ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 109 พบกันอีก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ในดอกไม้หนึ่งดอกมีอีกหนึ่งโลก ในใบไม้หนึ่งใบก็มีอีกหนึ่งโลก นี่เป็นคำกล่าวที่ไร้ตัวตน ที่จริงแล้วไม่ถูกต้อง หรือว่าพวกเราจะอยู่ในดอกไม้และใบไม้จริงๆ เล่า เรียกว่าใบไม้ดอกไม้ล้วนแต่เป็นเพราะบรรพบุรุษใช้ศาสตราวิเศษสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นประตูข้ามผ่านระหว่างเศษเสี้ยวช่องว่าง”

ถังซานสือลิ่วกล่าวต่อ “เศษเสี้ยวช่องว่างยิ่งกว้างใหญ่ยิ่งมั่นคง ปรารถนาจะเปิดประตูยิ่งยาก ต้องการอภินิหารที่แท้จริง ถึงจะสามารถสร้างศาสตราวิเศษได้สำเร็จ มาถึงก้าวนั้น พวกเราถึงจะกล่าวได้ว่า นี่คือโลกใบเล็ก ซึ่งมีเจ้าของของมันเอง”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหตุผลนี้ทำให้เข้าใจอย่างยิ่ง เซวียนหยวนผ้อตั้งแต่เยาว์วัยเติบโตอยู่ที่เผ่าพันธุ์ในป่าเขา จึงไม่มีความรู้ทางด้านนี้ และก็ไม่มีความรู้ที่เกี่ยวข้อง เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง จึงไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เกาศีรษะพลางเอ่ยถาม “ที่แห่งนี้กว้างใหญ่ เหตุใดถึงเรียกว่าโลกใบเล็กเล่า”

ถังซานสือลิ่วไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพราะว่าแท้จริงแล้วเขาถูกโลกที่อยู่ตรงหน้าทำให้สั่นคลอน เพียงแค่ว่าไม่ได้แสดงออกมา หากเปรียบเทียบกับโลกที่งดงามใบนี้ โลกใบเล็กของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย แม้แต่กระท่อมก็คงไม่อาจนับได้ เป็นของสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “โลกใบเล็กยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นของใคร”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาราวกับมองคนโง่เขลา กล่าวว่า “แน่นอนว่าเป็นของใต้เท้าสังฆราช”

เฉินฉางเซิงตื่นจากภวังค์ ทอดสายตามองไปทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ ผู้ที่มีอภินิหารจนสามารถครอบครองโลกใบเล็กนี้ก็คงจะนับได้ ในเมื่อนี่เป็นพระราชวังหลี เช่นนั้นยังเป็นผู้ใดได้อีก

“การเปิดโลกใบเล็กก็เป็นการเปิดความคิดของเจ้าของนั้นด้วย”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองนกกระสาที่อยู่บนฟ้า ทอดถอนใจกล่าวว่า “องค์หญิงลั่วลั่วใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็คงจะปลอดภัยเป็นอย่างยิ่งแล้ว”

ถ้าหากตอนนี้เผ่ามารอยากจะลอบสังหารลั่วลั่ว ก่อนอื่นจะต้องสังหารใต้เท้าสังฆราชก่อน ถึงจะสามารถเข้ามายังพระราชวังแห่งนี้ได้

นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ลั่วลั่วจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน

เฉินฉางเซิงเข้าใจ ลั่วลั่วใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เป็นการเลือกความปลอดภัยที่มั่นใจได้ ทว่าคิดไปถึงว่านี่เป็นโลกของใต้เท้าสังฆราช แล้วนางจะสามารถออกมาจากโลกความคิดของเขาได้หรือไม่ จึงไม่ค่อยสบายใจ รู้สึกว่านี่ก็ไม่แตกต่างจากการถูกคุมขัง

ทว่าคิดไปถึงค่ำคืนหลายเดือนก่อนหน้านี้ เกิดเหตุลอบสังหารที่สำนักฝึกหลวง เขาจึงมิได้เอ่ยสิ่งใด

เมื่อเข้าไปยังพระราชวังที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่า ก้าวขึ้นไปยังขั้นบันได ยิ่งนานยิ่งสูง จากสายตาของผู้คนสถานที่ที่มองเห็นยิ่งไกลออกไป ทว่าจนกระทั่งถึงชั้นที่ยี่สิบกว่า ก็ยังคงไม่สามารถมองเห็นเขตแดนของโลกใบนี้ได้ เฉินฉางเซิงตกตะลึง ในใจครุ่นคิดแท้จริงแล้วคิดไม่ถึงว่าใต้เท้าสังฆราชจะสมภาคภูมิเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดของต้าลู่

