ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 108 บุปผาหนึ่งดอกยังมีโลกหล้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“นับว่าเจ้ามีโชค! หากเจ้ากล้าหาญก็อย่าได้แอบหนีไป!”

ได้ยินเสียงระฆังและเสียงก่นด่าของอาจารย์ แม้จะเป็นนักเรียนที่โกรธแค้นที่สุดเลือดร้อนที่สุดก็ทำได้เพียงแค่หยุดย่างก้าวเตรียมที่จะไล่บี้เฉินฉางเซิงและพวกด้วยความแค้นใจ หลังจากก่นด่าไม่กี่ประโยค ทุกคนต่างกลับสำนักของตน เพราะว่า…ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว

สุดปลายทางของทางเดินที่ตรงดิ่ง เป็นขั้นบันไดประมาณหนึ่งพันขั้น ขั้นบันไดหินปูด้วยหยกขาว มันแวววาวดุจกระจก บนขั้นบันไดเหล่านั้นก็คือตำหนักทรงกลมที่สามารถมองเห็นได้ก่อนหน้านี้ ตำหนักแห่งนั้นไม่ใช่ตำหนักหลักของพระราชวังหลี แต่เป็นตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์

ยืนอยู่ด้านล่างบันไดหินมองขึ้นไป จ้องมองจากที่ไกลยิ่งทำให้เห็นตำหนักพระราชวังสง่างามสูงตระหง่านโดดเด่น คล้ายกับว่ายิ่งทำให้สูงใหญ่ยิ่งขึ้น

“สุดท้ายแล้วเจ้าเพิ่มประโยคนั้นเพราะเหตุใด”

ขั้นบันไดที่ยาวเหยียด อยู่ในพระราชวังหลีก็ไม่อาจใช้กำลัง ทำได้เพียงแค่เดินช้าๆ เฉินฉางเซิงกำลังคิดกลุ่มเด็กหนุ่มที่ไม่พอใจในตอนท้าย อดไม่ได้กล่าวว่า “หลังจากทำธุระเสร็จแล้วพวกเราจะกลับอย่างไรเล่า หรือว่าจะต้องต่อสู้จริงๆ”

เซวียนหยวนผ้อเป็นหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจที่ซื่อตรงไม่มีเล่ห์เหลี่ยม และก็กล้าหาญอย่างยิ่ง ทว่ามิได้โง่เขลาอย่างแน่นอน สังเกตทุกหนทุกแห่งอย่างละเอียด แล้วกล่าวถาม “ผู้ใดรู้บ้างว่าประตูหลังอยู่ที่ไหน”

“วางใจเถอะ พวกเจ้าไม่ต้องโต้เถียงกัน ข้ามิได้เกรงกลัว” ถังซานสือลิ่วเอ่ยออกมา

“โก่วหานสือพวกเขามิได้ออกหน้า สำนักจวนราชวังหลี หอจงซื่อในนั้นก็มีผู้มีฝีมือที่อยู่ในประกาศชิงอวิ๋น อีกทั้งถึงแม้เจ้าสามารถต่อสู้ได้ หรือว่าจะสามารถต่อสู้กับหนึ่งพันคนได้รึ”

“เสนาธิการจินก็ต้องกลับสำนักฝึกหลวง ถึงแม้ผู้ใหญ่รังแกเด็กเยาว์วัยเป็นสิ่งไม่ดี ทว่าผู้อาวุโสสามารถนิ่งดูดายเมื่อพวกเราจะถูกสังหารได้รึ”

จินอวี้ลวี่ยิ้ม มิได้กล่าวตอบ

เฉินฉางเซิงรู้สึกจนปัญญา กล่าวว่า “ถ้าหากเสนาธิการจินลงมือ เหล่าอาจารย์หรือกระทั่งเจ้าสำนักของฝ่ายตรงข้ามจะไม่ออกหน้าหรือ”

ถังซานสือลิ่วกล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าสำนักล้วนแต่ออกหน้า เจ้าคิดว่ายังจะตบตีได้หรือไม่”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใด เซวียนหยวนผ้อกล่าวว่า “พวกเจ้าเผ่ามนุษย์แท้จริงปลิ้นปล้อนกลับกลอก”

“พูดก็พูด เจ้าว่ากล่าวหญิงสาวผู้นั้นโหดร้ายเกินไปแล้ว”

“ฮะ ข้าออกหน้าแทนผู้ใดกัน เจ้านี่ก็เกินไปแล้ว!”

