ฉันขยับฝีก้าวอย่างรวดเร็วพลางกระชับฮู้ดที่ปกปิดใบหน้า โชคดีที่ในบ้านของราธบันยังมีชุดนักบวชของเขาที่ฉันนำมาคืนในครั้งที่แล้วอยู่ ไม่ได้มีแค่ฉันที่สวมชุดนักบวชเท่านั้น ราธบันเองก็เดิมก้มศีรษะและสวมชุดนักบวชตัวใหญ่เช่นกัน แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังดูสะดุดตาเพราะรูปร่างและส่วนสูงอยู่บ้าง

เป็นเพราะตื่นตั้งแต่ฟ้าสาง การเดินทางกลับไปยังที่พักของฉันจึงไม่ยากเย็นเท่าไรนัก ฉันเดินไปบนเส้นทางที่ไม่มีผู้คนอย่างรีบเร่งพลางมองมือของราธบันที่จับมือฉันไว้

‘ต้องรีบรักษา’

แม้บาดแผลจะสมานตัวแล้ว แต่ผิวหนังที่เปลี่ยนเป็นสีดำยังคงเดิม ไม่สิ มันดูจะกระจายกว้างขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

‘ไอ้ชั่ว’

ฉันนึกถึงคาร์ลพลางกัดฟัน ฟังจากคำพูดที่ชีเดลพ่นออกมา ฉันก็พอจะคาดเดาเรื่องราวคร่าวๆ ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น คาร์ลที่เข้าไปอยู่ในคุกใต้ดินคงจะพูดเป่าหูชีเดล เห็นได้ชัดว่าฉันสั่งให้แยกขังเขาเอาไว้ แต่คาร์ลคงจะโน้มน้าวเหล่าผู้คุมได้แน่

‘เป็นความผิดของฉันเอง’

เพราะมัวแต่จดจ่อจิตวิญญาณอยู่กับเรื่องที่สูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไป จนกระทั่งทำให้ฉันจัดการเรื่องของคาร์ลได้ไม่ดี ถ้าหากฉันมีสติให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย ราธบันก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวด้วยเรื่องแบบนี้

‘จะทำยังไงดี’

การถอนพิษ จำเป็นต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ในตอนที่ฉันถามราธบันว่าพิษที่ทาอยู่บนกริชรุนแรงหรือไม่ เขาลังเลไปชั่วครู่ ก่อนตอบว่าไม่เป็นไร แสดงว่ามันจะต้องเป็นแน่

‘พิษที่นำมาเพื่อฆ่าฉันไม่มีทางไม่ร้ายแรง’

ฉันเห็นอย่างชัดเจนว่าความเกลียดชังที่ชีเดลมีต่อฉันมันมากมายเพียงใด บางทีนั่นคงเป็นพิษที่ร้ายแรงพอกับความเกลียดชังที่เขามีให้ฉัน

ในตอนที่ราธบันและฉันกำลังเข้าใกล้สวนเพื่อใช้ทางลับนั่นเอง

“ท่านนักบุญหญิง เซอร์ราธบัน”

มีเสียงเอ่ยเรียกพวกเราราวกับกำลังรออยู่

“…!”

ร่างกายแข็งทื่อไปทันใด ความรู้สึกที่หัวใจร่วงหล่นคงเป็นเช่นนี้ ฉันคิดว่าเราหลบซ่อนมาได้อย่างดี แต่ไม่นึกเลยว่ามาถึงตรงนี้แล้วจะถูกใครบางคนจับได้ แล้วทำไมจะต้องเป็นตรงหน้าทางลับที่คนอื่นมองดูแล้วไม่ต่างจากกำแพงทั่วไปด้วย เขาคงจะไปสืบหาแน่ว่าพวกเรากำลังตั้งใจจะทำอะไรตรงนี้

‘ทางลับอื่นจะถูกเปิดเผยไม่ได้’

ราธบันหมุนตัวกลับไปก่อน ฉันคิดว่าเขาจะข่มขู่และทำให้อีกฝ่ายสลบไปทันที ทว่าราธบันกลับเอ่ยเรียกชื่อของนักบวชที่หยุดยืนอยู่ระหว่างพวกเราเงียบๆ

“นักบวชอาริค”

“อา…”

ฉันหลุดอุทานไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินชื่อนั้น

‘คนผู้นี้…’

ก็คือนักบวชอาริคผู้นั้นหรอกเหรอ ฉันหมุนตัวกลับแล้วพิจารณาเขาอย่างระมัดระวัง

ร่างกายผอมแห้งเล็กน้อย และค่อนข้างสูง หน้าตาธรรมดาที่หากเดินเฉียดผ่านกันก็ยังจดจำไม่ได้ เป็นนักบวชธรรมดาที่ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ เขากล่าวขณะค้อมศีรษะ

“ข้าพบศพของชีเดลในบ้านแห่งความตาย เซอร์ราธบัน กริชเปื้อนเลือดด้วยเช่นกัน นั่นคงฝีมือท่านสินะ คิดจะหนีไปอย่างนั้นหรือ?”