ยังมีอีกสิบกว่าตำหนักอยู่ไกลออกไปที่เห็นเลือนราง

เฉินฉางเซิงจ้องมองตำหนักเหล่านั้น รู้สึกถึงปัญหาที่คลุมเครือ เดินไปยังข้างกายจินอวี้ลวี่ เอ่ยเสียงเบาถามสองสามประโยค ถึงจะรู้ว่าเดิมทีนิกายหลวงมีนักบวชที่มีคุณงามความดีเป็นที่ประจักษ์มากมายรวมถึงผู้แกร่งกล้าด้วย ล้วนแต่ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ในโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราชแห่งนี้

เขาเอ่ยสิ่งที่เป็นกังวลใจของตนออกมา “เผ่ามารถ้าหากอยากจะทำอันตรายองค์หญิง หากจะทำลายโลกใบนี้โดยตรงแท้ที่จริงก็ทำมิได้…แต่ถ้าหาก ก่อนหน้านี้นักบวชของนิกายหลวงกับผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในนี้ เดิมทีเป็นไส้ศึกของเผ่ามาร เช่นนั้นจะป้องกันอย่างไรเล่า”

“แล้วไส้ศึกเผ่ามารผู้ใดจะรอดพ้นสายตาของใต้เท้าสังฆราชไปได้ ถึงแม้จะเป็นเจ้าชุดคลุมสีดำที่ชั่วช้าก็มิกล้า”

นักบวชที่นำทางผู้นั้นได้ยินประโยคของเฉินฉางเซิง กล่าวตอบเสียงต่ำ

เฉินฉางเซิงจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก

เวลาเพียงชั่วครู่ กลุ่มผู้คนก็ได้มาถึงชั้นบนสุดของพระราชวังแห่งนี้ ลานกว้างราวกับพื้นเรียบที่กว้างใหญ่ มีลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง ด้านในกำแพงปลูกต้นไผ่สีเขียวไว้ มองแล้วเขียวขจีทำให้ผู้คนชื่นชอบยิ่งนัก

เมื่อรู้ว่าลั่วลั่วใช้ชีวิตอยู่สถานที่เช่นนี้ เฉินฉางเซิงจิตใจสบายขึ้นมาเล็กน้อย

จินอวี้ลวี่ส่งหนุ่มน้อยทั้งสามที่หน้าประตู มิได้เดินเข้าไปข้างใน มองเฉินฉางเซิงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยออกมา “คำพูดของนักบวชผู้นั้น คงยากที่จะสลัดความกังวลใจของเจ้าไปได้ ข้าเพียงอยากจะบอกเจ้า ข้าไม่อาจเข้าไปในตำหนักแห่งนี้ได้แม้แต่ก้าวเดียว เจ้ายังกังวลใจอีกหรือไม่”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าโลกใบเล็กมีกฎเกณฑ์อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศษเสี้ยวช่องว่างเล็กๆ เหล่านั้น ถ้าหากมีคนที่มีพลังปราณแท้จริงเกินขีดจำกัดเข้าไป เศษเสี้ยวช่องว่างก็จะแตกสลาย แม้แต่คนที่เข้าไปในช่องว่างก็จะเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าเช่นกัน

แต่ชัดเจนยิ่งนักว่าลานแห่งนี้อยู่ในโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราช

เพราะเหตุใดจินอวี้ลวี่เข้าไปไม่ได้

โดยเฉพาะประโยคนี้ ถ้าหากเผ่ามารอยากจะลอบสังหารลั่วลั่วไม่ง่ายยิ่งกว่าเดิมหรือ เพียงแค่ส่งทหารกล้าตายเข้าไปก็ได้แล้วมิใช่หรือ

จินอวี้ลวี่กล่าวว่า “บางโลกประตูธรณีสูงเกินไป บางโลกชายหลังคาต่ำเกินไป บางโลกประตูแคบเกินไป…”

เฉินฉางเซิงเข้าใจแล้ว เป็นเพราะเขาคิดไปถึงวิธีที่ไร้สิ่งใดๆ นั้น

โลกใบเล็กบางโลก ถ้าหากเข้าไปแล้วมีพลังปราณแท้มากเกินไป ก็จะดับสลายไป นี่ก็คือชายหลังคาต่ำเกินไป

