ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 111 ใต้เท้าสังฆราช

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

มหาสมุทรในสายตาของผู้ชราสงบนิ่งอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกเมตตากรุณาอย่างไร้ขอบเขต…ทว่านั่นแท้จริงแล้วก็คือทะเลผืนหนึ่ง ยากที่จะจินตนาการ ผู้ชราโกรธขึ้นมา มหาสมุทรผืนนั้นก็จะมีคลื่นแยกออก ในฟองคลื่นจะเกิดอานุภาพอย่างไร เช่นนั้นจะเป็นภาพที่ศักดิ์สิทธิ์ระดับไหน

“ก่อนหน้านี้ที่คุยกับเจ้า เจ้าก็นอนหลับเช่นนี้แล้ว นอกจากข้าจะอ่านตำราแล้วจะทำอันใดได้เล่า” ผู้ชราจ้องมองเหมยหลี่ซายิ้มพลางกล่าวออกมา

เหมยหลี่ซายังคงจ้องมองใบไม้สีเขียวที่อยู่ในกระถาง ส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “เจตนาของข้าท่านก็ชัดเจนอย่างยิ่ง ท่านควรจะชี้ให้บรรดาเด็กน้อยกระจ่างในหนทางเสีย”

“ทางเดินล้วนเป็นสิ่งที่ตนจะต้องเดินออกมาเอง”

ผู้ชราที่สวมชุดคลุมผ้าป่านเอ่ยว่า “หลังจากเด็กนั่นมาถึงจิงตู เดินไปยังด้านหน้าอย่างมั่นคง ข้าไม่กังวลเท่าไหร่ เพียงแค่หวังว่า…เขาจะสามารถเป็นผู้ใหญ่ได้รวดเร็วสักเล็กน้อย”

ชัดเจนอย่างยิ่ง ประโยคที่เป็นกังวลของผู้ชราเอ่ยถึงหนุ่มน้อยผู้นั้น

ได้ยินคำว่าผู้ใหญ่สองคำนี้ เหมยหลี่ซาเงียบนิ่งเป็นเวลานาน ลึกเข้าไปด้านในของพระราชวังหลีที่เงียบสงบ คล้ายกับว่ามีความกดดันที่ไร้รูปร่างค่อยๆ เกิดขึ้น

“จะเป็นผู้ใหญ่ล้วนต้องการน้ำเพื่อให้ความชุ่มฉ่ำ เป็นบางครั้งก็ต้องการความกดดัน”

ผู้ชราที่คลุมชุดผ้าป่าน เอ่ยว่า “การจัดลำดับใหม่ของหอความลับสวรรค์คงจะใกล้มาถึงแล้ว”

เหมยหลี่ซาเข้าใจความรู้สึกของเขา การเรียงลำดับชื่อก็คือความกดดัน ประกาศทั้งสามคือประกาศเซียวเหยา ประกาศเตี่ยนจิน ประกาศชิงอวิ๋น มีผู้แกร่งกล้าและผู้มีพรสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วน มีคนจำนวนมากวางแผนร้อยแปด บำเพ็ญเพียรทุกข์ยากลำเข็ญ เพียงแค่ให้บนประกาศมีชื่อของตนอยู่ และผู้คนที่อยู่บนประกาศเมื่อเห็นรายชื่อของตนอยู่บนประกาศ จะเกิดความรู้สึกมีแรงขับอย่างไร้ขอบเขต ดินแดนต้าลู่มีหอความลับสวรรค์ ด้วยเหตุนี้จึงมีลำดับเหล่านี้ เป็นการให้ความกดดันแก่บรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ เช่นนี้ถึงสามารถต่อต้านผู้แกร่งกล้าเผ่ามารได้

“เด็กหนุ่มผู้นั้นอาจไม่มีโอกาสอยู่บนประกาศ อีกทั้งร่างกายเขาน่าเวทนา โชคชะตามีอุปสรรคอย่างยิ่ง เกรงว่าลาภยศสองคำนี้มองแล้วยังละเอียดลึกซึ้งกว่าข้ากับเจ้า”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผู้ชราสวมชุดคลุมผ้าป่าน เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ต้องมองว่าการสอบใหญ่จะสามารถช่วยเขาได้หรือไม่”