“…”

ได้ยินดังนั้น ราธบันก็เข้ามาขวางหน้าฉัน ฉันจ้องเขาเขม็งอยู่ด้านหลังราธบันด้วยความตึงเครียด อาริคค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองฉัน ฉันสบตากับอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง เขามองฉันด้วยสายตาที่กำลังค้นหาบางสิ่ง

ผู้ที่ทำให้หลั่งน้ำตาเพียงแค่ได้ยินชื่อ ผู้ที่เป็นคนพิเศษสำหรับอีเบลลีน่า บางทีสิ่งที่เขาตามหาขณะมองฉันอาจจะเป็นความทรงจำต่างๆ ที่เขาเคยทำร่วมกับนาง ทว่าตัวฉันที่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นก็ทำได้เพียงจ้องไปที่เขาด้วยสายตาหวาดระแวงเท่านั้น

เขาจ้องฉันอยู่สักพัก ก่อนจะก้มศีรษะลงอีกครั้งพลางขยับเข้าไปหาราธบันหนึ่งฝีก้าว

“ข้าขอดูจุดที่ได้รับบาดเจ็บหน่อย”

“…”

“ข้ารู้ว่าที่กริชมียาพิษ แม้จะไม่รุนแรงแต่ข้าก็อยากใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าในการช่วยเหลือ”

แม้จะมีความคิดว่าอาริคตั้งใจจะทำอันตรายอะไรกับราธบันหรือเปล่า แต่หากเขามีความตั้งใจเช่นนั้นจริง ไม่สู้ตอนนี้วิ่งออกไปด้านนอกแล้วตะโกนเสียงดังว่าตรงนี้มีนักบุญหญิงตัวปลอมกับคนทรยศอยู่ดีกว่า

ไม่รู้เพราะราธบันเองก็คิดแบบนั้นหรือไม่ เขาถึงได้ยื่นมือให้อาริค อย่างไรพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ใช้ทำร้ายใครไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องกังวลว่าอาริคจะใช้พลังศักดิ์เพื่อทำเรื่องสกปรก

พลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามโอบล้อมมือของราธบัน ฉันโน้มตัวเล็กน้อย มองท่าทางของอีกฝ่าย

พลังที่พระเจ้ามอบให้เพื่อโลกใบนี้ ถ้าเช่นนั้นแล้วแบ่งให้ทุกคนอย่างทั่วถึงจะไม่ดีกว่าเหรอ กลับมอบพลังที่แข็งแกร่งเกินไปให้กับเด็กสาวซึ่งเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น

ตอนนี้ฉันไม่อาจคิดว่ามันคือพรได้อีกแล้ว

ถ้าหากว่าอีเบลลีน่าไม่ได้มีพลังใดๆ ทั้งสิ้น นางก็คงไม่ต้องมาวิหารหลวง และหากเป็นเช่นนั้น อีเบลลีน่าก็คงไม่ต้องพบกับคาร์ล

อีเบลลีน่ามาวิหารหลวงตั้งแต่ยังเด็กมาก ดังนั้นอีเบลลีน่าจึงได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับสถานการณ์ก่อนที่นางจะมายังวิหารหลวงจากบันทึกของวิหารหลวงมากกว่าความทรงจำของนางเสียอีก

มันเขียนไว้ว่าอีเบลลีน่าใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่กับพ่อและแม่ในหมู่บ้านในหุบเขา วันหนึ่งขณะที่อีเบลลีน่าไปวิหารเพื่อขอพรให้แคล้วคลาดจากปีศาจ พลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามพลันแผ่กระจายไปทั่วทั้งโลก ด้วยเหตุนี้อีเบลลีน่าจึงได้รับการพิสูจน์ว่าคือนักบุญหญิง และมาวิหารหลวงทันที ในบันทึกที่ค่อนข้างเป็นความลับมีเขียนไว้ว่าพ่อกับแม่ได้รับเงินจำนวนมากเป็นค่าตอบแทนในการส่งนางมายังวิหารหลวง และได้เร้นกายจากไปเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามา

ถ้าอีเบลลีน่าไม่ได้มาวิหารหลวงจะเป็นอย่างไรกันนะ นางคงจะห้อมล้อมไปด้วยครอบครัวและเพื่อนๆ ได้ใช้ชีวิตไปแต่ละวันอย่างมีความสุขและเรียบง่าย

ชีวิตเรียบง่ายที่แค่ได้กระซิบกระซาบความลับของกันและกันกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน วันที่มีตลาดก็จับมือคนในครอบครัวพากันไปดูของสวยๆ งามๆ พลางออดอ้อนว่าอยากได้ บางทีวันหนึ่งอาจจะได้พบเด็กหนุ่มที่มองตนเองด้วยใบหน้าขวยเขิน และได้คบหาเป็นคู่รักกัน

“…เรียบร้อยแล้ว”

ระหว่างที่จมอยู่ในภวังค์ พลังศักดิ์สิทธิ์หยุดอยู่บนมือของราธบันก็จางหายไปแล้ว เมื่อมองดูมือของราธบันก็พบว่าส่วนที่เป็นสีคล้ำจากการที่พิษแพร่กระจายลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดกว่าตอนที่เห็นครั้งก่อน บาดแผลก็สมานมากขึ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น บาดแผลและพิษยังไม่ได้หายไปจนหมด

“มันยังพอให้…อดทนต่อได้อีกหน่อย”

อาจเพราะถ่ายเทพลังศักดิ์ไปทั้งหมด ใบหน้าจึงอาริคซีดขาว บนหน้าผากมีเหงื่อไหลออกมาดั่งฝนตก

“รีบ…รีบหนีไปเถิด ศพของชีเดลคงจะถูกพบในอีกไม่นาน เพราะฉะนั้น…”

“…ขอบคุณ”

ราธบันก้มหัวให้สั้นๆ ก่อนจะเดินไปตรงกำแพงซึ่งเป็นทางเข้าของทางลับ ขณะที่ฉันกำลังจะเดินตามหลังราธบันไป อาริคก็จับเสื้อฉันไว้

“…!”

ทันทีที่หันกลับไปด้วยความตกใจ ก็สบตาเข้ากับเขาอีกครั้ง อาริคจ้องมองฉันด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเขากำลังตามหาสิ่งใด เขากำลังตามหาความหลังที่เคยมีร่วมกับอีเบลลีน่า

“ท่านนักบุญหญิง ข้า…”

ฉันตระหนักได้ถึงความผิดปกติขึ้นมาในฉับพลัน จู่ๆ ก็รู้สึกวิงเวียนพร้อมกับสติกำลังหลุดลอยออกไปราวกับถูกโยนไปกลางอากาศ จากนั้นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็ปรากฏขึ้นมาไกลๆ ท่ามกลางความมืดราวกับนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์

‘…!’

ฉันรับรู้ได้ว่าตนเองสูญเสียอำนาจการควบคุมร่างกาย

อีเบลลีน่า!

ฉันตะโกนออกไปด้วยความตกใจ ทว่าเสียงของฉันเพียงแค่ดังก้องในพื้นที่มืดในจิตสำนึก ก่อนหายไป

‘เกิดอะไรขึ้น?’

หลังจากที่อีเบลลีน่าทำลายความทรงจำของตนเองเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับกล่าวคำพูดที่ฟังไม่เข้าใจ นางก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ทว่าตอนนี้อีเบลลีน่ากลับเผยตัวออกมา แถมยังช่วงชิงร่างกายไป

‘…ช่วงชิง?’

ฉันตัวแข็งทื่อไปทันทีกับความคิดของตนเอง อีเบลลีน่าไม่ได้ช่วงชิงไป นางเอากลับคืนไปต่างหาก ไม่ใช่ว่าเจ้าของเดิมของร่างนี้ก็คือนางหรอกเหรอ

‘แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยล่ะ’

ภาพฉากที่อีเบลลีน่ากำลังจ้องมองฉายอยู่เบื้องหน้าของฉันราวกับภาพยนตร์

อาริคยังคงจ้องมองอีเบลลีน่า อีเบลลีน่าเองก็จ้องเขาโดยไม่กล่าวอะไร แม้จะไม่มีบทสนทนาใดแต่สายตาที่พัวพันกันของคนทั้งคู่ ก็ทำให้ฉันตระหนักได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองในอดีตที่ฉันมองไม่เห็น ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักบุญหญิงกับนักบวชธรรมดา

ระหว่างที่ฉันกำลังทำตัวไม่ถูก อีเบลลีน่าก็กล่าว

“ปล่อยวางเสีย”

น้ำเสียงเยือกเย็น

“ท่านนักบุญหญิง”

