้นก็ได้ เพราะฉะนั้น…”
คาร์ลยกมือขึ้น และชี้ไปยังสถานที่ห่างไกล
“พวกเราต้องไปทรีออน”
ได้ยินดังนั้น เหล่านักบวชก็ระเบิดเสียงโห่ร้องและปรบมือ คาร์ลครุ่นคิดท่ามกลางเสียงเหล่านั้น
ใช่แล้ว รีบไปทรีออนกันเถิด ในคราวนี้ก็เช่นกัน เด็กสาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็คงจะหวาดกลัวและตัวสั่นให้กับพลังของตนเองเป็นแน่ เขาต้องปลอบโยนและทำให้เด็กสาวคนนั้นไว้วางใจด้วยคำพูดที่มีเมตตา และกลายเป็นคนที่นางพึ่งพามากที่สุด
นักบุญหญิงอีกผู้หนึ่งที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ส่งมาเพื่อเขา เขาต้องไปหานางก่อนที่อีเบลลีน่าจะไปพบตัว แล้วความสงบสุขก็จะกลับมาสู่วิหารหลวงและโลกใบนี้เหมือนเมื่อก่อน บางทีนักบุญหญิงคนใหม่ก็คงเป็นเหมือนอีเบลลีน่า กว่าจะรู้ว่าตัวเองเจอกับอะไรอยู่ก็ผ่านไปสักพักแล้ว
***
“ฮา…”
เมื่อเป่าฟู่ๆ ใส่มือที่แข็งด้วยความเย็น ไอสีขาวก็พลันออกจากปาก
ยังอีกนานกว่าจะถึงฤดูหนาว ทว่า ณ เขตที่ถูกเรียกว่าทรีออนซึ่งอยู่ปลายสุดของทวีปกลับอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในเขตชายแดน มีภูมิประเทศทุรกันดาร หุบเขาลึก แทบไม่มีพื้นดินให้ทำการเกษตรและยังไม่ใช่ที่ที่เหมาะแก่การล่าสัตว์
อีริสบีบมือที่แข็งอยู่หลายครั้ง ก่อนแช่มือลงไปในลำธารที่เย็นยะเยือกอีกครั้ง แม้จะขยี้ผ้าเก่าๆ ที่เปรอะไปด้วยเลือดไม่รู้กี่หน แต่รอยพวกนั้นก็ไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็หยุดมือไม่ได้ นางต้องรีบซักให้เสร็จแล้วนำไปตากที่กองไฟ เพราะอย่างไรผ้าที่ใช้พันแผลก็ยังดีกว่าพื้น
ผ่านไปสักพัก หลังจากบิดผ้าด้วยแรงทั้งหมด อีริสก็นั่งลงบนหินเรียบๆ แถวนั้นชั่วครู่ ก่อนจะทุบหลังกับหัวเข่า หลังจากกวาดสายตาดูแล้วว่ารอบข้างไม่มีใคร นางก็จับสองมือแน่น
ฮวาก! เสียงเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นพร้อมกับพลังศักดิ์สิทธิ์สีใสที่เพียงแค่มองก็ทำให้จิตใจผ่อนคลายแผดเผาอยู่บนปลายนิ้วของนาง ทว่าใบหน้าของอีริสที่เห็นมันกลับเต็มไปด้วยความหวาดผวา
“ทำไม…”
มันเป็นพลังที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในตอนแรกเป็นเพียงประกายไฟของพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ทำได้แค่ช่วยในการรักษาบาดแผลในหุบเขาที่ไม่มีหมอ หลังจากรักษาไปไม่กี่คน ก็มีใครบางคนเรียกตนว่านักบุญหญิง
หลายคนเริ่มก้มหน้าแล้วสวดภาวนาให้นาง บางคนนำร่างลูกที่ตายไปแล้วของตนเองมา ร้องไห้คร่ำครวญขอให้ช่วย ท่าทางบ้าคลั่งของผู้คนทำให้อีริสรู้สึกกลัวและวิ่งหนีออกมาจากที่นั่นราวกับเสียสติ พอคิดถึงตอนนั้น ดวงตาของอีริสก็แดงก่ำ
“ข้าไม่เคยต้องการของเช่นนี้เสียหน่อย…”
อีริสน้ำตาคลอพลางมองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่โอบคลุมมือของตน
“ข้ากลัว…”
น้ำตาไหลออกจากดวงตาของนาง
ทำไมถึงมีพลังแบบนี้ได้? ต่อจากนี้ไปต้องทำอย่างไร?
