ราธบันกอดนักบุญหญิงที่นอนหลับราวกับหมดสติไว้ในอ้อมแขน รอยที่เขาทำทิ้งไว้ผลิบานดั่งดอกไม้สีแดงไปทั่วทั้งร่างของนาง เขาย้อนนึกถึงวันหนึ่ง ขณะที่ได้เห็นร่องรอยที่แอสรันทำทิ้งไว้บนต้นคอของนาง เขายังเคยคิดว่าไอ้หมอนี่มันคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำรอยไว้ในที่ที่คนอื่นเห็นเช่นนั้น ก่อนจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนี้เอง ราธบันถึงได้เข้าใจแอสรัน

ไม่ว่าอะไรก็ดี เขาเองก็ต้องการทิ้งร่องรอยของตนเองไว้กับนางเช่นกัน ให้มากที่สุดจนทุกคนรับรู้

ราธบันก้มหน้าจุมพิตรอยแดงบนต้นคอที่ตนทำไว้อย่างระมัดระวัง กลิ่นอายของเนื้อที่ชวนให้วูบวาบอัดแน่นอยู่เต็มอ้อมอกของเขา ไม่รู้เพราะรู้สึกคันผิวที่ถูกก่อกวนหรือไม่ นักบุญหญิงที่นอนหลับอยู่ถึงได้นิ่วหน้าเล็กน้อย แล้วเบียดเข้ามาในอ้อมอกเขา ราธบันเสียสละอ้อมแขนทั้งหมดของตนให้อย่างไม่ลังเล ทันใดนั้น ใบหน้าของนักบุญหญิงก็พบกับความสบายอีกครั้ง

ราธบันเอื้อมมือไปลูบผมที่ยังเปียกชื้นของนางอย่างทะนุถนอม เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าคืนก่อนตนโอบกอดนางไปกี่ครั้ง จำได้แค่ว่าเขากอดนางครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนที่นางจะหมดสติไป

‘เพราะงั้นถึงได้กล่าวไว้ว่าอย่าอภัยอย่างไรเล่า’

ราธบันคิดว่าหากนักบุญหญิงได้ยินคงจะเปล่งเสียงถอนหายใจอย่างพูดไม่ออก พลางนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อคืน มันคือตอนที่เขารอให้นางได้พักหายใจชั่วครู่หลังจากปลดปล่อยในร่างของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า แน่นอนว่ากระทั่งในขณะนั้นราธบันเองก็ไม่หยุดพัก เขาจุมพิตไปทั่วทุกซอกทุกมุมบนร่างของนางราวกับจะลิ้มรสทุกส่วนในร่าง และในตอนที่ร่างกายแข็งเกร็งผ่อนคลายลง นักบุญหญิงก็เอ่ยถามขึ้น

“ทำไม…ที่ผ่านมาถึงได้หลบหน้าข้า”

ราธบันไม่ได้ตอบกลับน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคือง แทนที่จะตอบ เขากลับขยับกายแล้วจับข้อเท้าของนาง จากนั้นก็ฝังร่างของตนเข้าไประหว่างขาอีกครั้ง ดังนั้นนักบุญหญิงจึงมิได้เอ่ยถามเขาอีก

’จะพูดอย่างไรดี’

บางทีนี่คงเป็นคำถามที่นางจะถามอีกเมื่อลืมตาขึ้น ราธบันจรดริมฝีปากลงบนไหล่ของนางที่อยู่ในอ้อมแขน นางเคยบอกว่าไม่มีความทรงจำ แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะนางลืมความทรงจำเหล่านั้นไป? หรือเพราะเป็นความทรงจำที่นางอยากลบออกไปกันแน่?

บทสนทนากับอาริคแวบเข้ามาในหัวของเขา

ขณะที่เห็นอาริคที่ออกมาจากห้องของคาร์ล ราธบันก็มั่นใจได้ว่าเขาคุยอะไรกับคาร์ล ใบหน้าของอาริคที่เดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวสุดขีด มีความโกรธ หวาดผวาและความเสียใจแฝงอยู่ด้วย ราธบันจึงหลุดเรียกเขาออกไปทันที

หลังจากได้ยินเขาเอ่ยถามว่าจะไปสนทนากันสักครู่ได้หรือไม่ อาริคก็ดูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามเขามา เมื่อก้าวเข้าไปในห้องที่ไม่มีผู้ใด อาริคก็ทรุดนั่งลงไปทันที จากนั้นก้มศีรษะลงพลางแสวงหาพระเจ้า ราธบันรอให้เขาสงบลง ในที่สุดอาริคก็เปิดปากพูด