เหมยหลี่ซาครุ่นคิด แสดงเห็นด้วยกับความคิดเห็นของผู้ชราชุดคลุมผ้าป่าน เพราะว่าบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมีโชคชะตา ข้างใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมีความเคารพยำเกรง โชคชะตาเป็นความกดดันที่ยิ่งใหญ่ เด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่ภายใต้ความกดดันชนิดนี้ คงจะเป็นผู้ใหญ่ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

“ข้าไปแล้ว”

เขายืดตัวลุกขึ้น ทำความเคารพผู้ชราชุดคลุมผ้าป่าน หลังจากนั้นหมุนกายออกไปจากพระราชวังหลี

ผู้ชราชุดคลุมผ้าป่านมิได้แสดงกิริยาแต่อย่างใด ยกตำราขึ้นเริ่มอ่านตำราต่อไป

เวลาก็หมุนผ่านไปอย่างเชื่องช้า

ใบไม้สีเขียวในกระถางสีเทาสงบนิ่งอย่างยิ่ง เพราะว่าไร้ลมพัดผ่าน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ผู้ชราชุดคลุมผ้าป่านนำสายตาที่ทอดมองในตำราเคลื่อนย้ายตำแหน่ง ทอดสายตาไปยังท้องฟ้าสีครามด้านนอกพระราชวังหลี บนใบหน้าอยู่ๆ ก็ปรากฏสีหน้าอิจฉา

ถ้าหากให้พวกนักบวชของพระราชวังหลีมองเห็นสีหน้าเวลานี้ก็คงจะตกใจจนถึงขีดสุดเป็นแน่

บนดินแดนต้าลู่แห่งนี้จะมีสิ่งใดควรค่าให้ผู้ชราจะต้องอิจฉาอีกหรือ

มีเสียงระฆังดังกังวานมาจากที่ไกล มิใช่สำนักจวนราชวังหลีและหอจงซื่อเริ่มเข้าเรียน แต่เป็นเพราะการประชุมแสงสว่างที่จัดขึ้นทุกสิบวันได้เริ่มขึ้น

ผู้ชรายืดตัวขึ้น ถอดชุดคลุมผ้าป่านออก

ไม่รู้ว่าเป็นนักบวชที่สวมชุดคลุมสีดำโผล่มาจากที่แห่งใด นำชุดคลุมของเทพเซียนสวมไปยังร่างกายของผู้ชราเงียบๆ

ผู้ชราเดินขึ้นไปยังบันได ปรากฏเป็นแท่นดอกบัวที่ใช้อัญมณีแกะสลัก ยื่นมือเข้าไปหยิบมงกุฎองค์นั้น การกระทำช่างสบาย คล้ายกับว่ากำลังหยิบเศษกระเบื้อง

นักบวชชุดคลุมสีดำที่เดินตามข้างหลังผู้ชรา อยู่ที่นิกายหลวงลือชื่อในด้านความเยือกเย็นเข้มงวด ความรู้สึกบนใบหน้าผ่านไปสิบปีก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง ทว่าทุกครั้งที่มองเห็นดังเช่นภาพที่อยู่ตรงหน้า สายตาก็จะกระตุกยากที่จะยับยั้ง เป็นเพราะเขามักจะคิด ถ้าหากมงกุฎหยินหยางตกแตกจะทำอย่างไร เช่นนั้นควรจะทำอย่างไร

บนทางด้านขั้นบันไดมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง สีทึบไร้สีสัน หดหู่จนถึงที่สุด

ผู้ชรายืนอยู่ด้านหน้าจิตรกรรมฝาผนัง นำมงกุฎสวมบนศีรษะ

บนจิตรกรรมฝาผนังแบ่งเป็นสองด้าน แสงดวงดาวไร้ขอบเขตจากกำแพงทางด้านนั้นราวกระแสน้ำที่ทะลักออกมามิปาน

