ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 110 สั่งสอน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เวลาผ่านพ้นไปยาวนานอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงถึงจะอธิบายเนื้อหาในกระดาษเสร็จสิ้น ลั่วลั่วจึงรีบนำน้ำชาที่เย็นแล้วยกไปให้

เขารับน้ำชามาดื่ม เอ่ยต่อว่า “สถานการณ์ของเจ้ากับถังซานสือลิ่วไม่เหมือนกัน เผ่าปีศาจฝึกบำเพ็ญวิทยายุทธ์ของเผ่ามนุษย์เพื่อทะลวงด่าน เหตุการณ์เช่นนี้ยากที่จะพบเห็น ด้วยเหตุนี้จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ทว่า ถ้าหากสามารถใช้ยามาช่วยทะลวงด่านได้จริงๆ ไม่แน่อาจจะมีความเป็นไปได้”

ลั่วลั่วพยักหน้า เอ่ยว่า “อาจารย์วางใจ หลังจากเตรียมการทั้งหมดดีแล้ว ท่านเห็นด้วย ข้าถึงจะลองข้ามผ่านด้าน”

เฉินฉางเซิงมองนางกล่าวจริงจัง “ที่จริงแล้วข้าคิดมาตลอด เจ้าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงกับอันตรายนี้อย่างสิ้นเชิง”

เป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าปีศาจ มีคนจำนวนมากที่เป็นดังบุคคลเช่นจินอวี้ลวี่คอยติดตาม เส้นทางการบำเพ็ญเพียรของลั่วลั่วแท้จริงแล้วไม่ต้องมุมานะบากบั่นเช่นนี้ ยิ่งไม่จำเป็นต้องฝึกบำเพ็ญเพียรวิทยายุทธ์ของเผ่ามนุษย์ ไม่ต้องผ่านด่านความเป็นความตายเช่นนั้น

“วิทยายุทธ์ของตระกูลจักรพรรดิขาวเหมาะสมต่อบุรุษเท่านั้น สตรีเดิมทีก็ไม่อาจบำเพ็ญเพียรถึงสูงสุดได้ บิดามารดามีเพียงแค่บุตรีคนเดียวก็คือข้า…” น้ำเสียงของลั่วลั่วยิ่งกล่าวยิ่งต่ำลง ใบหน้าเรียวเล็กยิ่งก้มงุดต่ำลงไป กล่าวด้วยเสียงมั่นคง “ด้วยเหตุนี้ข้าจะต้องคิดหาวิธีทางอื่น”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ มิได้โน้มน้าวนางอีก หยิบใบสั่งยาออกจากอกแล้วยื่นส่งไป

ลั่วลั่วเห็นท่าทางที่ระมัดระวังของเขา รู้ว่าใบสั่งยานี้คงจะไม่ธรรมดา จึงมองไปยังรอบๆ อย่างระมัดระวัง มั่นใจว่าไม่มีหญิงรับใช้กล้าเข้าใกล้ ถึงหันกายมารับ คิดไม่ถึงว่าบนโต๊ะจะมียาสมุนไพรและผลไม้วางไว้มากมาย และยังมีก้านของรากพืชใต้ดินจำนวนมาก

สมุนไพรเหล่านั้นได้แบ่งแยกจัดระเบียบออกเป็นชนิดไว้อย่างดี ตรงที่มัดมีชื่อเขียนติดไว้ ก้านรากพืชใต้ดินเหล่านั้นยังมีกลิ่นของดินใหม่ติดมาด้วย บนผิวผลไม้ยังมีหยดน้ำค้างเกาะอยู่ นางรู้สึกตกตะลึง ไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงนำสิ่งของเหล่านี้เข้ามาได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เขาวางไว้อยู่ส่วนไหนของร่างกายกัน

เฉินฉางเซิงไม่ได้อธิบาย พลันนำชื่อของสมุนไพร ผลไม้และก้านรากพืชใต้ดินบอกนาง และยังบอกการทำงานของยาแต่ละชนิดโดยสังเขป หลังจากนั้นชี้ไปที่ใบสั่งยาไม่กี่ใบกล่าวว่า “ในพระราชวังหลีคงจะมีปรมาจารย์ด้านปรุงยา ถ้าหากมีใครที่เชื่อถือได้ก็เชิญเขามา กำลังไฟเท่าไหร่อย่างไรได้เขียนไว้ชัดเจนแล้ว”