โลกใบเล็กบางโลก หากระดับขั้นยังไม่ถึงที่ตั้งไว้ เดิมทีก็ไม่อาจเข้าไปได้ นี่ก็เป็นธรณีสูงเกินไป

โลกใบเล็กบางโลก ถ้าหากระดับขั้นเกินที่ตั้งไว้ เดิมทีก็ไม่อาจเข้าไปได้ นี่ก็คือประตูแคบเกินไป

โลกใบเล็กบางโลก ที่มีห้องจำนวนมาก

ช่องว่าง เป็นสรรพสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้มากที่สุดตลอดกาล ตามกฎเกณฑ์ทางด้านนี้ เป็นสิ่งที่ลี้ลับมหัศจรรย์ซับซ้อนชั่วนิรันดร์

โลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราช ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นโลกที่หลังคาต่ำ เพียงแค่โลกยิ่งใหญ่เกินไป หลังคาต่ำกว่านี้อีก ก็เพียงพอรับผู้แกร่งกล้าดังเช่นจินอวี้ลวี่ เพียงแค่ว่าก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเดินผ่านมา ล้วนแต่เป็นลานกว้าง

อีกทั้งหลังคาของลานแห่งนี้ ถึงจะเป็นห้องของโลกใบไม้ครามที่แท้จริง หลังคาของห้องนอนยิ่งต่ำ จินอวี้ลวี่ก็ไม่อาจเข้าไปได้

“คนที่ต่ำกว่าขั้นทะลวงอเวจี ถึงจะสามารถเข้าไปได้” สุดท้ายแล้วจินอวี้ลวี่กล่าวอธิบาย

ถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงจึงวางใจลง เขาเป็นอาจารย์ของลั่วลั่ว เขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง คนที่ต่ำกว่าขั้นทะลวงอเวจีไม่สามารถทำอันใดต่อนางได้

เฉินฉางเซิงกับคนทั้งสามเดินเข้าไปในลาน ผ่านต้นไผ่สีเขียวครามทั้งสองข้าง ยังไม่ทันให้หญิงรับใช้ที่ทำความเคารพยืนขึ้น ก็มองเห็นลั่วลั่วแล้ว

ลั่วลั่วกำลังอยู่ข้างหน้าต่าง มือกำลังถือพู่กันตั้งใจเขียนบางสิ่งลงบนกระดาษ บางทีย่นคิ้ว หรืออาจจะแทะด้ามพู่กัน คล้ายกับว่าน่ารักอย่างยิ่ง

มองลมที่พัดผ่านให้มุมของกระดาษงอขึ้น เฉินฉางเซิงทราบดี นางทำตามคำสั่งที่ตนได้สั่งไว้ เขียนบันทึกการฝึกบำเพ็ญเพียร เพราะว่ากระดาษนั้นเมื่อแรกเริ่มเดิมทีเป็นกระดาษที่เขาหาเจออยู่ในกล่องส่วนลึกสุดในหอตำรา กระดาษทุกแผ่นล้วนแต่มีตราประทับของสำนักฝึกหลวง

มองเห็นภาพนี้ จิตใจของเขาอบอุ่น

ลั่วลั่วกำลังจะส่งด้ามพู่กันเข้าปาก อยู่ๆ ก็รับรู้อะไรบางอย่าง จึงหันไปมอง พู่กันยังหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก

“อ๊ะ!”

นางร้องออกมา โยนพู่กันทิ้ง ถลันไปยังทิศทางของเฉินฉางเซิง กระโปรงสีขาวลากก่อเกิดเป็นเงาที่ไม่สมบูรณ์ รวดเร็วดุจอสนีบาต กลางอากาศก่อเกิดเสียงโครมครามดังขึ้น พละกำลังทำให้ผู้คนตื่นตกใจ!

ถังซานสือลิ่วรู้สึกตัว สีหน้าพลันหยุดลง รีบผลักเซวียนหยวนผ้อด้วยความเร็วฉับพลัน ทิ้งให้เฉินฉางเซิงอยู่ที่แห่งนั้นเพียงลำพัง

วิทยายุทธ์เพียงแค่กะพริบตา ลั่วลั่วกระโจนออกจากข้างหน้าต่างมายังด้านหน้าของเฉินฉางเซิง ตอนนี้เองนางเพิ่งจะคิดได้ ถ้าหากไม่ลดความเร็วลง อาจารย์อาจจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่โชคไม่ดีถูกกอดจนตาย ใบหน้าเรียวเล็กพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด

“อ๊ะ!”