สิ่งเหล่านั้นราวกับแสงสว่างที่เคลื่อนไหว มงกุฎของผู้ชราและชุดคลุมเทพเซียนที่ล้อมรอบไม่หยุดกวัดแกว่ง ราวกับว่ากำลังเฉลิมฉลองและนมัสการ

กำแพงทางด้านนั้น เป็นตำหนักที่กว้างขวางไร้ที่เปรียบ

นี่เป็นศูนย์กลางของพระราชวังหลี เป็นศูนย์กลางของนิกายหลวง เป็นศูนย์กลางที่เลื่อมใสศรัทธาของต้าลู่

โถงตำหนักแสงสว่าง

ด้านข้างของโถงตำหนักทั้งสองมีรูปปั้นสูงใหญ่หลายสิบตัว มีเรื่องราวความเป็นมาของต้าลู่ มีนักปราชญ์ที่ล่วงลับ มีเทพศักดิ์สิทธิ์ มีขุนพลทหารที่ปกป้องนิกายสิบสองนาย

แสงสว่างที่อยู่ภายในกระแสน้ำ มีนักบวชที่คุกเข่าคำนับจำนวนนับไม่ถ้วน

ศีรษะของพวกนักบวชเหล่านี้จรดลงบนหลังมือ คล้ายกับว่าเคารพบูชาสูงสุด

พวกเขาเข้าเยี่ยมคำนับคนที่เคารพรักบูชา ก็คือผู้ชราท่านนั้น

ใต้เท้าสังฆราชรุ่นที่สี่ของนิกายหลวง

เมื่อเฉินฉางเซิงเดินออกมาจากพระราชวังหลีเล็ก เวลาก็ล่วงมาเป็นหลังเที่ยงแล้ว เขาแหงนมองพระอาทิตย์ที่คล้อยศีรษะไป ไม่รู้ว่าตอนนี้ยามใดแล้ว หันกลับไปมองตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ที่กว้างใหญ่ จ้องมองก้อนอิฐเหล่านั้น กำลังคิดว่าก่อนหน้านี้แท้จริงแล้วไปยังช่องว่างแห่งอื่น เวลาเพียงครู่ก็รู้สึกผิดหวังห่อเหี่ยวใจ

พระราชวังหลียามตอนปลายฤดูใบไม้ผลิมิได้มีกลิ่นอายของความแห้งเหี่ยว อากาศหลังเที่ยงอบอุ่นเล็กน้อย ทำให้ต้นไหวกับต้นเสวี่ยซงที่ทนหนาวคล้ายกับว่ายิ่งทำให้มีชีวิตชีวาเพิ่มมากขึ้น กิ่งไม้ใบไม้กลายเป็นเขียวขจีเพิ่มขึ้น มองไปยังด้านล่างก็เห็นสีเขียวเต็มตา ท้องฟ้าสว่างไสวไม่มีที่สิ้นสุด มีบางครั้งแสงสว่างส่องย้อนกลับมา

พวกเขาเดินตามขั้นบันไดที่ยาวเหยียดลงไป ระยะห่างที่ยาวอย่างยิ่ง สามารถมองเห็นได้เลือนราง ริมทางเดินทั้งสองข้างทางปรากฏผู้คนจำนวนมาก อีกทั้งมีบางคนจนถึงขนาดเดินไปบนทางเดิน เตรียมตัวที่จะขัดขวางพวกเขา

“ข้าบอกพวกเขาว่าหากกล้าหาญอย่าไปไหน เช่นนั้นต่อไปจะทำอย่างไรดีเล่า”

ถังซานสือลิ่วมองนักบวชที่เย็นชาของพระราชวังหลีผู้นั้น ท่าทางโมโห

นักบวชพระราชวังหลีผู้นี้ก่อนหน้านี้รับพวกเขาที่ตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ หลังจากนั้นพาพวกเขาเข้าไปพระราชวังหลีเล็ก มองท่าทางขณะนี้แล้ว คงจะส่งพวกเขาออกพระราชวังหลีไปตลอดเป็นแน่ ถังซานสือลิ่วรู้ว่านี่เป็นความต้องการของลั่วลั่ว เพื่อหลีกเลี่ยงให้ตนและทุกคนปะทะกับนักเรียนเหล่านั้นอีกครา