ลั่วลั่วเอ่ยถาม “ยาสมุนไพรเหล่านี้ไว้ใช้ทำอะไรหรือ”

“สิ่งสำคัญก็คือมาเสริมความแข็งแกร่งของพลังปราณแท้ ตอนนี้ข้าให้ถังซานสือลิ่วดูแลรักษาร่างกายก็ใช้ยาสมุนไพรเหล่านี้ เพียงแค่ไม่สะดวกที่จะมาพระราชวังหลีทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากหลอมเป็นเม็ดยาประสิทธิภาพก็จะดีมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา หวังว่าเมื่อเจ้าทะลวงขั้น สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ อย่างน้อยก็ให้อันตรายลดน้อยลง”

เฉินฉางเซิงให้นางเก็บใบสั่งยาไว้ดีๆ เอ่ยต่อ “หลังจากวันนี้ ข้าจะต้องใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อเตรียมสอบใหญ่ คงจะไม่มาหาเจ้าได้บ่อยๆ เจ้าก็ดูแลตัวเอง”

ลั่วลั่วไม่เข้าใจเพราะเหตุใดเขาจะต้องให้ความสำคัญต่อการสอบใหญ่ ทว่าในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่อยู่ในสำนักฝึกหลวง นางรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน คิดไปถึงว่าเมื่ออาจารย์อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ยังไม่ลืมตน ยังใส่ใจตนเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งใจ

หลังจากนั้นนางคิดไปถึงคำพูดของจินอวี้ลวี่ก่อนหน้านี้ ทางเดินที่เข้ามาเฉินฉางเซิงได้รับความอัปยศอดสูและเย้ยหยัน คิ้วเรียวละเอียดยกขึ้น ก่อนหน้านี้รู้สึกซาบซึ้งใจเพียงใด ตอนนี้นางยิ่งโกรธแค้นเพียงนั้น เสียงทุ้มต่ำกล่าวว่า “นึกไม่ถึงคนเหล่านั้นจะกล้าไร้มารยาทกับอาจารย์ แท้จริงแล้วกำเริบอย่างยิ่ง!”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ นางเป็นเหมือนลูกพยัคฆ์น้อย ยังคงน่ารัก ทว่าเต็มไปด้วยพลังอำนาจ

เฉินฉางเซิงยื่นมือไปขยี้ศีรษะนาง ยิ้มพลางเอ่ยว่า “นี่ถึงจะเหมือนบุตรีแห่งจักรพรรดิขาว”

ลั่วลั่วแลบลิ้นออกมา ชั่วพริบตาพลังอำนาจก็หายไป

เมื่อทำเรื่องรีบเร่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉินฉางเซิงถึงมีเวลาที่จะใส่ใจเรื่องสภาพความเป็นอยู่ของนาง เอ่ยถาม “อยู่ที่นี่พักผ่อนสบายดีหรือไม่”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ลั่วลั่วเบ้ปาก กล่าวน้อยอกน้อยใจ “น่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว คิดถึงสวนร้อยหญ้า คิดถึงสำนักฝึกหลวง คิดถึงอาจารย์”

เฉินฉางเซิงตอนนี้ได้รู้แล้ว ว่าช่องว่างที่เรียกว่าโลกใบไม้คราม มีชื่อที่เป็นทางการว่าพระราชวังหลีเล็ก เชื่อมโยงถึงจิตวิญญาณของใต้เท้าสังฆราช ลั่วลั่วถ้าหากปรารถนาแอบย่องออกไปเหมือนเมื่อก่อน คงจะทำไม่ได้เป็นแน่ พระราชวังหลีเล็กถึงแม้จะกว้างขวางยิ่งใหญ่ ทว่ามิได้เชื่อมต่อถึงโลกภายนอก หากอยู่เป็นเวลานานแล้วก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงมิให้รู้สึกกลัดกลุ้มใจ

“ข้าจะลองคิดหาวิธีดู”

เฉินฉางเซิงกล่าวออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ ตามฐานะและความสามารถของเขาตอนนี้ กล่าวตามเหตุผลแล้ว เดิมทีก็ไม่อาจจะทำได้ ทว่าเขาเคยชินเสียแล้วที่จะนำเรื่องของลั่วลั่วมาเป็นเรื่องของตนเอง กลับคิดไม่ถึงว่านี่เป็นการกระทำที่บ้าระห่ำโดยไม่รู้ตัว