เป็นร้องดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแค่ว่าครั้งนี้เปล่งเสียงดังยิ่งขึ้น

เท้าของหญิงสาวเหยียบย่ำลงบนพื้น ได้ยินเพียงเสียงเพี้ยะดังขึ้น บนช่องว่างแข็งแกร่งปรากฏรอยแตกประหนึ่งใยแมงมุม พละกำลังที่น่าหวาดกลัวแพร่กระจายไปยังบริเวณรอบๆ ทั่วทั้งตำหนักราวกับว่าถูกสั่นสะเทือน ฝุ่นละอองกระจายขึ้น!

ในความมืด คล้ายกับว่าได้ยินเสียงของนักบวชด้านนอกถามขึ้นด้วยความหวาดกลัว

หลังจากนั้น เงียบเชียบ

ฝุ่นละอองค่อยๆ ร่วงหล่นลง ในห้องกลับมาสะอาดชัดเจนดังเดิม มีเพียงแค่ต้นไผ่สีเขียวครามที่อยู่ข้างกำแพงสกปรกเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วยืนต่อหน้ากัน

วันนี้นางสวมหมวกที่ไม่มีขอบ ผมถักเปียไว้วิจิตรงดงาม ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่าวิ่งเร็วเกินไป เส้นผมสีดำขลับที่ถูกกดทับอยู่ข้างใต้หมวกจึงดูคล้ายกับหญ้าป่าก็มิปาน เหตุเพราะพลังปราณแท้รุนแรงเกินไป ใบหน้าเรียวเล็กจึงแดงก่ำ คล้ายกับว่าน่ารักเป็นพิเศษ

เวลาผ่านไปยาวนาน

“คารวะอาจารย์”

นางคารวะอาจารย์ตามหลักการปฏิบัติ ไม่มีจังหวะไหนที่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย

นางยังคงเป็นเด็กเยาว์วัยประหนึ่งอยู่ที่สำนักฝึกหลวง

เฉินฉางเซิงยื่นมือไปขยี้ศีรษะนาง

ลั่วลั่วหัวเราะออกมาสองครา เขย่งเท้าขึ้น ให้ศีรษะของนางไปถูกกับฝ่ามือของเขา

เฉินฉางเซิงยื่นมือไปเช็ดฝุ่นที่เกาะตามใบหน้าของนาง

ลั่วลั่วหัวเราะฮ่าๆ ออกมา โถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ใบหน้าเรียวเล็กถูไปมาที่อ้อมกอดเขา เพียงชั่วครู่ก็สะอาดสะอ้านแล้ว

เซวียนหยวนผ้อเคยชินกับภาพนี้ ถึงแม้ยังจะไม่เคยชิน ทว่าก็รู้ว่าควรจะนิ่งเงียบต่อไป

ถังซานสือลิ่วไม่เคยเห็น ปากจึงอ้ากว้างมากๆ

เขาเลื่อมใสเฉินฉางเซิง เป็นดังแม่น้ำลั่วที่เชียวกราก และลำธารที่ยาวติดต่อกัน

หลังจากนั้นเขากังวลแทนเฉินฉางเซิง ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร

ด้านนอกธรณีประตู สีหน้าของนางกำนัลหลี่ไม่น่ามอง

เริ่มจากลั่วลั่วกระโจนเข้าไปในอ้อมกอดของเฉินฉางเซิง มือที่เกาะขอบประตูของนางก็สั่นเทาเล็กน้อย

จินอวี้ลวี่เพียงแค่ยิ้ม ไม่เอ่ยสิ่งใด

นางกำนัลหลี่เดินไปยังข้างรั่ว ส่งสัญญาณให้เขาเดินตามไป

จินอวี้ลวี่มองประตูตำหนักแวบหนึ่ง มองเห็นเพียงรอยนิ้วมือที่ชัดเจนอย่างยิ่งบนนั้น

ที่นี่เป็นโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราช วัตถุดิบของตำหนักก็แข็งแกร่งแปลกประหลาด คาดไม่ถึงว่านางสามารถทิ้งร่องรอยนิ้วมือได้เด่นชัดเช่นนี้ พิสูจน์ได้ว่าอารมณ์ก่อนหน้านี้คงจะถึงระดับที่ปะทุออกมาแล้ว

“ไม่ง่ายดายที่จะพาองค์หญิงออกมาจากข้างกายเขา แล้วเจ้าทำไมถึงพาพวกเขามาเล่า”