นางเรียนรู้ว่าผลไม้ใดในหุบเขาที่มีพิษ เรียนรู้ว่าต้องจับปลาในลำธารอย่างไร แต่กลับไม่มีใครบอกเลยว่าในตอนที่จู่ๆ ก็มีพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาต้องทำอย่างไร อีริสมองมือตนเอง ก่อนซุกหน้าลงบนเข่า เสียงของนักบวชที่ตะโกนว่าตนคือนักบุญหญิงคนใหม่ยังคงดังก้องอยู่รอบหู อีริสปิดหูแล้วส่ายหน้า
ใครก็ได้ ได้โปรดช่วยที
เสียงร้องสะอึกสะอื้นที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวปะปนไปกับเสียงลำธารก่อนจะจางหายไป
***
การหนีออกมาจากวิหารหลวงทำได้ง่ายกว่าที่คิด หลังจากแทรกกายผ่านความมืดจนออกมาจากโกดังเก็บของที่อยู่แถวประตูใหญ่ ก็ยังไม่มีใครตามพวกเรามา แม้จะรู้สึกกังขากับการตอบสนองของวิหารหลวงที่ช้ากว่าที่คิด แต่ฉันก็รีบออกจากที่นั่นด้วยความโล่งใจ
โชคดีที่ชุดนักบวชทำให้อยู่ในสภาพที่ปกปิดใบหน้าได้ ทว่าเพราะช่วยปิดแค่ใบหน้าเท่านั้น ราธบันจึงยังเป็นที่สะดุดตาของผู้คนระหว่างที่ออกไป เขาผู้เคยเป็นผู้บัญชาการหน่วยอัศวิน มีทักษะด้านศิลปะดาบและสรีระที่เหนือกว่าอัศวินคนอื่น สุดท้ายราธบันจึงต้องก้มศีรษะออกจากประตูใหญ่ของวิหารหลวงเพื่อหลบหลีกสายตาของอัศวินลาดตระเวนราวกับคนกระทำความผิด
ท่าทางแบบนั้นของเขา ทำให้ฉันเองก็คอตก
‘เป็นเพราะฉัน’
ราธบันเลือกจับมือฉัน และค่าตอบแทนก็คือสิ่งนี้ เขาที่เคยก้าวออกจากประตูพร้อมกับเสียงโห่ร้องและคำยกย่องจากผู้คนอยู่เสมอ ตอนนี้กลับต้องปกปิดใบหน้า ก้มหัวและเดินผ่านประตูนี้ไป ฉันไม่กล้ากระทั่งคาดเดาว่าสิ่งที่เขาต้องสูญเสียไปคือสิ่งใด และมากมายเพียงใด
ก่อนจะผ่านพ้นวันนี้ไป ชื่อของเขาจะถูกขุดออกมาจากบันทึกอันเป็นเกียรติยศของวิหารหลวงโดยไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย และถูกใส่ความไปด้วยมลทินอันอัปยศที่สุด อัศวินผู้เที่ยงตรงและสูงสง่ากว่าผู้ใด บัดนี้คงต้องถูกเหน็บแนมด้วยถ้อยคำกระแหนะกระแหนและหยาบโลน
ฉันผ่อนแรงจากมือที่จับอยู่โดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นราธบันก็เพิ่มแรงที่มือที่จับกันขึ้นมา ราวกับว่าต่อให้ฉันปล่อย เขาก็จะไม่มีวันปล่อยมัน
พวกเราหนีออกจากวิหารหลวงไปด้วยมือที่จับกันใต้ชุดนักบวชเช่นนั้น