พอดีกับว่าในห้องมีเพียงเขากับลั่วลั่ว นางมิได้คิดเช่นนี้อย่างสิ้นเชิง เอ่ยว่า “การสอบใหญ่ก็ใกล้จะมาถึงแล้ว อาจารย์จะต้องพักผ่อนเตรียมตัวให้ดี มิต้องเป็นเพราะข้าถึงเบนความสนใจ จะต้องตระหนักว่าท่านจะเอาประกาศแรกอันดับแรกให้ได้”

นางกับถังซานสือลิ่วมั่นใจในเฉินฉางเซิง ขณะนี้ใกล้เคียงคำว่าเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา ยังมากกว่าที่เขาเชื่อมั่นในตนเองยิ่ง เฉินฉางเซิงประทับใจและขอบคุณอย่างยิ่ง ทุกคราเมื่อเขาใกล้จะสูญเสียความมั่นใจ นางกับถังซานสือลิ่วจะใช้ภาษาและอากัปกิริยาช่วยหยิบความมั่นใจของเขากลับมาทุกครั้ง

“เมื่อครู่เพิ่งเห็นว่าเจ้ากำลังแทะพู่กันรึ” เฉินฉางเซิงคิดไปถึงเรื่องหนึ่ง จ้องมองเขาพลางเอ่ยออกมา

ลั่วลั่วรู้สึกตื่นเต้น ตอนอยู่สำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงสนทนากับนางเพียงแค่ไม่กี่ประโยค กล่าวว่าพู่กันไม่สะอาด หากแทะอยู่ในปากทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย…ไม่ง่ายเลยที่นางจะเปลี่ยนความเคยชินนี้ เมื่อมาถึงยังพระราชวังหลีไร้คนควบคุม นางจึงเริ่มความเคยชินการแทะพู่กันอีกครั้ง

“นี่…นี่…”

นางรู้สึกตื่นเต้นเมื่ออธิบาย “อาจารย์ ระยะนี้ฟันของข้าเพิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงคัน บางครั้งทนไม่ไหว”

เฉินฉางเซิงตอนนี้ฟันขึ้นหมดแล้ว คิดว่านางอายุสิบเอ็ดสิบสองปี หากกล่าวตามเหตุผล สิบเอ็ดสิบสองปีก็คงจะฟันขึ้นหมดแล้ว เมื่อได้ยินประโยคนี้ อดไม่ได้ที่จะตึงเครียด หลังจากใช้น้ำสะอาดและผงสมุนไพรล้างมือจนสะอาด บอกสัญญาณให้ลั่วลั่วอ้าปากเรียวเล็กขึ้น “อา…”

ลั่วลั่วเชื่อฟังอย่างยิ่งลากเสียงอายาวเหยียด

เฉินฉางเซิงนำนิ้วมือเข้าไปในปากนาง ตรวจสอบฟันของนางอย่างละเอียด พบว่ามีฟันใหม่ขึ้นจริงๆ แต่กระนั้นก็มิได้มีปัญหาใหญ่อันใด

“อาจารย์ ฟันของข้าจะขึ้นใหม่จนอายุถึงสิบหก ยุ่งยากยิ่งนัก”

สาเหตุเพราะว่ากำลังอ้าปาก ลั่วลั่วเอ่ยออกมาจึงไม่ชัดเจน ก่อนหน้าที่ที่กล่าวออกมาคล้ายกับคำว่าเซิงเซิง เหมือนเป็นการเรียกชื่อเล่นของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ลั่วลั่วเป็นองค์หญิงของเผ่าปีศาจ มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกับเผ่ามนุษย์

เขาล้างมือให้สะอาดก็เขียนใบสั่งยาให้นางอีกใบหนึ่ง มิได้เกี่ยวกับการรักษา แต่เพื่อส่งเสริมวิธีการเจริญอาหาร และยังบอกนางว่าควรทำแท่งกัดอย่างไร

“นั่นจะต้องเป็นกิ่งต้นโลหะถึงจะได้”

ลั่วลั่วหยิบพู่กันด้ามนั้นออกมา ส่วนปลายของพู่กันมีรอยฟันชัดเจนจำนวนมาก “พู่กันด้ามนี้ก็ใช้ต้นโลหะทำ มิเช่นนั้นเพียงกัดก็คงจะหักแล้ว”