“ท่านนักบุญหญิงมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับนักบวชคาร์ล ใช่แล้ว ข้าหมายถึงสัมพันธ์ทางกายแบบที่กล่าวกันในทางโลก”

แม้จะเป็นข้อเท็จจริงที่เขาเคยคาดเดาไว้บ้างอย่างคลุมเครือ ทว่าชั่วขณะที่มันออกมาจากปากของอาริค ราธบันพลันรู้สึกอยากบีบคอเขา โชคดีที่เขาใช้ชีวิตด้วยการควบคุมจิตใจตนเองมาเป็นเวลานาน ความคิดเช่นนั้นของเขาจึงสามารถแอบซ่อนได้ด้วยการกัดฟัน

“…นั่นหมายความว่าอย่างไร”

“หมายความตามที่พูด ข้าเคยเห็น ไม่สิ ต้องบอกว่านักบวชคาร์ลทำให้เห็นถึงจะถูก ข้าเคยเห็นตอนที่เขามีอะไรกับท่านนักบุญหญิงมาก่อน และมิใช่แค่ครั้งเดียว นักบวชคาร์ลจงใจ…เรียก…หาข้า…และท่านนักบุญหญิงจะนอนร้องครวญครางในสภาพเปลือยเปล่าอยู่ด้านล่างเขาทุกครั้ง…”

ไม่รู้เพราะนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตหรืออย่างไร อาริคที่อารมณ์พลุ่งพล่านถึงได้ลังเลและพูดออกมาไม่เป็นประโยค ใบหน้าของเขาแดงก่ำในทุกครั้งที่กล่าวออกมาแต่ละคำ แต่ละคำ แม้ราธบันจะอยากคิดว่าเป็นเพราะเขาอับอายที่ได้เห็นสัมพันธ์ทางกายซึ่งไม่ได้รับอนุญาตสำหรับนักบวช ทว่าอารมณ์ที่ปรากฏบนใบหน้าของอาริคตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าคือความโกรธ

“…ในคราแรก ข้าหนีไป ขณะเดียวกันก็รู้สึกขยะแขยงและรังเกียจ”

“…”

ราธบันฟังคำพูดที่อาริคเอ่ยต่อมาเงียบๆ เขาพูดต่อไปราวกับคนที่สารภาพบาป

“แม้พูดกับปากเช่นนี้จะน่าอับอาย…แต่ข้ามีความรักและเคารพในตัวท่านนักบุญหญิง ใช่แล้ว มิใช่ความเคารพแบบที่ผู้ที่เดินบนเส้นทางแห่งพระเจ้าควรจะเป็น แต่เป็นความรู้สึกที่มีอารมณ์ความชอบในทางโลก ข้ามองท่านนักบุญหญิงเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ข้าบังอาจมีความรู้สึกล่วงเกินเช่นนั้น”

“…”

ราธบันกัดริมฝีปาก เขาเองก็เป็นผู้กระทำบาปที่ห่อหุ้มความรู้สึกเช่นเดียวกับอาริค

“และข้าเองก็คิดว่าท่านนักบุญหญิงเองก็มีใจให้ข้าเช่นกัน นี่ไม่ใช่แค่การคิดเพ้อฝันไปเอง หากข้าเข้าไปหา ท่านผู้สมบูรณ์แบบถึงเพียงนั้นมักจะกล่าวว่าไม่รู้และเอ่ยถามนู่นนี่กับข้าอยู่หลายครั้ง ท่านยังเสนอให้ข้านำของว่างเข้ามาให้หลังเลิกงาน ในตอนที่มือเฉียดโดนกันด้วยความผิดพลาด ท่านก็จะดึงมือกลับไปและก้มหน้าลงด้วยใบหน้าขึ้นสี ใช่ ท่านจะคิดว่าข้าคิดไปเองคนเดียวก็ได้ ทว่า ท่านผู้นั้นเคยเอ่ยขึ้นมาหลังจากจับข้าที่กำลังจะกลับไปอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านถามกับข้าว่าจะออกไปด้านนอกด้วยกันหรือไม่”

ราธบันอยากจะสั่งให้อาริคหุบปากเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา เขารู้สึกเหมือนอาริคคือผู้เดียวในบรรดาผู้กระทำบาปที่ได้รับการอภัยโทษ นักบุญหญิงมีใจให้เขาอย่างนั้นหรือ? แถมยังบอกว่าไม่ใช่การเพ้อฝันของนักบวชเสียสติด้วย?