อาริคเอ่ยเรียกอีเบลลีน่าเสียงสั่น

“ขอโทษขอรับ ข้า…ข้า…กลัว…ก็เลย…หลบหน้าท่าน…”

ได้ยินดังนั้น อีเบลลีน่าก็หลับตาลง ภาพการมองเห็นของฉันก็พลันมืดมิดด้วยเช่นกัน แม้จะไม่เห็นอะไรแต่ฉันก็สัมผัสได้ ตอนนี้อีเบลลีน่ากำลังร้องไห้

หลังจากหลับตาอยู่สักพัก อีเบลลีน่าก็เปิดปากพูด

“นักบวชอาริค”

อีเบลลีน่ายังคงหลับตา ราวกับการมองอาริคเป็นเรื่องที่หนักหนา นางพูดต่อไป

“รีบออกไปจากวิหารหลวงเสียเถิด ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ทันใดนั้น อาริคก็เริ่มสะอึกสะอื้น ชั่วขณะต่อมา ความรู้สึกที่เหมือนลอยอยู่กลางอากาศก็หายไป และฉันกลับมามีประสาทสัมผัสทั้งหมดอีกครั้ง อีเบลลีน่าคืนร่างกายให้ฉัน ไม่สิ นางอาจจะทิ้งร่างของตนเองให้ฉันก็ได้

‘อีเบลลีน่า!’

ฉันร้องเรียกนางในใจ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา

ฉันลองขยับมือ ประสาทสัมผัสทั้งหมดกลับมาเป็นปกติราวกับว่าเรื่องที่ฉันสูญเสียอำนาจการควบคุมร่างเมื่อครู่ก่อนเป็นเรื่องโกหก ฉันมองอาริคที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่เหมือนโลกถล่ม ฉันไม่รู้ว่าทำไมอีเบลลีน่าถึงได้บอกให้อาริคออกจากวิหารหลวง นางตั้งใจจะสื่อว่าคนอย่างเจ้าอยู่ในที่แบบนี้ไม่ได้หรอกอย่างนั้นเหรอ?

ความเงียบดำเนินผ่านไปชั่วครู่ ฉันหมุนตัวกลับแล้วเอ่ยกับราธบัน

“พวกเรารีบไปกันเถิด”

***

พวกเรารีบไปกันเถิด

อาริครู้สึกเหมือนถูกมีดแหลมกรีดลึกลงไปในซอกหนึ่งของหัวใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น คำว่า ‘พวกเรา’ ที่ว่านั้นหมายถึงนางกับราธบัน

ทว่าเมื่อนานมาแล้ว คำว่าพวกเราที่นางเคยกล่าวไม่ใช่ราธบัน แต่เคยเป็นเขา

“อาริค พวกเราออกไปนอกวิหารหลวงกันดีไหม?”

ในวันที่เหลือกันเพียงสองคนและทำงานจนถึงดึกดื่นในห้องหนังสือ นักบุญหญิงเอ่ยถามเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน อาริคก้มหัวลงทันใดเมื่อได้ยินดังนั้น

ตอนกลางวันระหว่างที่คาร์ลอยู่ด้วย นักบุญหญิงแทบจะไม่คุยกับเขาเลย แม้จะชวนคุยบ้างบางครั้ง แต่ก็เป็นเพียงคำถามสั้นๆ เกี่ยวกับงาน และบางคราวที่สบตากัน หรือตอนที่เอ่ยเรียกขึ้นมาพร้อมกัน นักบุญหญิงก็ทำเพียงส่งยิ้มเขินอายเท่านั้น แต่นี่จู่ๆ เรียกเขาไม่พอ ยังเอ่ยชวนให้ออกไปนอกวิหารหลวงอีกด้วย ทั้งยังใช้คำว่า ‘พวกเรา’ อีก

คำไร้ความหมายที่เขาได้ยินจากคนอื่นมาไม่รู้กี่สิบครั้งตลอดวัน ไม่อาจน่าหลงใหลได้เท่าช่วงเวลานี้ เพราะคำว่าพวกเรานั้นหมายถึงเขากับนักบุญหญิงเท่านั้น

ภายในหัวของอาริคที่เข้าไปใกล้นักบุญหญิงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว พลันมีคำพูดที่คาร์ลเคยกล่าวไว้ผุดขึ้น

“ท่านนักบุญหญิงอ่อนโยนกับทุกคน เพราะฉะนั้นอย่าได้เข้าใจผิดกับความอ่อนโยนของท่านไปเสียล่ะ”

แม้จะอ้อมค้อม แต่เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าคาร์ลต้องการจะตักเตือนสิ่งใด อาริคที่นึกถึงคำพูดของคาร์ลขึ้นมาได้จึงเอ่ยตอบนักบุญหญิงที่จ้องมองตนอยู่