“เอาเถอะ ข้ายอมรับผิด”

“ข้ายินดีรับไว้”

“เพียงแค่ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อแรกเริ่มรู้จักเจ้าที่สำนักเทียนเต้า รวมทั้งภายหลังตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยม เจ้ากับขณะนี้ไม่เหมือนกันอย่างยิ่ง ผู้คนล้วนแต่กล่าวว่าเจ้าโดดเด่นทางด้านสันโดษเยือกเย็น ขณะนี้เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นคนชอบพูด อีกทั้งคำหยาบยังเต็มปาก…”

“นี่เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลย”

ถังซานสือลิ่วยืนอยู่บนบันไดหิน หันกลับไปมองจิงตู ทอนหายใจออกมา “ก็เหมือนเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยืนปะทะเข้ามาตรงประตูสำนักวันนั้น ข้ายืนอยู่ท่ามกลางสายฝนกุมกระบี่ตั้งตรง เป็นธรรมดาที่จะมองเห็นความรูปงามเยือกเย็น ทว่าเรื่องทำเป็นสิ้นหวังคล้ายว่าโดดเดี่ยวพวกนี้ เมื่อทำนานเข้าที่จริงก็เหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงออกเสียงอ่าครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เดิมทีที่ผ่านมาเจ้าเสแสร้งหรอกหรือ”

ถังซานสือลิ่วหัวเราะเยือกเย็น พลางกล่าวว่า “เหลวไหล นอกจากลูกหมาป่าทางทิศเหนือผู้นั้น ผู้ใดยังสามารถจะเยือกเย็นโดยกำเนิดได้เล่า”

“เพราะเหตุใดไม่เสแสร้งต่อเล่า”

“อยู่ต่อหน้าเจ้า ข้ายังจะต้องเสแสร้งรึ”

“เช่นนั้น…ขออย่างน้อย…เอ่ยคำหยาบให้น้อยเสียหน่อย เช่นนั้นไม่ดีจริงๆ”

“เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าจะเข้าใจความกลัดกลุ้มใจของพวกเราได้อย่างไร ตั้งแต่รู้ประสา ก็จะต้องทำเป็นหยิ่งยโสโดดเดี่ยว มิได้สนใจเรื่องสามัญธรรมดา อดกลั้นเอาไว้นานหลายปี ก็เหมือนกับน้ำท่วมที่ถูกเขื่อนยาวสกัดกั้นไว้ พอวันหนึ่งเขื่อนกั้นน้ำพังทลาย เช่นนั้นน้ำจะหลั่งไหลออกมาดีๆ หรือไม่เล่า”

“ความหมายของเจ้าก็คือ ถ้าไม่ก็อดกลั้นจนบาดเจ็บภายใน ก็จะกลายเป็นนักเลงอันธพาลรึ”

“ไม่ผิด อดกลั้นยิ่งนาน ร่ำรวยในพริบตายิ่งน่ากลัว ก็เหมือนกับภรรยาของเจ้า นั่นคือบุคคลที่เป็นดังเทพเซียน ถึงแม้จะเป็นเผ่ามารในเมืองเสวี่ยเหล่านั้น ล้วนแต่เกลียดชังที่จะคุกเข่าอยู่ด้านหน้ากระโปรงของนาง ทว่าข้ามั่นใจอย่างยิ่ง นางมักจะต้องการ…”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเฉินฉางเซิงพลันหยุดชั่วครู่ กล่าวต่อว่า “…พุ่งเข้าไปด่าทอมารดาผู้อื่น”

เฉินฉางเซิงตกตะลึง ถึงจะเข้าใจว่าเขากล่าวถึงก็คือสวีโยว่หรง จึงทำได้เพียงแค่ปิดปากเงียบ

“ทว่านัยน์ตาของหญิงสาวเหล่านั้นที่เพิ่งมองเจ้าเปลี่ยนไปเสียแล้ว” เซวียนหยวนผ้อกล่าวอย่างน่าเสียดาย

ถังซานสือลิ่วกล่าวว่า “ข้าก็ไม่ค่อยชอบถูกหญิงสาวจ้องเขม็งเสียเท่าไหร่ เมื่ออยู่ที่เวิ่นสุ่ยเป็นอย่างไร อยู่ที่สำนักเทียนเต้าก็เป็นอย่างนั้น ถ้าหากตอนนี้ยังเป็นเช่นนี้ ข้าเข้ามาสำนักฝึกหลวงทำสิ่งใด ข้าหาใช่สุสานเทียนซูไม่ แล้วจะมีสิ่งใดน่าดูเล่า!”