เฉินฉางเซิงคิดไปถึงสายเลือดของจักรพรรดิขาว ต้องการทำแท่งกัดที่รับแรงกัดได้ วัตถุดิบที่ทำจะต้องยุ่งยากเสียหน่อย จ้องมองไปยังต้นพืชสีเขียวสดวางอยู่ตรงนั้น เอ่ยถาม “นั่นเป็นต้นอ่อนของต้นโลหะ ไม่ค่อยเหมือนกับที่ในตำราวาดเท่าไหร่”

ลั่วลั่วเอ่ยว่า “นั่นเป็นต้นอ่อนของต้นไทรย้อย ไม่รู้ว่าจะเจริญเติบโตได้หรือไม่”

สำนักฝึกหลวงมีทะเลสาบ ริมทะเลสาบมีต้นไทรย้อยใหญ่ นางกับเฉินฉางเซิงมักจะยืนอยู่บนต้นไทรย้อยดูตะวันตกดิน

เฉินฉางเซิงยิ้มแล้วพลางเอ่ยว่า “จะต้องเติบโตเป็นแน่”

แสงฤดูใบไม้ผลิผ่านชายหน้าต่างจำนวนมาก แต่เมื่อมาถึงยังส่วนลึกของพระราชวังหลีแปรเปลี่ยนเป็นยิ่งเบาบาง ถูกอัญมณีที่อยู่เหนือสุดบนบัลลังก์ส่องแสงสะท้อน ถึงจะเปลี่ยนเป็นสว่างไสวอีกคราหนึ่ง อัญมณีที่บริสุทธิ์ถูกแกะสลักให้เป็นรูปดอกบัว ตรงกลางดอกบัวมีมงกุฎหนึ่งองค์ มงกุฎแบ่งเป็นสีขาวและสีดำ ระหว่างทั้งสองสีมิได้แบ่งขอบเขตกันอย่างชัดเจน แต่กลับมิได้หล่อหลอมรวมกันเป็นสีเทา เป็นความมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ยากที่จะอธิบายถึงการผสมผสานเป็นหนึ่งเดียว วิจิตรงดงามอย่างยิ่ง มีพลังปราณจิตเทพแพร่กระจายออกมา

ด้านข้างของดอกบัว เป็นเก้าอี้ที่แกะสลักมาจากไม้ดอกนิลทั้งต้น บนเก้าอี้มีผู้ชราท่านหนึ่งนั่งอยู่ บนร่างกายของผู้ชราสวมชุดคลุมยาวผ้าป่านที่หลวมโพรก เส้นผมขาวเป็นดอกเลาปล่อยสยายลงมาประบ่า มองแล้วเหมือนเป็นหน้าผาน้ำตกที่สายน้ำคล้ายจับตัวคล้ายไม่จับตัวเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว

ผู้ชราท่านนั้นกำลังอ่านตำรา

ตรงข้ามผู้ชราท่านนั้น ยังมีผู้ชราอีกท่านหนึ่ง

เหมยหลี่ซาใต้เท้ามุขนายกของสำนักการศึกษากลาง เป็นเพียงคนในจำนวนคนน้อยนิดที่มีอายุรุ่นเดียวกับใต้เท้าสังฆราช เป็นธรรมดาที่จะชราอย่างยิ่ง บรรดานักบวชของพระราชวังหลีกับสำนักการศึกษากลาง ทุกครั้งที่เห็นความชราบนใบหน้าพวกเขาก็จะรู้สึกกังวลใจอย่างไร้ขีดจำกัด กังวลว่าวันหนึ่งผู้ชราของตนจะกลับไปยังฟากฟ้าเบื้องบน

ทว่าเหมยหลี่ซากลับมองไม่เห็นร่องรอยและความชราบนใบหน้าของตน เพราะว่าตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อนที่มีหงอกเส้นแรกที่บนศีรษะ เขาก็ปฏิเสธที่จะส่องกระจก ไม่ว่าจะเป็นกระจกทองแดงอันวิจิตรล้ำค่าในห้องนอน หรือว่าจะใช้พลังปราณแท้รวบรวมเป็นกระจกน้ำ เมื่อมองเห็นความแก่ชราของตน เป็นสิ่งที่ทรมานอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนเช่นเขา ความแก่ชราคือสิ่งเนิ่นนานจนขนาดที่ว่าช้าจนถึงหลายร้อยปีใกล้จะพันปี เช่นนั้นยิ่งเพิ่มความกลัดกลุ้มใจ