ทว่าน่าเศร้าที่อาริคอยู่ในสภาวะปกติเลยทีเดียว ไม่มีน้ำเสียงหรือแววตาที่ร้อนรุ่มซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพวกเสียสติ มีเพียงความทุกข์ตรมที่มีมานานฝังอยู่ในน้ำเสียงของเขาเท่านั้น

“ตอนที่ได้ยิน หัวใจของข้าเต้นแรงไปหมด เพราะฉะนั้นข้าเลยไม่ได้มองดูให้ดี ว่าท่านผู้นั้นกำลังหวาดกลัวมากเพียงใด ข้ามีความสุขเพียงแค่ได้ยินคำพูดนั้น ดังนั้นเลยกลับห้องมาทั้งที่ยังไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น ตอนนั้น…นักบวชคาร์ลเรียกหาข้า เขาบอกว่าคืนนี้มีเรื่องที่ให้ข้าต้องช่วยในห้องหนังสือของท่านนักบุญหญิง ในตอนที่ได้ยินคำนั้น ข้าก็ตำหนิตนเอง อา เพราะงานช่วงกลางคืนมีมากท่านถึงได้ขอให้อยู่นี่เอง ข้าเพียงแค่ตื่นเต้นและเข้าใจผิดไปคนเดียวนี่เอง แต่ทั้งที่คิดเช่นนั้น ข้าก็ยังไปที่ห้องหนังสือในตอนกลางคืน เพราะข้าคิดว่าหากข้าช่วยได้ และหากได้อยู่เคียงข้างท่านนักบุญหญิง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดข้าก็ยินดี และในตอนที่ข้าไปถึงที่นั่น…ท่านนักบุญหญิง…กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้านักบวชคาร์ล…ชะ ใช้ปาก…”

อาริคก้มศีรษะลงด้วยใบหน้าทุกข์ระทม ราธบันยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าพอแล้ว ไม่ต้องฟังต่อเขาก็พอจะรู้ได้ และเขาก็ไม่อยากฟังต่อด้วย

“ข้าจ้องมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอยอยู่สักพัก ทันใดนั้นพอสบตากับนักบวชคาร์ล เขาก็…จับคางของท่านนักบุญหญิงให้เงยขึ้น แล้วหันหน้าท่านมาให้มองข้า และในตอนที่ข้าสบตากับท่านนักบุญหญิง…”

“…”

“…ข้าก็วิ่งหนีไป”

เสียงของอาริคสั่นเครือ

“…ความทุกข์ระทมที่ข้าสัมผัสได้จากการที่คนที่ข้ารักกำลังมีสัมพันธ์กับคนอื่นได้กัดกินตัวข้า ข้าคิดว่าข้าช่างน่าเป็นคนที่สงสารที่สุดในโลก ข้าเลยมัวแต่เหยียดหยามสิ่งที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ เพราะงั้น…”

อาริคเปล่งคำพูดสุดท้ายออกมา

“กว่าที่ข้าจะนึกขึ้นได้ว่าท่านผู้นั้นกำลังร้องไห้อยู่ก็ผ่านไปสักพักแล้ว”

หลังจากนั้น อาริคก็พูดต่อไปอีกสักพัก สิ่งที่เขาเห็น และสิ่งที่เขารู้ ไปจนถึงว่าทำไมถึงไม่อาจบอกใครได้ทั้งที่เป็นเช่นนี้

ราธบันจุมพิตศีรษะของนักบุญหญิงที่กำลังนอนหลับอีกครั้ง

เขาควรจะพูดถึงตรงไหนดี ในเมื่อจดจำไม่ได้ เช่นนั้นแล้วไม่ให้นางรับรู้เรื่องที่เกี่ยวกับคาร์ลไปชั่วชีวิตจะดีกว่าหรือไม่ ราธบันยังคงคิดไม่ตกต่อไป

ราธบันลูบแก้มของนักบุญหญิงหลังจากผ่านไปสักพัก เอาเป็นว่าก่อนหน้านั้น เขากับนางมีที่เรื่องที่ต้องทำ

***

ฉันรู้สึกถึงผ้าที่เปียกชื้นเล็กน้อย พร้อมกับที่ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา

“อา…”

ความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะได้ลืมตาทำให้ฉันหลุดครางออกมา อะไรกัน? ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ภายในหัวยุ่งเหยิงอยู่สักพัก ประสาทสัมผัสแต่ละอย่างที่เริ่มตื่นขึ้นอย่างเชื่องช้าต่างก็ส่งเสียงร้อง พร้อมกับที่ฉันจดจำได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อคืนวาน

นอนด้วยกันแล้ว นอนกับราธบัน

“…!”