เซวียนหยวนผ้อคิดถึงหญิงสาวกระทรวงสิบสามชิงเหย้าเผ่ามนุษย์ที่งดงามเหล่านั้นก่อนหน้านี้ กล่าวอย่างใฝ่หา “ถ้าหากมองข้าเช่นนี้ได้ก็คงจะดี”

“พี่ใหญ่ ถึงแม้เจ้าจะดูจากร่างกายแล้วเป็นผู้ใหญ่ แต่มิใช่ว่าเพิ่งจะสิบสามปีหรือไร ในเวลารวดเร็วเช่นนี้ก็เตรียมที่จะแตกกิ่งก้านสาขาเบ่งใบแล้วหรือ”

“เฉินฉางเซิงแก่กว่าข้าเพียงแค่หนึ่งปี มิใช่ว่าใกล้จะสมรสภรรยาแล้วหรือ อยู่ที่บ้านเมืองพวกข้านั้น เด็กอายุสิบสามธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง”

“พูดก็พูด ข้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง พวกเจ้าเผ่าปีศาจสามารถเกิดได้กี่คนเล่า”

ด้านบนบันไดหินมีเสียงไอของจินอวี้ลวี่ดังขึ้น

ถังซานสือลิ่วรีบนำหัวข้อกลับไป “ถูกผู้คนจ้องเขม็งแล้วมีอะไรดีเล่า”

“จะสามารถมีอะไรไม่ดีได้เล่า”

“หากถูกจ้องมองสังหารจะทำอย่างไร”

“อะไรที่เรียกว่าจ้องมองสังหารเล่า”

“ก็ เพียงมองเห็นเจ้าก็เสียชีวิต”

“อืม…นั่นเป็นถึงขั้นอำพรางเทพถึงจะใช้ได้”

“หมดหนทางที่จะสนทนากับเจ้า…”

“เจ้าก็อธิบายสิ”

“ปีนั้นน้องชายของโจวตู้ฟูนามว่าโจวอวี้เหริน เป็นบุรุษที่งดงามที่สุดในต้าลู่ เมื่อตอนเข้ามาที่จิงตูครั้งแรก ได้รับการต้อนรับด้วยหญิงสาวหลายหมื่นคนขนาบข้าง สายตาหญิงสาวเหล่านั้นเร่าร้อนดุจดังเปลวไฟ แทบอยากจะนำเขาใส่ถ้วยน้ำแล้วกลืนลงไป โจวอวี้เหรินเดิมทีร่างกายอ่อนแอ ได้รับความตกใจ เสี่ยงที่จะเสียชีวิตในทันที นี่จึงเป็นที่มาของจ้องมองสังหาร”

“อืม ร่างกายเผ่าปีศาจของพวกข้าแข็งแรงกว่าเผ่ามนุษย์พวกเจ้ายิ่งนัก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีปัญหา”

“หมดหนทางที่จะสนทนากับเจ้าดังคาด…”

“ซานสือลิ่ว ข้าอยู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ เจ้าก็คงไม่ได้มองไปถึงระดับนี้ใช่ไหม มิใช่ว่าคิดมากไปหรือ”

คำพูดตรงไปตรงมาของคนซื่อตรง มีพลังที่สุด สามารถโจมตีคนได้ดีที่สุด

ขณะนี้สำนักฝึกหลวงมีคนดังเช่นเฉินฉางเซิงและเซวียนหยวนผ้อ

ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส

ขั้นบันไดหนึ่งพันขั้นถึงแม้จะยาวเหยียด ก็ไม่อาจยับยั้งย่างก้าวอันเร่งรีบของเฉินฉางเซิงได้ พวกเขาให้ความสนใจในการคุยเล่น เวลาผ่านไปไม่นาน ก็มาถึงด้านหน้าของตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์

มีจินอวี้ลวี่นำทาง หลังจากตรวจสอบฐานะแล้ว พวกเขาก็เข้าตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ได้อย่างราบรื่น

ตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ก็เหมือนกับชื่อ สายลมเย็นสดชื่นลอยวนเวียนระหว่างนั้น มองไม่เห็นสิ่งของตั้งโชว์มากมาย บนพื้นไม่มีฝุ่นละอองปนเปื้อน กว้างโล่งเย็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ทำให้เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจก็คือ มองไปมองมา ล้วนแต่มองไม่เห็นร่องรอยของคนดำรงชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าจวนของลั่วลั่วอยู่แห่งใด