ไม่ส่องกระจกมิได้หมายความว่าไม่รู้ ถึงแม้จะตาบอดแต่ก็รับรู้ว่าท้องฟ้ายังมีอยู่ เหมยหลี่ซาชัดเจนยิ่งนักว่าตนชราแล้ว เพราะว่าตนเองยิ่งนานยิ่งเปลี่ยนเป็นขี้เซา ไม่เหมือนกับคนชราทั่วไปที่ยามสามก็ตื่นนอน เขายิ่งแก่ยิ่งชอบนอนหลับ เขาคิดว่าร่างกายของตนคงจะปรับตัวให้สอดคล้องกับความตายก่อนใช่หรือไม่

นิกายหลวงตอนนี้ มีเขาเป็นผู้อาวุโสที่สุด เพราะว่าเรื่องของนิกายหลวงถูกผู้คนจำนวนมากคิดว่าผู้นำเป็นอำนาจเก่าของนิกายหลวง อย่างน้อยก็เป็นสัญลักษณ์ หยิบยืมเรื่องราวมากมายมาต่อต้านใต้เท้าสังฆราช ตลอดทั้งปีเขาพักอยู่ที่สำนักการศึกษากลาง เป็นระยะเวลายาวนานที่มิได้ย่างเท้าเข้ามาในพระราชวังหลีแม้แต่ก้าวเดียว จนถึงขนาดที่ว่ากิจวัตรประจำวันการอบรมแสงสว่างของนิกายหลวงก็ไม่เข้าร่วม นี่คล้ายกับพิสูจน์ว่าเรื่องเล่าขานนั้นเป็นจริง ผู้ใดจะคาดคิดวันนี้เขาจะปรากฏตัวที่พระราชวังหลี คาดไม่ถึงว่าอยู่ที่นี่ยังสามารถนอนหลับได้

เปรี้ยง!

มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเพราะห้องโถงเงียบสนิทจนเกินไป ด้วยเหตุนี้เสียงจึงดังชัดเจนอย่างยิ่ง

เหมยหลี่ซาเบิกตาขึ้น สายตาขุ่นมัวไปชั่วระยะหนึ่ง ถึงจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา เขาจ้องมองผู้ชราสวมชุดคลุมผ้าป่านอ่านตำราอยู่ตรงหน้า ยืดตัวเดินไปงกๆ เงิ่นๆ หลังโก้งโค้งเล็กน้อยจ้องมองไปยังต้นพืชที่อยู่ในกระถางใบนั้น

กระถางเป็นกระถางดินเผาสีเทาอ่อน ธรรมดาอย่างยิ่ง อยู่ในตรอกจิงตูคงจะสามใบหนึ่งร้อยตำลึงกระมัง ต้นพืชที่อยู่ในกระถางนั้นแปลกพิลึกกึกกือ มีรากใต้ดินจำนวนมาก ทว่ากลับมีใบไม้เพียงหนึ่งใบ ใบไม้ต้นนั้นสีเขียวขจี เส้นใยของก้านก็ชัดเจนอย่างยิ่ง

เสียงเปรี้ยงกังวานใสก่อนหน้านี้ มิได้ดังมาจากใบไม้สีเขียวนี้ ปลายยอดสุดของก้านใบไม้คล้ายกับว่ากำลังสั่นสะท้าน มิใช่ใบไม้กำลังสั่นไหว แต่เป็นก้านใบไม้กำลังสั่นไหว รัศมีการสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อย ทั่วทั้งพระราชวังหลีก็คงมีเพียงเขากับผู้ชราที่สวมชุดคลุมผ้าป่านที่ได้ยิน

“องค์หญิงน้อยท่านนั้นโกรธจนถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงท่านยังมีกะจิตกะใจอ่านตำรา”

เหมยหลี่ซามองไปยังผู้ชราสวมชุดคลุมผ้าป่าน แววตานอบน้อมอีกทั้งดูเหมือนสนิทสนมกันอย่างยิ่ง

ผู้ชราท่านนั้นเก็บตำรา แหงนมองต้นพืชในกระถาง พบเพียงใบหน้าที่ปกติ สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือนัยน์ตาดำลึก ถ้าหากมองจากด้านข้าง ราวกับเดินเข้าไปในหุบเหวที่น่าหวาดกลัว ทว่ามองจากด้านตรง ก็สามารถมองเห็นนัยน์ตาที่สงบเยือกเย็นราวกับท้องมหาสมุทรมิปาน