“…นอกวิหารหลวงอย่างนั้นหรือขอรับ นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ท่านนักบุญหญิงจะออกไปได้ อีกทั้งจะมีแค่ข้าไปกับท่านนักบุญหญิงได้อย่างไร อย่างน้อยก็ต้องเรียกหน่วยอัศวินมาอารักขาถึงจะถูก เหนือสิ่งอีกใด ท่านนักบวชคาร์ลเองเคยกล่าวไว้ก่อนว่า…”

นักบุญหญิงก้มหัวลงเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย หัวใจของอาริคพลันหนักอึ้งเมื่อได้เห็นภาพนั้น ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนตนได้ทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงแล้ว

“ใช่แล้ว ต้องได้รับการอนุญาตจากนักบวชคาร์ลก่อน…”

เมื่อเห็นนักบุญหญิงพึมพำ อาริคจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างเร่งรีบเพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศตอนนี้

“อา พอพูดถึงท่านนักบวชคาร์ลแล้วข้าก็นึกขึ้นได้ ท่านฝากให้ข้ามาบอกท่านว่าวันนี้จะมาที่นี่ดึกหน่อย เห็นว่ามีเรื่องสำคัญอย่างมากจะหารือกับท่าน”

“…”

ได้ยินดังนั้น นักบุญหญิงก็ไม่เอ่ยคำใดไปอีกพักใหญ่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“…เข้าใจแล้ว อาริค วันนี้ขอบคุณมาก เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ”

นักบุญหญิงกล่าวเสริม

“วันนี้ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีกแล้ว”

ทว่าตกดึก เขาก็กลับไปยังห้องหนังสืออีกครั้งเพราะคำพูดของคาร์ล และได้เห็นภาพที่คาร์ลอยู่กับนักบุญหญิง

อาริคนึกถึงคำพูดที่นักบุญหญิงเคยกล่าวกับเขาได้ก็ตอนสายไป ‘พวกเราออกไปนอกวิหารหลวงกันดีไหม?’ หากวันนั้นเขาตอบตกลงกลับไป จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่

อย่างน้อยคืนนั้น นางก็คงไม่ร้องไห้

***

อาริคเงยหน้า ผ่านไปนานแล้วที่ราธบันและนักบุญหญิงหายไปหลังจากใช้ทางลับบนกำแพง เขาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากปากทางเข้าสวน ไม่ต้องเดินไปดูก็รู้ ศพของชีเดลคงจะถูกพบแล้ว

อาริคเดินไปยังทางเข้าสวน เป็นอย่างที่คิด เหล่านักบวชกำลังเข้ามาใกล้และค้นหาบริเวณนั้นอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนที่ชื่นชมคาร์ลจนปากแห้ง

อาริคเค้นพลังทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่แล้วตะโกน

“ข้าเห็นนักบุญหญิงตัวปลอม!”

นักบุญหญิงบอกให้เขาออกจากวิหารหลวงไป อาริคอยากร้องไห้เมื่อได้ยินดังนั้น เพราะเขารับรู้ความจริงใจที่นางไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาทั้งหมดได้

ทันทีที่เหล่านักบวชมองเขา อาริคก็ตะโกนเสียงดังขึ้น

“พอข้าเรียก นางก็รีบวิ่งหนีไปทางนั้น ดูเหมือนจะตั้งใจไปแอบทางฝั่งห้องเก็บของ!”

อาริคชี้ไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับที่ทั้งสองคนหายไปพลางวิ่งไปราวกับจะนำทาง

‘ขอโทษขอรับ ท่านนักบุญหญิง’

มีเรื่องที่เขาอยากขออภัยมากมายเหลือเกิน ซึ่งอันที่จริง เขาก็รู้ว่ามันสายเกินไปแล้ว

ทั้งที่เขาเห็นนักบุญหญิงทุกข์ทรมาน แต่เขากลับไม่พูดอะไรด้วยความหวาดกลัวคาร์ล และทั้งที่เป็นเช่นนั้น แต่นักบุญหญิงก็ยังเอ่ยเพื่อเขาจนถึงสุดท้าย ออกไปจากวิหารหลวงเสีย คำพูดนั้นหมายความว่าให้เขารีบหนีจากคาร์ลไป รีบหนีแล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป

อาริคยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ พลางย้อนนึกถึงภาพของคนทั้งสองที่จากไป

ยิ่งเขาวิ่ง ทั้งสองคนก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น

‘ข้าคงต้องตาย’

อาริควิ่งเข้าหาความตายด้วยใบหน้าสงบสุข