ดวงตาเบิกกว้างเป็นประกายโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นสายตาเลือนรางก็มองเห็นบางอย่างที่เป็นประกายแวววาว มันคือนัยน์ตาสีดำที่เปี่ยมล้นไปด้วยความชอบพอและความรักใคร่ราวกับกำลังมองสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลก ชั่วขณะที่รู้ว่าใครคือเจ้าของนัยน์ตาคู่นั้น ฉันก็หลุดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาที่กำลังจ้องมองฉันอยู่โค้งขึ้นอย่างอ่อนโยนกว่าเดิมทันใด

“ราธ… อา!”

อาการเจ็บแปลบที่แล่นขึ้นมาที่เอวทำให้ฉันที่เอ่ยเรียกราธบันและกำลังยื่นมือออกไป หลุดร้องครางออกมา

“เป็นอะไรหรือไม่?”

เสียงร้องของฉันทำให้ราธบันขยับตัวพรวดและเข้ามาใกล้ เขายกผ้าห่มที่คลุมตัวฉันอยู่ด้วยใบหน้าตกใจ จากนั้นก็พิจารณาดูร่างกายของฉัน

“มะ ไม่เป็นไร!”

ฉันเอื้อมมือออกไปหาผ้าห่มที่เขาเก็บไป แต่ก็ต้องหยุดมือเพราะความเจ็บปวดที่รู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง ราธบันที่เห็นฉันเป็นเช่นนั้นจึงเอื้อมมือมาที่เอวของฉันราวกับเข้าใจ

“อื้อออ….”

ทันทีที่มือของเขานวดบนผิวหนังที่อาการร้อนรุ่มที่ยังไม่จางหาย ฉันก็หลุดเสียงครางกระเส่าที่ร้องออกมาตลอดราตรีโดยไม่รู้ตัว

“อยู่นิ่งๆ ก่อนขอรับ”

“แต่ว่า…”

อายจะตายอยู่แล้ว ขณะที่ฉันเอาฝ่ามือปิดหน้าแล้วซุกลงกับผ้าปูเตียงเพราะความจริงที่ว่าถูกเขาสัมผัสในสภาพที่ไม่ได้สวมใส่อะไรเลยแบบนี้ ก็ได้ยินเขาหัวเราะเสียงต่ำ มือของราธบันกดลงไปบริเวณที่ฉันรู้สึกเจ็บอย่างแม่นยำ ฉันข่มกลั้นเสียงครางพลางบิดตัวทันที แต่กระนั้นมือของเขาก็ไม่หยุด ขณะที่มือของเขาที่กดไปทั่วทั้งเอวอย่างตั้งใจลูบไล้บนผิวอย่างนุ่มนวล ฉันก็พลันรู้สึกว่าความเจ็บปวดบรรเทาลงกว่าครู่ก่อนมาก

“…ทำได้อย่างไร”

“กล้ามเนื้อตกใจเพราะการเคลื่อนไหวที่รุนแรงอย่างฉับพลันขอรับ อย่างไรเมื่อวานข้าก็…”

พูดจนถึงตรงนั้น ราธบันก็หุบปาก ฉันเงยหน้าขึ้นแอบมองเขา ใบหน้าของเขาแดงเถือกราวกับจะระเบิดออกมาเดี๋ยวนี้ บางทีเขาคงกำลังนึกถึงเรื่องที่โอบกอดฉันด้วยท่าที่ไม่เคยคิดมาก่อน หลังจากหลบสายตาด้วยความเขินอายอยู่ชั่วครู่ เขาก็แกล้งกระแอมในคอ รอยยิ้มอบอุ่นที่มีจนถึงเมื่อครู่ก่อนจางหายไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย

“ข้าอยากจะบอกให้ท่านนอนต่ออีกสักหน่อย ทว่า”

ใบหน้าของราธบันย้อมไปความตึงเครียดอันเยือกเย็น

“พวกเราต้องหนีออกจากวิหารหลวง”