สำหรับการจัดการขององค์หญิงลั่วลั่ว เขาไม่ค่อยพึงพอใจเสียเท่าไหร่ เพราะเช่นนั้นคล้ายกับว่าตนเกรงกลัว จินอวี้ลวี่ไม่ได้แสดงกิริยาใดๆ ต่อเรื่องนี้ จึงมิได้รู้สึกว่าไม่พึงพอใจที่องค์หญิงมีต่อการทำงานของตน เฉินฉางเซิงไม่มีส่วนใดที่ไม่พอใจ เหตุเพราะเดิมทีเป็นความต้องการที่เขาขอลั่วลั่ว

เหง่งหง่าง! เหง่งหง่าง! เหง่งหง่าง! ตอนนี้เอง ไม่รู้ว่าเป็นเสียงระฆังที่ดังมาจากตำหนักหรือว่าสำนักใด ความไพเราะของเสียงไม่เหมือนเสียงเข้าเรียนก่อนหน้านี้ เสียงระฆังนี้อ่อนโยน คงจะต้องการประกาศข่าวคราวบางอย่างหรือว่าเป็นการส่งข่าวสารบางอย่าง

“หรือว่าเรื่องนี้เป็นการเรียกรวมพลหรือ นี่เป็นพระราชวังหลีหรือว่าเป็นค่ายทหารกันแน่” ถังซานสือลิ่วคิดว่านี่เป็นนักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีหรือว่าหอจงซื่อ ตามเสียงสัญญาณที่ดังขึ้น เมื่อพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ เขาที่เป็นคนไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ทว่าตอนนี้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ตอนนี้เอง ขอบฟ้ามีฝูงนกอยู่ๆ บินกระจายออกไป ก็เหมือนกลุ่มผู้คนเปิดทางเดินให้มิปาน ชั้นเมฆทางด้านทิศตะวันออกปรากฏอุโมงค์ ความรวดเร็วของเงาดำที่ยากจะจินตนาการได้แยกท้องฟ้าออก หลังจากนั้นเป็นช่องว่างแยกตามกลุ่มฝูงนก บินมุ่งไปยังพระราชวังหลีด้วยความเร็ว

เซวียนหยวนผ้อเป็นหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจ ตั้งแต่เยาว์วัยก็เติบโตอยู่ในป่าเขา เห็นสัตว์ปีกจำนวนมากมาย อีกทั้งสายตาว่องไวมากกว่าเผ่ามนุษย์หลายเท่า ยกมือบังแสงมองออกไป จึงมองออกว่าเงาดำนั้นคือสิ่งใด รู้สึกตกตะลึง เอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าเป็นห่านป่าแดง!”

หากเปรียบเทียบกับอสูรเขาเดี่ยว กวางหมื่นลี้กับสัตว์เทพเหล่านี้ ห่านป่าแดงก็มิได้มีความพิเศษมากเท่าใด แต่ทว่านกชนิดนี้มีประโยชน์อย่างหนึ่งก็คือความรวดเร็ว เป็นหนึ่งในนกที่มีความรวดเร็วที่สุดที่ต้าลู่ทราบในขณะนี้ เป็นเหยี่ยวแดงที่ใช้ส่งข่าวของกองทัพ แน่นอนว่า นี่มิได้นับกับนกกระเรียนขาวเข้าไป

หลังจากที่เซวียนหยวนผ้อเอ่ยประโยคนี้จบ เงาสีดำเงานั้นก็มาถึงยังท้องฟ้าด้านบนของพระราชวังหลี นักบวชที่อยู่บนพื้นดินอันแข็งแกร่ง ยังมีถังซานสือลิ่ว ล้วนแต่มองเห็นนกตัวนั้นลากหางสีแดงยาวๆ แท้จริงแล้วเป็นห่านป่าแดง

ห่านป่าแดงตัวนั้นทิ้งร่องรอยสายหนึ่งไว้กลางท้องฟ้าฤดูใบไม้ร่วง เพียงชั่วครู่ก็หายไปจากตำหนักส่วนลึกของพระราชวังหลี ไม่รู้ว่าร่อนลงที่แห่งใด

“นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

ถังซานสือลิ่วในใจครุ่นคิดในเมื่อไม่ใช่เหยี่ยวแดง เช่นนั้นก็ไม่อาจเป็นการกระทำที่ประหลาดของเผ่ามารทางทิศใต้ อีกทั้งก็คงจะมิใช่เรื่องเลวร้ายใดๆ มิเช่นนั้นเสียงระฆังก่อนหน้านี้ก็คงไม่สงบนิ่งถึงเพียงนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรื่องอันใดที่ต้องให้ห่านป่าแดงออกมา และเวลานี้คงเป็นการประชุมแสงสว่าง เสียงระฆังนั้นไม่กลัวว่าจะไปรบกวนหรอกหรือ

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจคาดเดาไปยังเรื่องที่ไม่มีมูล เฉินฉางเซิงที่อยู่ภายใต้การนำของนักบวชพระราชวังหลีผู้นั้น เดินไปข้างหน้าต่อ เวลาผ่านไปไม่นานก็มาถึงยังด้านล่าง มองเห็นเพียงแค่ข้างหน้าทางเดินเป็นเงาคน และก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมีคนจำนวนเท่าไหร่ที่มาเพราะประโยคเมื่อเช้าตรู่ของถังซานสือลิ่ว

ทางด้านซ้ายมือของทางเดินสวนข้างของพระราชวังหลียังคงปิดประตูใหญ่แนบแน่น โก่วหานสือมิได้ออกมา เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพที่เหลือทั้งสามก็มิได้ปรากฏตัว แม้กระทั่งลูกศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และคนหนุ่มของพรรคทางทิศใต้ที่เหลือก็ล้วนแต่ไม่ปรากฏตัว

สายตาของเฉินฉางเซิงผ่านทะลุต้นต้นเสวี่ยซง ตกอยู่ที่อุทยานด้านข้าง เงียบนิ่งไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด

เพราะว่าการหมั้นหมายกับสวีโหย่วหรง หลังจากเขามาถึงจิงตู ตั้งแต่จวนขุนพลเทพตงอวี้ก็ได้รับการเหยียดหยาม ดูถูก เยาะหยันจนกระทั่งความอัปยศอดสูมาตลอดทาง เป็นธรรมดา ที่เขาจะไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อบุรุษที่นามว่าชิวซานจวิน แม้แต่คนสำนักเดียวกับเขาก็เป็นเช่นนี้ด้วย

การชุมนุมไม้เลื้อย ในที่สุดเขาก็ได้พบกับฝ่ายตรงข้าม

ทว่าไม่เหมือนกับที่เคยจินตนาการไว้ จากการได้สนทนากัน เขาพบว่าการแสดงของฝ่ายตรงข้ามมิได้เลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นโก่วหานสือ กวนเฟยไป๋ และยังมีชีเจียน อาจจะใจกว้าง อาจจะคู่ควรที่ภาคภูมิใจได้รับความนับถือ อาจจะมีจิตใจที่ยืนหยัด โดยสรุปล้วนแต่มีสิ่งที่พอจะรับได้ เขามองออก โก่วหานสือลูกศิษย์ของเขาหลีซานผู้นี้ เคารพเลื่อมใสชิวซานจวินออกมาจากใจ เช่นนั้นแล้วชิวซานจวินจะเป็นคนที่หลอกลวงผู้อื่นเพื่อได้มาซึ่งชื่อเสียงได้อย่างไรกัน

สายลมฤดูใบไม้ร่วงปะทะเข้าใบหน้ามิได้ทำให้หนาวเย็น แต่ทำพัดกระทบให้เขารู้สึกตัว

เขาหัวเราะเยาะตนเอง ในใจคิดว่าตนคิดไปมากเสียจริง ชิวซานจวินเป็นวีรบุรุษผู้มีพรสวรรค์ที่ควรจะให้รางวัล มีคุณธรรมและรูปงามของทั่วทั้งต้าลู่ เดิมทีก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดที่ไม่ดี เพียงเพราะว่าความเกี่ยวข้องกับจุดยืน เขาถึงคิดเช่นนี้