นางกำนัลหลี่จ้องมองเขากล่าวด้วยความกังวล “จริงๆ ไม่สามารถให้เป็นเช่นนี้ได้จริงๆ”

จินอวี้ลวี่ยิ้มออกมา เอ่ยว่า “มิเป็นไร ล้วนแต่เป็นเด็กดีทั้งนั้น”

ที่นี่เป็นส่วนบนสุดของตำหนัก อยู่ในส่วนของชั้นเมฆลึก

ลานที่อยู่ด้านในสุด เป็นห้องของลั่วลั่ว ข้างประตูมีกระถางต้นอ่อนปลูกอยู่ มองไม่ออกว่าเป็นต้นไม้ชนิดไหน ด้านนอกหน้าต่างมีก้อนเมฆล่องลอยไปตามลม

ลั่วลั่วนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองกระดาษที่อยู่ตรงหน้า น้ำหมึกได้แข็งตัวไปแล้ว ทว่าชัดเจนว่ายังใหม่อยู่ คงจะเขียนต่อเนื่องมาจากเมื่อคืน กำลังคิดว่าอาจารย์ดีต่อตนเช่นนี้ ไม่นานจึงเหม่อลอย แม้แต่บนกระดาษเขียนว่าอะไร ก็ไม่ได้มองให้ละเอียด

“ตั้งใจหน่อย”

เฉินฉางเซิงยังคงเหมือนกับที่ผ่านมา เขากับลั่วลั่วอายุใกล้เคียงกัน อีกทั้งเดิมทียังเป็นหนุ่มน้อย จึงมิได้มีท่าทางดังเช่นผู้อาวุโสเป็นธรรมดา ให้ความสำคัญต่อเกียรติสูงส่งของอาจารย์จนเกินไป อีกทั้งทางด้านการฝึกบำเพ็ญเพียร เขาแต่ไหนแต่ไรเอาจริงเอาจังมาตลอด จนถึงขนาดที่ว่าบางทีเข้มงวด

หากคิดอย่างละเอียด หลังจากการชุมนุมไม้เลื้อยคืนนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เจอกัน

ตอนนี้เขารู้ว่าลั่วลั่วเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของจักรพรรดิขาว ทว่าเขาก็ยังมีท่าทางกับนางดังเช่นก่อนหน้านี้

ลั่วลั่วชื่นชอบอาจารย์ที่เป็นเช่นนี้ เปล่งเสียงอืมออกมา เริ่มตั้งใจอ่านต่อไป

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด นางอ่านตัวหนังสือที่อยู่บนกระดาษจบแล้ว แหงนหน้าขึ้นมองเฉินฉางเซิง เตรียมที่จะฟังคำสอนของเขา

“อยู่ในหอตำรา ข้าค้นพบตัวอย่างที่ล้มเหลวของผู้แกร่งกล้าที่ต้องการผ่านขั้นทะลวงอเวจีจำนวนสี่ร้อยกว่าอย่าง ในจำนวนนั้นมีสามร้อยสามสิบสองคนที่เสียชีวิต ที่เหลือก็คลุ้มคลั่งสุดท้ายสังหารตัวตาย บางทีก็เป็นอัมพาต ยังทุกข์ทรมานมากกว่าความตายเสียอีก ความเสี่ยงมีมากเหลือเกิน ข้าไร้หนทางที่จะช่วยอะไรพวกเจ้า ทำได้เพียงนำประสบการณ์ของผู้อาวุโสมาสรุปอีกคราหนึ่ง พวกเราอาจจะไม่รู้ว่าอย่างไรถึงจะผ่านด่านได้สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ต้องหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ผู้อาวุโสเคยผ่านมาแล้ว ตามสถิติที่ข้าได้จัดทำ สาเหตุของการล้มเหลวมีทั้งหมดสามชนิดเก้าสิบเจ็ดอย่าง…”

เฉินฉางเซิงเดินไปยังข้างกายของนาง ชี้ไปยังตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษเหล่านั้น อธิบายอย่างตั้งใจ ลั่วลั่วตั้งอกตั้งใจฟัง บางครั้งบางคราพยักหน้า แสงท้องฟ้าเบาบาง เมฆสีขาวล่องลอยอยู่นอกหน้าต่าง ต้นหญ้าสีเขียวอยู่ด้านนอกประตูกวัดแกว่ง ราวกับว่ากลับไปยังสำนักฝึกหลวง