จินอวี้ลวี่ก็มิได้กล่าวสิ่งใด พาหนุ่มน้อยทั้งสามเดินตามนักบวชที่นำทางมุ่งไปยังตำหนักด้านในต่อ พื้นของตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์มีอิฐปูไว้สองนิ้ว เมื่อมีคนเหยียบย่ำลงไป ก้อนอิฐก็จะส่องแสงสะท้อนออกมาเล็กน้อย มหัศจรรย์อย่างยิ่ง เซวียนหยวนผ้อก้มหน้าลงมองภาพนี้ รู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก

เฉินฉางเซิงก็สังเกตเห็นความพิเศษของก้อนอิฐ สายตาทอดยาวออกไป จึงมองเห็นตำแหน่งของก้อนอิฐถึงแม้ไม่เหมือนก้อนอิฐที่มีคนเหยียบย่ำแล้วสว่างขึ้นมา แต่กลับเบาบางเด่นชัดแตกต่างกันไป เขาคิดไปถึงขนาดพื้นที่ของตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ เกรงว่าก้อนอิฐจะมีจำนวนหลายหมื่นก้อน หรือว่านี่เป็นภาพพิมพ์กัน

เพียงแค่คนที่อยู่กลางเทือกเขายากที่จะมองเห็นทั้งหมด ถึงแม้จะมีภาพพิมพ์ หากยืนอยู่บนพื้นของก้อนอิฐ เขาก็ยากที่จะมองเห็นได้ จึงทำได้เพียงแค่ไม่ไปคิดเสียเท่านั้น

ถ้าหากมองจากส่วนปลายยอดสุดของตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ลงมา ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง ระดับความเด่นชัดแตกต่างกันของก้อนอิฐหลายหมื่นก้อน หลังจากมาต่อกันแล้ว เป็นใบไม้สีเขียวที่อยู่ใบเดียวลำพัง เฉินฉางเซิงและพวกขณะนี้เดินไปยังก้านใบไม้

นักบวชผู้นั้นเงียบนิ่งพูดจาน้อยคำ สนทนากับจินอวี้ลวี่เป็นบางครั้งบางคราว มิได้สนใจหนุ่มน้อยทั้งสามคน

ตามย่างก้าวของพวกเขา ก้อนอิฐได้เปลี่ยนเป็นส่องสะท้อนอีกครา ก็เท่ากับให้กิ่งก้านของใบไม้เปล่งแสงสะท้อนออกมา ราวกับว่าเป็นพลังงานบางอย่างราดลงไป

สุดท้ายแล้ว กิ่งก้านของใบไม้ทั้งหมดก็แปรเปลี่ยนเป็นสว่างไสว ภายใต้การนำของนักบวช เฉินฉางเซิงและพวกก็เดินเข้ามาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของห้องโถงใหญ่

หลังจากนั้น ทั่วทั้งผืนมืดสนิท

ช่วงระยะเวลาของความมืดสั่นอย่างยิ่ง จนถึงขนาดที่เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าเป็นเพียงแค่กะพริบตาครั้งหนึ่งเท่านั้น เพียงแค่หลับตา แล้วลืมตาขึ้น เวลายามค่ำคืนก็ผ่านพ้นไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างล้วนเคยมีประสบการณ์มาทั้งสิ้น ทว่าประสบการณ์ที่ภาพตรงหน้าเดี๋ยวมืดมิดเดี๋ยวสว่างไสวกระทั่งมาถึงอีกโลกหนึ่งชนิดนี้กลับมิใช่ที่ทุกคนล้วนเคยประสบ

มองเห็นทิวทัศน์ข้างหน้า เขาอ้าปากเล็กน้อย ตกตะลึงจนเอ่ยไม่ออก

เซวียนหยวนผ้อที่ยืนอยู่ข้างเขา ท่าทางเกินเลยไปใหญ่

ในท้องฟ้าสีครามสะอาด มีกลีบเมฆล่องลอยนับไม่ถ้วน รูปร่างของกลีบเมฆเหล่านั้นงดงามสูงสุด เหมือนกับที่ในคัมภีร์เต๋าบรรยายถึงรูปร่างก้อนเมฆไว้ ระหว่างกลีบเมฆมีนกกระสาบินฉวัดเฉวียนไปมา มีเสียงร้องของนกกระสาดังขึ้น ทำให้จิตใจของมนุษย์สดชื่นใสสะอาด ปรากฏตำหนักโอ่อ่ายิ่งใหญ่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา

ไกลออกไป ยังมีตำหนักที่มีลักษณะเหมือนกันอีกสิบกว่าหลัง

นี่เป็นโลกที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นกลีบเมฆ นกกระสา พระตำหนัก สระหยก จนกระทั่งอากาศที่สะอาดสดชื่น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่งดงาม งดงามจนถึงขนาดว่าคล้ายกับมิใช่ของจริง ทว่าร่างกายของพวกเขา กลับรู้ว่านี่เป็นของที่มีอยู่จริง

“อย่าทำให้สำนักขายหน้า รีบเดินตามไป”

ถังซานสือลิ่วอยู่ข้างคนทั้งสองเอ่ยเสียงต่ำออกมา หลังจากนั้นเดินไปข้างหน้า คล้ายกับว่าไม่รู้จักพวกเขา

เฉินฉางเซิงตื่นจากภวังค์ พบเพียงว่านักบวชผู้นั้นกับจินอวี้ลวี่เดินมาถึงยังตำหนักที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่าหลังนั้น รีบตบไหล่ของเซวียนหยวนผ้อ พาเขารีบเดินตามไป

มาถึงด้านหน้าของถังซานสือลิ่ว เขาเอ่ยถาม “นี่คืออะไร”

ถังซานสือลิ่ว กล่าวตอบ “นี่คือโลกใบเล็ก เจ้าก็คงจะเคยได้ยินมาแล้วบ้าง”

เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขาศึกษาท่องคัมภีร์เต๋า เป็นธรรมดาที่จะรู้จักโลกใบเล็ก เพียงแค่วันนี้ได้มาถึงยังโลกใบเล็กจริงๆ ถึงจะรู้ว่าในตำราที่ศึกษานั้นเป็นสิ่งที่ตื้นเขินเสียจริง

ตามเรื่องเล่าขานเมื่อคัมภีร์สวรรค์ร่วงหล่นมายังโลกมนุษย์ ท้องฟ้ามีเพลิงเทพร่วงหล่นลงมาด้วย ทำให้ช่องว่างถูกแบ่งแยก สุดท้ายแล้วจึงหลงเหลือเศษเสี้ยวช่องว่างจำนวนนับไม่ถ้วน เศษเสี้ยวช่องว่างเหล่านี้ จึงประกอบขึ้นมาเป็นดินแดนต้าลู่ มีเศษเสี้ยวช่องว่างที่ไม่มั่นคง หลังจากปรากฏเพียงชั่วพริบตาก็สลายไป มีบางช่องว่างที่มั่นคง ก็สามารถดำรงไว้ได้เป็นระยะเวลายาวนาน

ตามการเวลาที่หมุนเวียนผ่านไป ผ่านไปแล้วหลายต่อหลายปี ช่องว่างที่ของดินแดนต้าลู่ยิ่งนานยิ่งน้อยลง เศษเสี้ยวช่องว่างที่สามารถหลงเหลืออยู่ เป็นธรรมดาที่จะมั่นคงอย่างยิ่ง นี่ก็เป็นที่มาของประโยคนั้น เวลา เป็นเพียงมาตรฐานหนึ่งเดียวที่ใช้พิสูจน์โลกใบนี้

เมื่อเศษเสี้ยวช่องว่างที่มั่นคงถูกมนุษย์เสาะหาจนพบ ผู้บำเพ็ญเพียรจะใช้อำนาจอภินิหารอันน่ากลัวเปิดมันออก ผู้ฝึกฝนใช้ค่ายกลอันเลิศล้ำเป็นประตู เช่นนี้ก็สามารถเชื่อมต่อเศษเสี้ยวช่องว่างกับโลกแห่งความจริงเข้าด้วยกัน นี่จึงเรียกว่าเศษเสี้ยวช่องว่าง เหมือนดังชื่อ แต่ไหนแต่ไรยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง มีหนทางมากมายนับไม่ถ้วน นี่ก็คือโลกใบเล็ก

ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยก็มีโลกใบเล็ก ถึงแม้จะไม่ใหญ่โต แต่ก็เพียงพอให้ตระกูลถังกลายเป็นตระกูลที่ถูกกล่าวขานว่าตระกูลมั่งคั่ง เหตุที่ถังซานสือลิ่วไม่ได้ตกตะลึงก็เป็นเพราะว่าเมื่อเยาว์วัยท่านปู่มักจะพาเขาไปเล่นที่โลกใบเล็กแห่งนั้น

“แม้แต่บุปผาหนึ่งดอกก็ยังมีโลกหล้าเป็นของตัวเอง…”

เฉินฉางเซิงจ้องมองทิวทัศน์งดงามที่อยู่เบื้องหน้า สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ รู้สึกทอดถอนใจ หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ก้มหน้ามองกระบี่สั้นที่เอว